บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดสาระเกี่ยวกับการศึกษา ไว้ในมาตรา 49
ว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บ
ค่าใช้จ่าย ส่วนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มีความมุ่งหมาย
และหลักการเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
กระทรวงศึกษาธิการได้มีการปฏิรูปการศึกษา มีการนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
มาใช้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศที่มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพ ของผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง การเพิ่มศักยภาพของผู้เรียนให้สูงขึ้น สามารถดำรงชีวิต
อย่างมีความสุขได้บนพื้นฐาน ของความเป็นไทยและความเป็นสากล รวมทั้งมีความสามารถในการประกอบอาชีพ
หรือศึกษาต่อ ตามความถนัดและความสามารถของแต่ละบุคคล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545, คำนำ)
ครูเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญยิ่งต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียนครูจึงต้องเป็นบุคคล
แห่งการเรียน คือใฝ่หาความรู้อยู่เสมอวิธีการหนึ่งในการค้นหาความรู้อย่างมีระบบคือการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากการวิจัยเป็นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้จากปัญหาอย่างชัดเจนเป็นระบบ (วาโรจน์ เพ็งสวัสดิ์, 2543, หน้า 1) แต่การจัดการเรียนการสอนของครูมักจะประสบปัญหาต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ซึ่งวิธีการในการแก้ปัญหาเหล่านั้นครูควรใช้วิธีการวิจัยในชั้นเรียนซึ่งเป็นการวิจัยโดยครูจะต้องดึงปัญหาในการเรียนการสอนออกมาและแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยกระบวนการที่เชื่อถือได้ ผลการวิจัยคือคำตอบที่ครูจะเป็นผู้นำไปแก้ปัญหาของตน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ (อุทุมพร จามรมาน, 2537, หน้า 16) แต่ผลงานการวิจัยเท่าที่ปรากฏนับว่าน้อยมากและส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยที่จัดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกกันว่าวิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ (จุมพล สวัสดิยากร, 2523 , หน้า11 - 19) การที่ครูทำวิจัยในชั้นเรียนยังไม่เป็นกิจจะลักษณะที่ชัดเจนและยังไม่เป็นงานประจำของครูมีสาเหตุสำคัญคือครูยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียนแม้ว่าครูจำนวนหนึ่งที่ผลิตผลงานวิจัยที่เป็นวิทยานิพนธ์/ปริญญานิพนธ์ ตามหลักสูตรที่ตนศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาและครูอีกส่วนหนึ่งทำวิจัยเพื่อนำผลงาน ทางวิชาการประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการหรือเลื่อนขั้นเงินเดือน เป็นต้น ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ยังไม่ได้ทำเพื่อแก้ปัญหาในการเรียนการสอนอย่างจริงจัง และเป็นงานวิจัยที่ขาดความต่อเนื่อง (กิตติพร ปัญญาภิญโญผล, 2541, หน้า 2 - 3) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะครูส่วนมากขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการการทำวิจัยในชั้นเรียน เริ่มตั้งแต่การกำหนดปัญหา การกำหนดวัตถุประสงค์ การดำเนินการ
วิจัย การตรวจสอบข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเผยแพร่ผลงานวิจัยตลอดทั้งการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัย
(ลัดดา คำพลงาม, 2540, หน้า 85 - 93)
การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การปฏิรูปการศึกษาประสบความสำเร็จได้อย่างดีทั้งการนำกระบวนการวิจัยและผลการวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัยนับเป็นแนวทางหนึ่งที่ผู้สอนและผู้บริหารสามารถนำไปปฏิรูปการเรียนรู้ในสถานศึกษาได้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของไทย ได้ให้ความสำคัญของการวิจัยและกำหนด
ว่าการวิจัยเป็นกระบวนการ ที่ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการทำงาน ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ซึ่งเป็นกลไกที่นำไปสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
บทบาทสำคัญประการหนึ่งของครู คือครูมีฐานะเป็นนักวิจัยเป็นการวิจัยที่เกิดจากการปฏิบัติงานของครู
การที่ครูผู้สอนซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับนักเรียนจึงได้รับรู้สภาพปัญหาของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรวมทั้งสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนในชั้นเรียน ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดที่สนับสนุนให้ครูมีบทบาทในฐานะ
ของนักวิจัย เนื่องจากชั้นเรียนเป็นหน่วยงานทางการศึกษาที่มีขนาดเล็กและถือได้ว่ามีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนโดยตรง และนักเรียนเหล่านี้จะเป็นผลผลิตของหลักสูตร ดังนั้นเทคนิคสำคัญประการหนึ่งที่สามารถช่วยในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน คือ การทำวิจัย โดยครูผู้สอน (ทัศนีย์ สิทธิวงศ์, 2543, หน้า 1 - 2)
การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เป็นการวิจัยเพื่อมุ่งแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษา เพราะการวิจัยในชั้นเรียนสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาและพัฒนากระบวนการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครูจึงมีบทบาทเพิ่มขึ้นจากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นนักวิจัย บทบาทหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการเรียนการสอนเกี่ยวข้องกับครู นักเรียน ผู้ปกครอง และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวนักเรียน โดยหวังผลเพื่อนำมาพัฒนาและแก้ปัญหาให้นักเรียนมีการพัฒนาและมีกระบวนการเรียนรู้ที่ดีขึ้น การนำผลการวิจัยไปช่วยในการเรียนการสอนจะทำให้ผู้เรียนไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของโรงเรียน ครูจะเกิดความรู้และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เป็นการพัฒนาวิชาชีพควบคู่ไปด้วย (ทัศนา แสวงศักดิ์, 2543, หน้า 72 - 73) ในสภาพปัจจุบันยังมีครูผู้สอนจำนวนไม่น้อยที่ประสบกับปัญหาการวิจัยในชั้นเรียน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหน ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือเมื่อเริ่มได้แล้วไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสถานศึกษาที่จะต้องดำเนินการพัฒนาครูผู้สอนให้สามารถทำการวิจัยในชั้นเรียนได้
โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) ตั้งอยู่ในตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นปฐมวัย ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2550 ข้าราชการครู 42 คน แยกเป็นฝ่ายบริหาร 3 คน และ ครูผู้สอน 39 คน จากรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์กรมหาชน) (กรมวิชาการ, 2544 ก, หน้า 20) พบว่า มาตรฐานด้านผู้เรียนด้านที่ 5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นตามหลักสูตรอยู่ในระดับคุณภาพพอใช้ โดยเฉพาะตัวบ่งชี้เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รวมทั้งกลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ นอกจากนั้นมาตรฐานด้านผู้เรียนอื่นๆ ก็ยังอยู่ในระดับคุณภาพพอใช้อีกหลายมาตรฐาน
ซึ่งสอดคล้องกับผลการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครูที่พบจุดอ่อนที่ต้องพัฒนา คือ ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอดที่ไม่สอดคล้องตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้ ขาดการศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการของผู้เรียน ขาดการคิดค้น การผลิตสื่อ รวมทั้งนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างดำเนินการกิจกรรมนั่นคือ ขาดการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียน จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวมของโรงเรียนต่ำ
ผู้ศึกษาค้นคว้าในฐานะที่เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับ การบริหารและการจัดการศึกษาในโรงเรียน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาด้านมาตรฐานผู้เรียนซึ่งต้องปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับแนวทางที่กำหนดตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 จึงได้ร่วมกันกับคณะครูกำหนดแนวทาง
ในการพัฒนาคุณภาพ การจัดการศึกษาของโรงเรียนโดยใช้การวิจัยในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ด้านคุณภาพมาตรฐานของผู้เรียน โดยมุ่งพัฒนาบุคลากรครูในโรงเรียนให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ และเกิดทักษะในด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน เพื่อที่จะนำความรู้และทักษะที่ได้ไปพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองให้มีประสิทธิภาพ อันจะเกิดผลดีต่อนักเรียน และสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถนำความรู้ความสามารถไปใช้ในการดำรงชีวิต
ได้อย่างมีความสุข
วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
เพื่อพัฒนาบุคลากรโรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ให้มีความรู้ ความเข้าใจและสามารถทำวิจัยในชั้นเรียนได้
ความสำคัญของการของการศึกษาค้นคว้า
1. บุคลากรครูโรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี
จังหวัดปราจีนบุรี สามารถทำวิจัยในชั้นเรียน
2. บุคลากรครูโรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี
จังหวัดปราจีนบุรี สามารถนำผลการวิจัยในชั้นเรียนมาพัฒนาการเรียนการสอน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา และเป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรครู
โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
4. เป็นข้อสารสนเทศให้กับโรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประยุกต์ใช้พัฒนาบุคลากรครูเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีขอบเขตในการศึกษาค้นคว้า ดังนี้
1. กลุ่มผู้ร่วมศึกษาและผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย
1.1 ผู้ศึกษาค้นคว้า จำนวน 1 คน คือ นางประไพพรรณ เกษรทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงเรียน ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
1.2 กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 42 คน คือ ครูโรงเรียนเทศบาล 2
(วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ทุกคนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่
1.2.1 ครูผู้สอนในระดับอนุบาล จำนวน 3 คน
1.2.2 ครูผู้สอนในช่วงชั้นที่ 1 จำนวน 11 คน
1.2.3 ครูผู้สอนในช่วงชั้นที่ 2 จำนวน 13 คน
1.2.4 ครูผู้สอนในช่วงชั้นที่ 3 จำนวน 15 คน
1.3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่
1.3.1 วิทยากร จำนวน 2 คน
1.3.2 คณะกรรมการการนิเทศภายใน จำนวน 5 คน ได้แก่
1.3.2.1 นายสุธีระ ทองโบราณ ผู้อำนวยการโรงเรียน โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
1.3.2.2 นางประไพพรรณ เกษรทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงเรียน
ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
1.3.2.3 นางนันทนา นาคศรี หัวหน้าช่วงชั้นที่ 1
1.3.2.4 นางมนธิรา สำราญกิจ หัวหน้าช่วงชั้นที่ 2
1.3.2.5 นายสมศักดิ์ ทองศรี หัวหน้าช่วงชั้นที่ 3
งานวิจัยในชั้นเรียนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อนักเรียนจริง ๆ ดีใจจังที่มีผู้บริหารเห็นความสำคัญที่จะพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจและนำไปใช้แก้ปัญหาในห้องเรียนได้
คิดถึง...คืนวานวัน
คิดถึง...กลิ่นแห่งความทรงจำ
คิดถึงเธอนั้น....ผู้เปี่ยมอารี...พี่ที่แสนดีของเรา
บังเอิญเข้ามา....จึงได้พานพบ
แอบมาชื่นชม.. พบพานงานดี...คนดีที่น่าชื่นชม
พี่อ๊อดยังเป็นสาวมั่น เก่ง เฟอร์เฟ็ค เหมือนเดิมไม่ผันแปร
ยังระลึกถึง เคารพรักพี่เสมอนะคะ
ดีมากเลยค่ะ จะได้นำไปเป็นแบบอย่างให้กัยโรงเรียนทำบ้าง
คุณครูประไพรพรรณ เก่งจังค่ะ ศิษย์เก่า ท.2 ขอคาราวะ
สวัสดีคะคุณครูต้นแบบของลูกศิษย์ ท.2 คิดถึงคุณครูมากเลยคะ
Good buy teacher..........
ผู้บริหารที่เก่งอย่างครูอ็อดหายากจริงๆนะคะ
หนูคิดถึงครู.......................................
คิดถึงอาจารย์ที่สุดเลย อาจารย์เป็นอาจารย์ที่ใจดีน่ารักมากด้วย ขอบคุณนะค่ะที่อบรมสั่งสอนหนูมา ศิษย์เก่าโรงเรียนกบินทร์บุรี
(ไอ้ตัวเล็กของอาจารย์ไงค่ะ)
คิดถึงและเคารพอาจารย์ประไพพรรณทีปรึกษาปี 2544 ม. 4/2 ตลอดเวลาจากศิษย์เก่าโรงเรียนกบินทร์บุรี
เก่งมากค่ะ เก่งทุกเรืองเลย ขอคารวะจากใจจริง
สุดยอดที่สุด ยกให้ครูท่านนี้ เป็นแม่พิมพ์แห่งชาติ อีกท่านคะ วันนั้นถ้าไม่มีครู ลูกศิษย์คนนี้ คงไม่มีวันนี้ ขอบพระคุณมากค่ะ
ด้วยความเคารพและระลึกถึงตลอดไป
จาก ไอ้เร ของครูอ๊อดคะ