โรงเรียนบ้านพุต่อ....กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
โดย..ณัฐวุฒิ ศิลาโชติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง เป็นที่รู้จักกันดี เพราะได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2534 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย
ห้วยขาแข้งมีพื้นที่ครอบคลุม 6 อำเภอ 3 จังหวัดคือ อำเภอบ้านไร่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ 3,609,375 ไร่ หรือ 5,775 ตารางกิโลเมตร โดยมีการรวมพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเข้ามาด้วย ทำให้เป็นผืนป่าอนุรักษ์ต่อเนื่องที่อุดมสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปัจจุบันก็กำลังประสบปัญหากับผู้บุกรุก เข้าไปทำลายทรัพยากรป่าไม้และล่าสัตว์เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนจะต้องร่วมกันอนุรักษ์ ซึ่งส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์นั้น ต้องยอมรับว่าเยาวชนหรืออนาคตของชาตินั้น เป็นส่วนสำคัญและเป็นความหวังของผู้ใหญ่ ที่ต้องการเห็นสภาพป่าที่สมบูรณ์ต่อไปในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของโครงการโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา ที่กองทุนสัตว์ป่าโลก สำนักงานประเทศไทย ดำเนินงานขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจและจิตสำนึกที่ดีให้กับครู นักเรียน ชุมชนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าใจถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างถูกวิธี โดยทำการคัดเลือกโรงเรียนจากแต่ละอำเภอ ๆ ละ 2 โรงเรียน เพื่อเข้าร่วมโครงการนี้
ความจริงแล้วการสอนเรื่อง สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติศึกษา นั้นมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษในอดีตแล้ว ดังจะเห็นได้จาก การท่องทำนองบทร้องขับขาน ของเด็กๆ ในสมัยก่อนๆ จะว่าเป็นนิทานก็ไม่ใช่ อะไรเอ่ยก็ไม่เชิง ว่า
เด็กๆ ทำไมจึงร้อง.............................................................. (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันร้องเพราะว่าท้องมันปวด
ท้องเอยทำไมจึงปวด......................................................... (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องปวดเพราะว่าข้าวมันดิบ
ข้าวเอยทำไมจึงดิบ.............................................................. (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องดับเพราะว่าฟืนมันเปียก
ฟืนเอยทำไมจึงเปียก.............................................................. (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องเปียกเพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอยทำไมจึงตก.............................................................. (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง
กบเอยทำไมจึงร้อง.............................................................. (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องร้องเพราะว่างูมันรัด
งูเอยทำไมจึงรัด............................................................... (ซ้ำ)
จำเป็นที่ฉันต้องรัดเพราะว่าเป็นอาหาร
นี่คือ การสอนสิ่งแวดล้อมศึกษาหรือธรรมชาติศึกษา ที่ได้ผล เข้าใจง่าย และชี้ให้เห็นธรรมชาติใกล้ตัวใกล้วิถีชีวิตของเด็กๆในสมัยก่อน พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงกฎเกณฑ์ การพึ่งพา
อาศัย เชื่อมโยงกันของสรรพสิ่งอย่างสนุกสนานและเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นผู้ใหญ่ในสมัยก่อน ยังได้ใช้ความเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งเร้นลับในธรรมชาติมาเป็นเครื่องมือ(สื่อการสอน) เพื่อสอนให้เด็กๆ เกิดความเชื่อ กลัวเกรงต่อ
ผลของการทำลายธรรมชาติด้วย
ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2550 ข้าพเจ้าและคณะนิสิตดุษฎีบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งโดยการนำทีมของท่าน ผศ. ดร.รุจโรจน์ แก้วอุไร ได้พาคณะไปศึกษา
ดูงานโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา ที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งโรงเรียนนี้มีจุดแข็ง
คือด้านหลังของโรงเรียนมีผืนป่าใหญ่ของชุมชน เป็นแหล่งท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์สำคัญของจังหวัด
อุทัยธานี และก็ได้พบกับคุณครูอนงค์ คุณเดช ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ ได้ออกมาให้การต้อนรับด้วยหน้าตาชื่นมื่น จากนั้นก็ได้นั่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าอาคารเรียนแล้วท่านก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า โรงเรียนบ้านพุต่อ เป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา ที่ดำเนินงานของโครงการ โดยเน้นวัตถุประสงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกให้นักเรียน ครู และชุมชน ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของสิ่งแวดล้อมและเพื่อปลูกฝัง ให้นักเรียนรักและหวงแหนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีรูปแบบ ของกิจกรรมตามโครงการ ประกอบไปด้วย กิจกรรมการคัดแยกขยะ การจัดให้มีบล็อกสำหรับใส่เศษใบไม้ เพื่อสะสมเอาไว้ให้ย่อยสลายตามธรรมชาติจนกลายเป็นปุ๋ย มาตรการในการประหยัดน้ำ โดยจัดทำที่กักเก็บน้ำใช้แล้ว น้ำที่นักเรียนใช้แล้วจะถูกนำมารวมกันที่นี่ และมีจักรยานไว้สำหรับปั่นเพื่อสูบน้ำที่กักเก็บไว้จนตกตะกอนของเสียแล้วขึ้นมาใช้ในการรดน้ำต้นไม้ต่อไป และนอกจากนั้นยังมีกิจกรรมในด้านอื่นๆ อีก เช่น กิจกรรมดูนก กิจกรรมคนรักษ์ป่า เกษตรรุ่นเยาว์ กิจกรรมเรารักสิ่งแวดล้อม กิจกรรมนักประดิษฐ์น้อย เป็นต้น ส่วนภายในพื้นที่โรงเรียนนั้นก็ยังได้จัดให้มีสวนสมุนไพรไว้ให้นัก เรียนได้ศึกษาถึงพืชสมุนไพรที่มีอยู่ตามธรรมชาติอีกด้วย
ครูอนงค์ ท่านเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและภูมิใจว่านับตั้งแต่นำนโยบายโครงการโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษามาปฏิบัติกับนักเรียนนั้น พฤติกรรมต่างๆ ของนักเรียนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นักเรียนรู้จักช่วยกันประหยัดไฟและน้ำ รู้จักทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง และแยกประเภทของ ขยะ และผลผลิตที่สำคัญที่สุด คือนักเรียนได้ตระหนัก รู้ถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและชีวิตสัตว์มากขึ้น
จากที่นักเรียนชอบยิงนกเล่นเป็นที่สนุกสนาน ปัจจุบันกลับกลายเป็นยิงเมล็ด พืชธรรมชาติที่ติดอยู่บนยอดสูงของต้นไม้แทน เพื่อให้สัตว์กินพืชตามพื้นดิน ได้อานิสงส์กินเป็นอาหาร และหันมาสนใจศึกษาชีวิตนกแทนการล่าสัตว์ตัดชีวิต
คุณครูอนงค์ คุณเดช เล่าว่าท่านเป็นทั้งครูนักต่อสู้ นักอนุรักษ์นิยม เป็นประธานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ป่าชุมชน) โรงเรียนบ้านพุต่อ เล่าให้ฟังต่อไปว่า "เครือข่ายอนุรักษ์เริ่มจากกลุ่มชาวบ้านที่เห็นความสำคัญของป่าที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านของตัวเอง แล้วขยายออกไปรอบๆ ใกล้เคียง รวมตัวกันเป็นชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจ โดยผ่านความคิดเห็นที่ประชุมหมู่บ้าน ร่วมแรงร่วมใจ ในการรักษาป่า การบวชป่า เพื่อพิทักษ์ป่าต้นน้ำ การดับไฟป่า และสร้างแนวกันไฟ การสร้างอ่างพุก่าง ไว้เก็บกักน้ำจากแหล่งน้ำซึมน้ำซับ ตลอดการดูแลรักษาความสะอาดอ่าง พอทำๆ ไปกลุ่มผู้ใหญ่รุ่นนี้มีเวลาที่จะอยู่ดูแลรักษาป่าอีกไม่นาน ถ้าตายไปสิ่งต่างๆที่ร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง ก็จะสูญหายไปด้วย จึงมีแนวคิดที่จะหาผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพวกเรา.... และแล้วก็มองเห็นเด็กๆ เพราะอยู่ใกล้ชิดคลุกคลีกับเรา อะไรที่จะสอดแทรกปลูกฝังให้เขาก็เริ่มทำมันน่าจะดีกว่า ก็เริ่มโดยพาเขาไปปลูกป่า ไปเรียนในธรรมชาติ เพื่อให้เขาซึมซับว่า ป่าเป็นของเค้านะ พวกเค้าน่าจะมีมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา "
ด้วยแนวคิดนี้เอง ทางโรงเรียนจึงจัดตั้ง "ชมรมคนรักษ์ป่า" ขึ้น...คุณครูอนงค์ เล่าพร้อมถ่ายทอดความรู้สึกที่ประทับใจให้ฟังต่อว่า.... " การจัดตั้งชมรมฯ นับเป็นการสร้างโอกาสที่ดี ให้เด็กๆ ได้มาสัมผัสธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้เล็ก ต้นไม้ใหญ่ เป็นการสร้างความรัก
ความผูกพันให้เกิดขึ้นในใจเด็ก ทั้งยังจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดรับกับห้องเรียนธรรมชาตินี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชา สร้างเสริมลักษณะนิสัย ภาษาไทย ภูมิศาสตร์ หรือแม้แต่ศีลธรรม พระสงฆ์ก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในตอนแรกเริ่มกิจกรรมการปลูกป่าก็เป็นที่ตื่นเต้นของเด็กๆ มือหนึ่งถือกล้าไม้ อีกมือถือจอบเสียมเท่าที่จะพกพาได้ พากันเดินตามผู้ใหญ่ไปปลูกป่า แต่ด้วยระยะทาง ความเหน็ดเหนื่อยกว่าจะถึงจุดหมายก็เกิดความอ่อนล้าและหมดสนุกซะแล้ว จึงไม่สัมฤทธิ์ผล เราเป็นครูก็ต้องมาคิดหาวิธีการ ทำอย่างไรเด็กจะสนุกสนานในการเข้าไปปลูกป่าและศึกษาธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาไม่ใช่น้อย....
จนมาวันหนึ่งหลังเลิกเรียน คุณครูเห็นเด็กเอาหนังสตี๊ก มีลูกกระสุนเป็นก้อนหินมาไล่ยิงนก ตุ๊กแก กิ้งก่า ยิงต้นไม้ ต้นหญ้าเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่เป็นนานสองนาน ครูจึงได้คิดว่า. น่าจะสร้างวิกฤติให้เป็นโอกาส เอาเจ้าหนังสตี๊กที่เป็นของเล่นอันโปรดปรานของเด็กๆ จากที่มันเป็นผู้ทำลาย....ทำไมเราไม่ทำให้มันกลายเป็นผู้สร้างสรรค์ จากลูกกระสุนก้อนหินเปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เพราะโดยธรรมชาติเวลาเมล็ดที่แก่จัดจะแตกและดีดตัวออกไปงอกขึ้นเอง ทั้งนี้เด็กๆจะได้สนุกสนานด้วย " และแล้วจากความคิดเพียงแว๊บนั้นก็จุดประกายให้เกิดโครงการ "ปลูกป่าอากาศยาน" ขึ้น.....โดยทุกๆ บ่ายวันศุกร์พวกเด็กๆนักเรียนโรงเรียนบ้านพุต่อ จะขะมักขเม้นกับการเตรียมเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ที่เก็บมาจากเรือกสวน ไร่นา และที่บ้าน มานั่งล้อมวงเป็นกลุ่มๆ เพื่อนำดินเหนียวมาปั้นใส่เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆเช่น หางนกยูง ลิ้นจี่ ประดู่ ขนุน จามจุรี ฯลฯ โดยมีรุ่นพี่คอยเป็นผู้แนะนำน้องในการปั้นดินเหนียวให้เป็นลูกกลมๆ ขนาดพอเหมาะ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการทำลูกกระสุนของเจ้าหนังสะติ๊กผู้สร้างสรรค์ สำหรับกิจกรรมปลูกป่าที่จะทำในช่วงตรงกับฤดูฝน อันเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการสร้างกล้าไม้ใหม่ให้กับป่าชุมชนสวนพลูพุต่อ
ครูอนงค์เล่าให้ฟังต่อไปว่า ในการเดินทางไปปลูกป่าเด็ก ๆ นั้น จะพากันเดินไปเป็นแถว เดินไปตามถนน โดยมีคุณครูมานิต คุณครูอนงค์ และลุงทิดหนึ่ง คณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำทางเข้าสู่ป่าชุมชนสวนพลูพุต่อ ในระหว่างการเดินทางจะมีกฎกติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติร่วมกัน คือการไม่เก็บของป่า ไม่ฉีกใบไม้เล็กไม้น้อยระหว่างทาง ไม่ส่งเสียงดังรบกวนสัตว์ป่าต่างๆ ไม่วิ่งเล่นแตกกลุ่มไปโดยลำพัง แม้กฎบางข้ออาจขัดต่อวิสัยเด็กๆไปบ้าง ด้วยเมื่อมีโอกาสต่างก็ลิงโลดไปตามประสาเด็กที่ได้เดินทางเที่ยวป่า ตลอดเส้นทางเด็กๆได้เห็นและเรียนรู้ความเป็นธรรมชาติ ได้ดูนก ทั้งหยอกล้อกันเล่นสนุกสนาน ได้รู้จักพรรณไม้ รู้จักสมุนไพรอันมีประโยชน์ต่อคนเรา ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่เด็กๆ อันเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ของภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ลูกหลานโดยแท้ สิ่งเหล่านี้นับเป็นประสบการณ์ที่ดี อีกทั้งยังสร้างความเพลิดเพลินให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เมื่อมาถึงจุดหมายบริเวณเนินเขา คุณครูก็จะให้กระจายเป็นกลุ่มๆเพื่อให้เด็กๆ ได้เลือกมุมในการยิงเจ้าง่ามยางพร้อมกระสุนไปตามวิถีที่แต่ละคนต้องการ ทั้งอธิบายถึงวัตถุประสงค์ในกิจกรรมการปลูกป่าอากาศยานครั้งนี้ เด็กๆรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ บ้างพูดคุยล้อกันเล่นลูกกระสุนของใครจะไปได้ไกลกว่ากันเป็นที่สนุกสนานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและเสียงหัวเราะ. แล้วต่างก็กระจายกันยิงเจ้าง่ามยางโดยเล็งวิถีกระสุนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงร้องนับหนึ่ง..สอง.....สาม....พลันสายตาของแต่ละคนจับจ้องมองตามกระสุนเมล็ดพันธุ์ที่ดีดตัวลอยล่องไปไกลจนสุดสายตา พร้อมความหวังว่าเจ้ากระสุนเมล็ดพันธุ์นี้จะได้เติบโตเป็นต้นกล้าน้อยกลางผืนป่าในไม่ช้า แต่สำหรับความรู้สึกของคุณครูนั้น ภาพเหล่านี้ได้สร้างความรู้สึกปลาบปลื้มและอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งหน้าที่ในการรักษาป่าลงในเบ้าหลอมจิตใจของเด็กๆได้สำเร็จ
จะเห็นได้ว่า โครงการหรือกิจกรรมของโรงเรียนบ้านพุต่อนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในเท่านั้น ถ้าหากทุกๆ โรงเรียนได้หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ มิใช่แค่ว่าการที่จะสอนให้เด็กได้เรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อท่องจำ หรือ ท่องไว้ใช้ตอบคำถามในการทำข้อสอบ ก็จะทำให้การสอนสิ่งแวดล้อมศึกษา ล้มเหลวหรือไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง ทำอย่างไรจึงจะทำให้เนื้อหาของสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิชา แต่เป็นเนื้อหาของวิถีชีวิต อนึ่ง ถ้าหากเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติได้รับการปลูกฝัง สร้างจิตสำนึกที่ดีเกี่ยวกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ก็จะสามารถรักษาให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
เข้ามาร่วมรับฟังด้วยความอิ่มเอมใจค่ะ คุณ Donut
อ่านเพลินเลย...
สำนวนการเขียน และบรรยากาศ (ของตัวอักษร) คล้ายๆ หนังสือ ต่วย'ตูน ของคุณพ่อเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ แล้วเดือนจะตามมาอ่านตอนต่อๆ ไปอีกนะคะ
แวะมาเยี่ยมครับ
กิจกรรมลักษณะนี้ที่ จ.กำแพงเพชร และพิษณุโลก ก็มีหลายแห่งนะครับ
หวัดดีค่ะ
หนูเคยเรียนอยู่ที่รรบ้านพุต่อ
เพราะพ่ออยู่ซอยโนนสว่าง
สวัสดีนะคะ
หนูเป็นลูกสาวของ คุณครูอนงค์ คุณเดช
ต้องขอบคุณมากนะค่ะที่นำข้อมูลที่คุณแม่เล่ามาเผยแพร่ คุณแม่ได้ทำอะไรให้สังคมเยอะมากค่ะ
แต่ตอนนี้คุณแม่เสียแล้วค่ะ แต่ความดีของแม่ยังอยู่ ขอบคุณนะค่ะ ที่นำสิ่งที่แ่ม่ได้กระทำมาเผยแพร่
ปล.แม่เสียเมื่อ 29 ธ.ค. 2553 ค่ะ โรคมะเร็งได้พรากแม่ไปจากพวกเรา
วัดดีครับวันนี่วันแม่
ผมอย่าเห้นหน้าแม่จังเลยครับ
รักแม่ครับ
L๏v€ แม่
ขอแสดงความเสียใจ..กับญาติๆ..ที่สูญเสีย ครูอนงค์..ไป นะครับ..ท่านได้ทิ้งความดีงาม ทั้งหลายทั้งปวง..ไว้ ณ บ้านพุต่อ..
ขอให้ดวงวิญญาณท่าน จงไปสู่สุคติ..นะครับ
ร.ร.บ้านพุต่อ
ใครจะย้ายหรือครับ
ตอบ.........
โทดครับ .-.
ไม่ต้องตอบ .-.
อ่านผิดครับ .-.
ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ที่พุต่อจะจบป.6แล้วค่ะ
ชื่อหมูหยองค่ะ ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ ร.ร.บ้านพุต่อกำลังจะจบแล้วค่ะ
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆสบายดีไหมค่ะ
เตยรักครูทุกคนค่ะ