เคยได้ยิน ได้ฟังมาบ่อยว่า คนสร้างวัฒนธรรม วัฒนธรรมธำรงชาติ ชาติอยู่ยังเพราะคนรักษาวัฒนธรรม ความเจริญของชาติคือการรักษาไว้ได้ซึ่งวัฒนธรรมของตนเอง รวมถึงการสร้างค่านิยมทางวัฒนธรรมของตนให้เป็นที่ยอมรับและแพร่หลายต่อชนกลุ่มอื่นๆ ด้วยการทำให้เกิดการแพร่กระจายไปแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของผู้อื่น เช่น การแต่งกาย อาหารการกิน กีฬาและนันทนาการ เป็นต้น
หลายปีที่ผ่านมาการต่อสู้ด้วยอาวุธโดยการทำลายร้าง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่เหล่าผู้นำที่มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาสิ่งที่ตนพึงประสงค์ แต่การกระทำเช่นนั้น ผลที่เกิดขึ้นมักจะเสียหายมากกว่าได้ มีคนไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าวอยู่มาก การนำเอาวิธีการดังกล่าวมาใช้จึงปรากฏมีอยู่น้อยในโลกปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการล่าอำนาจเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เริ่มตั้งแต่การใช้กระบองตีหัวเข้าบ้านหรือลากเข้าป่า จนจึงแย่งชิงเอาซึ่งหน้าแล้วยึดเอาดื้อๆ รวมทั้งการใช้กำลังบีฑาข่มขู่ก็มี สารพัดวิธีที่เคยมีใช้มาเมื่อครั้งในอดีต วิธีการเช่นนี้ได้ถูกพัฒนารูปแบบให้มีความแตกต่างไปจากเดิมไปเรื่อยๆ จากความรุนแรงแบบนักเลงหัวไม้หากว่าใครไม่ก้มหัสให้ก็ใช้กำลัง จนปัจจุบันนี้ใช้การทูต การรวมกลุ่มเข้าเจรจาต่อรองก็สามารถประนีประนอมได้
หลังจากที่มนุษย์เรียนรู้การสูญเสียและความเจ็บปวดจากซากแห่งความรุนแรง วิธีการครอบครองอาณาจักรผู้อื่นได้ถูกมนุษย์พัฒนารูปแบบอย่างฉลาดและแยบยล ไม่ใช่ยึดครองเท่านั้นยังได้คำชมและการยอมรับด้วยซะด้วยซ้ำ ที่ว่ามาทั้งหมดคือการใช้วัฒนธรรมตาโตเป็นวิถีในการล่าอาณาจักรของผู้อื่น ตัวอย่างการล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น หลังจากที่ตนเองพ่ายแพ้สงคราม ญี่ปุ่นได้พัฒนาการรูปแบบการรบ โดยการใช้วัฒนธรรมการบริโภค โดยพยายามสร้างสิ่งของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกให้เข้าไปมีบทบาทแทนการทำงานด้วยกำลังคน เช่น การสร้างอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ สินค้าสารพัดชนิด ถ้าเราหันหน้าเข้าบ้านตัวเองจะพบว่า สิ่งของเครื่องใช้มีแต่ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งสิ้น ยี่ห้อของไทยๆ เช่น วิทยุยี่ห้อธานินทร์ ที่เป็นชื่อไทยๆ ปรากฏมีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ หรือเก่าเก็บ เท่านั้น
รูปแบบสงครามแบบใช้อาวุธนำได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นการใช้เศรษฐกิจเป็นอาวุธ รูปแบบสงครามที่ยึดเศรษฐกิจเป็นวิถีนำได้คลืบคลานเข้าไปถือครองแต่ละประเทศแบบเต็มใจให้ ไม่เพียงแต่มีบทบาทยึดครองพื้นที่เท่านั้น ยังทะลุทะลวงเข้าไปมิอิทธิพลในชีวิตและจิตใจของประชากรของแต่ละประเทศด้วย จะพบได้จากการยอมรับเอาวัฒนธรรมต่างๆ ของแต่ละประเทศเข้าไปใช้และยึดถือเป็นตัวแบบในการดำเนินชีวิตด้วยซ้ำ แนวทางการรบด้วยอาวุธทางเศรษฐกิจได้รุกคืบไปทุกที่ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ผลที่เกิดขึ้นคือการลืมเลือนภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น การกลืนกลายทางวัฒนธรรม และการลืมตัวลืมตน ความภาคภูมิใจในชาติภูมิไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เดี๋ยวนี้คนไทยหลายคนที่รู้จักประวัติศาสตร์ไทย และประวัติบ้านเกิดตัวเองได้ดี คงนับรายบุคคลได้ เข้าตำราที่ว่าเรื่องชาวบ้านนะรู้ทุกเรื่อง แต่กับเรื่องตัวเองและบ้านเกิดกลับละเลยและมองข้าม การรับเอาความเจริญจากที่อื่นเข้ามาสู่บ้านของเรา เป็นผลทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าหัวมังกุท้ายมังกร สืบเนื่องจากการเปิดกว้างทางสังคมทุกด้าน การแพร่กระจายทางวัฒนธรรมหลายๆเรื่อง โดยที่รับเอาทุกเรื่องที่มีในโลกเข้ามาโดยขาดการกลั่นกรองว่ามีคุณและโทษต่อประชาชาติหรือป่าว คือเห็นอะไรจรมาก็ตาโต ภาวะตาโตเกิดจาการการมองแต่ไม่เห็น นานวันไปมีชีวิตเพียงแค่มองแบบเปลือกๆก็ไม่ปาน ความเป็นคนแบบเปลือกๆ ได้เจริญเติบโตในหมู่วัยรุ่นไทย ซึ่งนับวันจะมีอัตราโตอย่างรวดเร็ว ยกเว้นสติปัญญา ความรับผิดชอบ ความใส่ใจต่อหน้าที่ และ ฯลฯ ที่มีอัตราการเจริญเติบโตสวนกระแสกับความเจริญของโลกสมัยใหม่
เดียวนี้ใครมีชีวิตแบบเรียบง่าย มักถูกมองว่าเป็นพวกเชย บ้านนอก คนหลังเขา อะไรทำนองนั้น ถ้าเรากลับพลิกกลับไปตรวจสอบดูสติปัญญาของบรรพชนไทยแล้วพบว่า เราอยู่เย็นเป็นสุขเพราะความเป็นบ้านๆ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าจะเรียกว่าเศรษฐกิจหลังเขาก็น่าจะได้ ในอดีตเรื่องของเศรษฐกิจเป็นแบบยังชีพและเจือจุน ไม่มีคนเห็นแก่ได้ สังคมอาชญากรรมก็แทบไม่มี มีเพื่อนบ้านเป็นกำแพง มีการแบ่งปันเป็นต้นทุนในวันรุ่งขึ้น และมีอะไรอีกมากมายที่เป็นสมบัติของบรรพชน แต่เดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้กับสังคมหัวโต ตาโต เคยได้ไปศึกษาและพูดคุยกับปราชญ์ชุมชน ที่ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แต่มีความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่พบก็คือ กว่าจะมองเห็นคุณค่าของเก่าและกลับลำปรับตัวเองได้ก็เคยถลำลึกเผลอไผลไปกับสังคมตาโตเหมือนกัน และกลับมายึดถือชีวิตแบบหลังเขาที่เน้นการมีความสุขทางใจมากกว่าทางกายก็พอมีให้เห็นอยู่มาก ถ้าจะอยู่กับสังคมตาโต หัวโตได้ คงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ถาโถมเข้ามาตลอดเวลา ใครหยั่งรากทางปัญญาได้ลึกและมั่นคงกว่า ก็สามารถดำรงตนอยู่ได้ ใครมีปัญญาแบบรากฝอยมากเป็นธรรมดาชีวิตจะหักและโค่นได้ง่ายว่า การดำเนินชีวิตเพื่อค้นหาสิ่งที่อยากได้จริงๆ จึงไม่มีคำตอบในวันนี้ว่า คืออะไร เนื่องด้วยแผนที่เดินทางที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้มาเคยเรียนมา มีเอาไว้เพียงเพื่อให้คนรู้ว่าเรามี ถ้าไม่ใช้ก็คงต้องเดินทางแบบลองผิดลองถูกเอาเองไปเรื่อยๆ คงไม่ต่างจากคนที่ทำความสุขหล่นหลายไปจากจิตใจ พออยากจะมีความสุขก็ไปหาเอาตามสถานบันเทิง ตามร้านเหล้า และสถานเริงรมย์ พอลืมตาตื่นก็ตาโตเหมือนเดิม ของมีคุณค่าแบบหลังเขา ก็เป็นของเก่าที่เฝ้ารอคนเห็นค่าต่อไป.....................
บทความดีมาก น่าสนใจมากครับ ทำใ้ผมตระหนักถึงะไรหลายๆเรื่องที่กำลังหายไปจากบ้านเรา
ยังไงใากบล้อค ผมด้วยนะครับ เป้นเรื่องน่าสนใจทั่วๆไปครับ