เรียนสามก๊กฉบับนักบริหาร วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๒(ตอนที่ ๑ - ๓)


เล่าเรื่องที่เมืองเพชร

เรียนสามก๊กฉบับนักบริหาร วันที่ ๒  มีนาคม  ๒๕๕๒(ตอนที่ ๑ - ๓)

วันจันทร์ที่ ๒  มีนาคม  ๒๕๕๒  ออกจากบ้านเมืองนนท์เวลา ๐๕.๓๐ น. เข้าถนนราชพฤกษ์ ไปออกถนนบรมราชชนนี ผ่านสะพานพระราม ๘ เข้าถนนพระราม ๖ เพราะมีธุระที่โรงพยาบาลรามาธิบดี  เลี้ยวซ้ายผ่านสวนจิตรดารโหฐานตรงไปออกยมราช ขึ้นทางด่วนที่ด่านนี้   ถึงวิทยาลัยเวลา ๐๘.๑๐ น. จึงไม่ไปทานอาหารเช้า รอคณะเข้าแถวเคารพธงชาติ   วันนี้ทั้งวันเรียนเรื่อง บทเรียนการปกครองและการบริหารมองผ่านวรรณกรรม  วิทยากรคือ ศาสตราจารย์ ดร. เจริญ  วรรธนะสิน ตัวละครที่หยิบยกมาอธิบายบุคลิกภาพเชิงบริหารจะนำมาจากนิยายจีนเรื่องสามก๊ก  สามก๊ก เป็นผลงานการประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของจีน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ชั้นเอก ที่เขียนถึงในช่วงราชวงศ์หมึง นิยายเรื่องนี้ประกอบไปด้วย เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงประมาณ 70 % และ คาดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองอีก ประมาณ 20 % อย่างเช่น หนังสือบางฉบับกล่าวว่า อาวุธของกวนอู นั้นหนักราว ๆ 40 กิโลกรัม เรื่องราว เกี่ยวกับความสามารถของ ลิโป้ ม้าของ เล่าปี่ ที่มีอยู่จริงบนเนินหงส์ร่วง และนอกนั้นก็อาจเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคทองของเหล่าทหารและนักรบ และแม้ว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นมานานกว่า 1700 ปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อของตัวละครต่าง ๆ เช่น เล่าปี่ โจโฉ กวนอู เตียวหุย และขงเบ้ง ก็ยังกลายมาเป็นชื่อที่ชาวจีนนิยมใช้ เพื่อตั้งเป็นชื่อของคนใจครอบครัว สามก๊ก ไม่ได้เพียงแต่กล่าวถึงเรื่องของการทำสงคราม การต่อสู้แย่งชิง และความขัดแย้ง อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี การทรยศหักหลัง ความทะเยอทะยาน ความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ การทดแทนบุญคุณ และความเชื่อมั่นไว้วางใจกัน และกันของบุคคลต่าง ๆ ในเรื่อง

    สามก๊ก ฉบับนักบริหาร : บทที่ 1 กลุ่มม็อบโจรโพกผ้าเหลือง  

แผ่นดินจีนนี้กว้างใหญ่ มวลชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ แต่ก็หนีหลีกพ้นจากทฤษฎีแห่งวิภาษวิธี (Dialectic Theory) วัฏจักรแห่งวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์หาได้ไม่ ตามที่มีปรากฏคำจารึกโบราณในข้อเขียนของบัณฑิตในยุคก่อนซานกั๊วะเอี๋ยนอี้ว่า สถานการณ์ในแผ่นดินนี้ เมื่อแตกแยกมานาน ก็จักรวมสมาน รวมสมานมานาน ก็จักแตกแยก ยุคชุนชิว 5 อธิราชแย่งชิงความเป็นใหญ่ ยุคจ้านกั๋วแผ่นดินจีนแยกออกเป็น 7 ก๊กเรืองอำนาจ ก่อสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นเวลายาวนานถึงกว่า 500 ปีมาถึงยุคจิ๋น ก๊กจิ๋นของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพได้ แต่ก็อยู่ไม่นาน หลังราชวงศ์จิ๋นสิ้นอำนาจก็เกิดสงครามระหว่างก๊กฌ้อกับก๊กฮั่น-(ฌ้อปาอ๋องกับเล่าปัง) ท้ายที่สุดก๊กฮั่นเป็นฝ่ายชนะ เล่าปังเป็นผู้นำที่บริหารการศึกสงครามเหนือกว่า รู้จักบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ดีกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะ มาถึงยุคตงฮั่นจึงได้สถาปนาขึ้นเป็นปฐมวงศ์ฮั่นพระนามว่า พระเจ้าฮั่นโกโจฮ่องเต้ในปี พ.ศ. 631 ราชวงศ์ฮั่นสืบราชสันตติวงศ์ต่อเนื่องมา จนถึงรัชสมัยยุวกษัตริย์มีพระนามว่า ฮั่นบูเต้ ทรงพระชันษาเพียง 10 พรรษาขึ้นครองราชย์ กลุ่มขันทีในราชสำนักกำเริบเสิบสาน ทำการโค่นอำนาจตู้ไทเฮากับตู้เสียนพี่ชายลงได้ ยึดกุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน หลังจากนั้นได้เกิดการช่วงชิงอำนาจผลัดแผ่นดินกันบ่อยครั้ง มีการสถาปนาองค์ฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นยุวกษัตริย์  ด้วยกลยุทธ์ตัวแทนนอมินีแฝงตัวใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินหลังม่าน นับแต่พระเจ้าอันเต้ ซุ่นเต้ จื้อเต้ ล้วนเป็นยุวกษัตริย์ที่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิด บางองค์ถูกปลงพระชนม์ด้วยยาพิษกับวิธีการอื่น ๆ ในการยึดอำนาจผลัดแผ่นดินมาถึงรัชสมัยพระเจ้าฮวนเต้(พ.ศ. 690) หาพระราชบุตรมิได้ ทรงขอเลนเต้สามัญชนบุตรขุนนางชายแดนมาเลี้ยง จนเลนเต้ได้เสวยราชย์ (พ.ศ. 711) มีพระราชบุตรสององค์ คือ หองจูเปียน กับหองจูเหียบ พระเจ้าเลนเต้ด้อยความสามารถ มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี กาลวิบัติของฮ่องเต้องค์นี้ เกิดขึ้นจากข้าราชบริพารที่อยู่แวดล้อมมิได้เป็นคนดีมีศีลสัตย์ ฉาบหน้าล้วนวางท่ามีเกียรติ แฝงอุดมด้วยวาระซ่อนเร้น ยึดถือประโยชน์ส่วนตน มิได้สนใจในทุกข์สุขของประชาราษฏร์ฮ่องเต้กับโฮเฮาอัครมเหสี รวมทั้งตังไทฮอพระราชมารดาคนสามัญ หลงเชื่อ ฟังแต่พวกขันทีประจบสอพลอ ยกย่องขันทีให้เป็นใหญ่ในแผ่นดินยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเลนเต้ทรงมีอำนาจราชศักดิ์ แต่ทรงบริหารราชการแผ่นดินกับอำนาจที่พระองค์มีอยู่ไม่เป็น ที่ควรแข็งมิแข็ง ที่ควรอ่อนมิอ่อน อีกทั้งยังได้แม่ทัพชื่อโฮจิ๋น เป็นพี่ชายของอัครมเหสีโฮเฮา มีรากเหง้ามาจากคนฆ่าสัตว์ขายหมู เป็นคนทึ่ม ไร้ความรู้ทางการทหารและการปกครองบ้านเมือง คนในราชสำนักรวมทั้งพวกขันทีทั้ง 10 มิได้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ รับสินบาทคาดสินบน บิดเบือนคำเพ็ดทูล จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ชอบเป็นผิด และผิดเป็นชอบขุนนางตงฉินใหญ่ที่ซื่อสัตย์รักความยุติธรรมยังหลงเหลืออยู่บ้าง มิยอมเข้าด้วยกับระบบสายอำนาจที่ไร้ธรรมมิยอมเข้าด้วย ขุนนางดี ๆ จึงมักถูกถอด ถูกขับออกจากราชการ หรือไม่ก็ถูกหาเหตุบีบให้ลาออก ราชการบ้านเมืองจึงแปรปรวน ความเป็นธรรมหาได้ยากในแผ่นดิน เบื้องบนเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างจึ่งชอบทำตาม บรรดาขุนศึกต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ผู้มีฐานะดีมีเงินต่างปรับตัวกลายเป็นอิทธิพลท้องถิ่น ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร แย่งยึดที่ดินทำกินของสุจริตชน อาณาประ ชาราษฎร์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้านับวันอำนาจรัฐเริ่มอ่อนแอ กลุ่มอิทธิพลจับสายโยงประโยชน์กับขุนนางต่อท่อ ปลุกม็อบให้ราษฎรลุกขึ้นต่อต้าน ทีแรกว่าจ้างม็อบคนละ 300 อีแปะบ้าง 500 อีแปะ รวมข้าวห่อกับกระบอกน้ำต่อการชุมนุมแต่ละครั้ง จนกลุ่มม็อบขยายใหญ่มากขึ้นทุกวัน หัวหน้าแกนนำปลุกระดมมวลชน ก่อม็อบปลุกม็อบ ทุกแห่งหนมีแต่การสร้างภาพ อ้างคุณธรรมจอมปลอม อ้างทำเพื่อประชาชน อ้างทำเพื่อแผ่นดิน หาคนที่มีจริยธรรม คุณธรรมและความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินแทบไม่มี นับวันความแตกร้าวในสังคมมีมากขึ้น ความโกลาหลบนแผ่นดินจึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้บ้านเมืองที่เกิดกลียุค กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ คนในชาติแบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นก๊วน ตำแหน่งขุนนาง ตำแหน่งนายอำเภอ ตำแหน่งเจ้าเมืองสามารถหาซื้อได้ด้วยการติดสินบนขุนนางชั่วรวมทั้งพวก 10 ขันทีในราชสำนัก เมื่อตำแหน่งที่ได้มานั้นต้องลงทุนสูง เมื่ออยู่ในตำแหน่งจึงต้องหาทางถอนทุนคืนในทุกวิถีทางที่มือจะเอื้อมไปถึงได้สังคมมีแต่อำนาจเถื่อน เอารัดเอาเปรียบกัน กฎเกณฑ์สังคมเต็มไปด้วยมาตรฐานซ้ำซ้อน หันไปทางไหนจะพบแต่การฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้คนในสังคมภายใต้ระบบนี้ ต่างยึดคติพจน์ นกยังต้องหาที่เหมาะสำหรับทำรัง ไม้พันธุ์ดี ต้องได้ดินดี ถึงจะเจริญงอกงามได้ การวิ่งเข้าหาสายอำนาจ กับการหาโอกาสให้แก่ตัวเอง กลายเป็น Social Norm อันเป็นปรกติวิสัยของคนยุคนั้นเมื่ออำนาจรัฐเสื่อม แผ่นดินจีนยุคนั้นจึงร้อนระอุด้วยไฟแห่งการก่อขบถจลาจล มีกลุ่มของเตียวก๊กที่มาจากกลุ่มวังลิก๊กกุ๋นกำเริบเสิบสานมากที่สุด ให้อ้วนยี่เอาเงินทองไปติดสินบนฮองสีขันทีให้เป็นไส้ศึก คอยคาบข่าวที่ออกมาจากราชสำนัก เตียวก๊กเมื่อกำหนดวันก่อการแล้ว จึงให้ตองจิ๋วคนสนิทถือหนังสือลับไปนัดหมายกับฮองสีขันที ตองจิ๋วกลับทรยศเอาหนังสือลับไปขายให้ขุนนาง ความแตกพระเจ้าเลนเต้ทรงให้ขุนพลโฮจิ๋นพี่ชายโฮเฮาออกปราบจลาจล จับอ้วนยี่ฆ่าเสีย แล้วจับฮองสีขันทีโยนไปตายในคุกเมื่อเหตุการณ์แปรผันข่าวการก่อการรั่วไหล เตียวก๊กตกกระไดพลอยโจนประกาศแข็งเมืองตั้งตัวเองขึ้นเป็นเทียนจงกุ๋น หรือเจ้าพระยาสวรรค์ มีกำลังพลสี่สิบห้าหมื่น แจกผ้าเหลืองให้โพกหัวเป็นเครื่องหมาย ชาวบ้านที่ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้อีกแล้ว รวมทั้งผู้อดอยากหิวโหยหลายหมื่นคน เริ่มนับถือเลื่อมใสเตียวก๊ก อาสาสมัครเป็นทหารกบฏเพิ่มมากขึ้นม็อบโพกผ้าเหลืองชูธงลุกขึ้นสู้ ในเดือนอ้าย พ.ศ. 427 โจรโพกผ้าเหลืองก่อกบฏเต็มรูปแบบ บุกสังหารปล้นเผาจวนขุนนาง แต่ละครั้งที่บุกโจมตี จะพากันร้องตะโกนสะโลแกนด้วยเสียงอันดัง “ฟ้าครามสิ้นแล้ว ฟ้าเหลืองขึ้นแทน ปีชวดนี้แล ใต้ฟ้ารุ่งเรือง” ไฟสงครามลามไหม้ เพียง 10 วันม็อบป่วนขยายไปทั่ว สั่นสะเทือนไปถึงราชธานี ลำพังแต่กองกำลังทหารหลวงไม่อาจจะปราบให้สงบราบคาบได้

    สามก๊ก ฉบับนักบริหาร : บทที่ 2 เล่าปี่พบทองแท้บนกองทราย  

             ขุนพลโฮจิ๋นนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ จึงโปรดให้มีสารตราแจ้งไปยังทุกหัวเมือง เปิดรับอาสาสมัคร หากผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญช่วยปราบม็อบโจรโพกผ้าเหลืองได้ ทางการจะปูนบำเหน็จความดีความชอบให้เป็นขุนนาง ข่าวนี้แพร่ออกไปเปิดโอกาสให้ชาวบ้านกลุ่มเป้าหมาย มองเห็นหนทางสร้างความก้าวแก่ชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ต่างทยอยสมัครเข้าเป็นทหารกันมากมาย สถานการณ์บ้านเมืองของจีนในตอนนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว รัฐก่อม็อบชนม็อบ ปลุกปั่นให้ผู้คนในแผ่นดินเข่นฆ่ากันเอง ก๊กกับก๊วนต่าง ๆ ประดาหน้าออกมาอ้างประกาศความรักชาติ รักบ้านเมือง รักประชาชน แต่ส่วนใหญ่ขาดอุดมการณ์ ขาดความสัตย์ซื่อ ขาดความถูกต้อง และขาดความเที่ยงธรรมสังคมจีนยุคนั้นเป็นยุคที่ขาดการบริหารแบบธรรมาภิบาล และที่สำคัญที่สุด ขาดผู้นำดีเด่นที่ชัดเจนเด็ดขาด เป็นที่ศรัทธาของปวงชนสามารถกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองให้สงบราบคาบลงได้ และในครั้งนั้น ณ ตลาดเมืองตุ้นก้วน มีชายสามคนมาประจัน หน้าพบกันโดยบังเอิญ
คนแรกชื่อ เล่าปี่ เป็นคนทอเสื่อขาย เมื่อน้อยเรียนหนังสืออยู่ชื่อ เหี้ยนเต็ก เป็นบุตรเล่าเหงขุนนางคงแก่เรียน เล่าเหงเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ แต่เสียชีวิตเมื่อยังหนุ่ม ครอบครัวเล่าปี่กับมารดาจึงตกยากอาศัยอยู่ที่เมืองตุ้นก้วน ยึดอาชีพทอเสื่อกับร้องเท้าฟางขายเลี้ยงชีวิต ณ หมู่บ้านเล่าซองฉุน
คนต่อมาชื่อกวนอู เมื่อน้อยชื่อ หุนเตี๋ยง เป็นชาวเมืองฮอตังไกเหลียง สูง 9 ฟุตจีน หน้าแดงดั่งผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม ตาดั่งนกการะเวก คิ้วดั่งตัวไหม กิริยาท่าทางองอาจน่าเกรงขาม เป็นคนขายถั่วในตลาด เป็นคนสัตย์ซื่อ รักความยุติธรรม เห็นคนมีฐานะดีสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง ทนไม่ได้เลยฆ่าเสีย หลบคดีอาญาหนีกระเซอะกระเซิงมาหลายเมือง จนมาโผล่ที่เมืองนี้
คนที่สามชื่อ เตียวหุย เมื่อน้อยชื่อเอ๊กเต๊ก สูง 8 ฟุตจีน ศีรษะเหมือนเสือดาว ตาโต คางแหลม หนวดแหยมดั่งเสือ เสียงดั่งฟ้าร้อง กิริยาดั่งม้าดีดกะโหลก เป็นคนขวานผ่าซาก พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์กลสาไถยกับใคร เตียวหุยผู้นี้เป็นคนมีฐานะดี มีทรัพย์สินไร่นาเป็นอันมาก ตั้งร้านขายหมูขายสุราอยู่ในเมืองตุ้นก้วน รักที่จะคบหาคนดีมีสติปัญญาทั้งสามคนพบสนทนาถูกคอกัน ต่างพบว่ามีอุดมการณ์ตรงกัน ยิ่งรู้ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ ก็ยิ่งเลื่อมใส เห็นลักษณะท่าทางเล่าปี่เยือกเย็นสุขุม เจรจาหลักแหลม มีจิตใจดี รูปร่างสูง หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า ตายาวชำเลืองไปเห็นใบหู ผิวนวลดั่งหยอก ริมฝีปากแดงดั่งแต้มชาต เตียวหุยจำได้ว่าบ้านที่เล่าปี่อยู่นั้นชื่อบ้านเล่าซองฉุน เรือนนั้นปลูกอยู่ริมต้นหม่อนสูง 8 วา มีกิ่งเป็นพุ่มดั่งฉัตร ซินแสหมอดูเดินมาเห็นภูมิบ้านกับต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ ชะรอยเล่าปี่ต้องเป็นผู้มีบุญตามที่ซินแสทำนายไว้เล่าปี่ใช้คุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ที่ยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม สมถะ มักน้อย ที่เป็นต้นทุนสำคัญของเล่าปี่ คือ พูดจาไพเราะหูชักจูงผู้คนได้ผลสัมฤทธิ์ เมื่อกวนอูกับเตียวหุยพนมมือคำนับเล่าปี่ พร้อมปวารณาจะถวายชีวิตให้ความร่วมมือก่อการใหญ่กู้ชาติบ้านเมือง เล่าปี่พนมมือคำนับตอบ พร้อมทั้งหลั่งมธุรสวาจาให้กวนอูกับเตียวหุยว่า
“พวกท่านเปรียบเสมือนผู้นำฟืนมาให้ยามหนาว มาบัดนี้ ข้าฯ ได้พบทองแท้บนกองทรายแล้ว นับว่าสวรรค์เมตตาให้วาสนาข้าฯ ได้มาพบกับท่านทั้งสอง.... ”
กวนอูเลื่อมใสเล่าปี่ ถึงกับออกปากเผยความในใจออกมาว่า
“ นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย....”
หลังบ้านเตียวหุย ดอกท้อกำลังบานเต็มสวน ทั้งสามจัดเครื่องเซ่นไหว้ คุกเข่าตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน “สามใจรวมเป็นหนึ่ง ดินเหลืองกลายเป็นทอง แม้นมิได้เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน...”ล่อกวนตงร่ายโศลกการสาบานของสามพี่น้องวีรชนในสวนท้อไว้ดังนี้.-
“คารวะหนึ่ง ยามจลาจล มาพบ คนรู้ใจ
ดอกท้อยิ้ม บานไสวส่อง แท่นบวงสรวง
ปณิธานสร้างสันติ แทนคุณชาติ ประกาศวีรกรรม
คารวะสอง จงภักดีหาญกล้า ทุกข์ยากร่วมฝ่าฟัน สัญญาไม่แยกกัน
คารวะสาม ถึงตายไม่แปรผัน ดินฟ้าตะวันจันทรา ยิ่งเสริมเติมใจ ให้หาญกล้า...”
ด้วยทุนเงินของเตียวหุย สามพี่น้องร่วมสาบานเกลี้ยกล่อมชาวบ้านได้300 คนจัดตั้งกองอาสาสมัครประชาชนขึ้น ผลิตอาวุธเท่าที่จำเป็น เล่าปี่หาช่างตีเหล็กทำกระบี่ 2 เล่มเป็นคู่มือ กวนอูให้ช่างตีเป็นง้าวยาว 11 ศอก หนัก 82 ชั่ง ส่วนเตียวหุยใช้อาวุธทวนยาว 10 ศอก ทำเครื่องเกราะกับอานม้าสำหรับออกรบ แล้วเล่าปี่ก็พาพลพรรคไปอาสาสมัครต่อเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตุ้นก้วน คนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่เพียงไม่กี่วัน ทหารเอกของเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองชื่อเทียอ้วนจี้ ยกพลห้าหมื่นมาประชิดแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมพลห้าร้อยคนไปจับโจร แม้ว่ากำลังจะน้อยกว่าร้อยเท่า ในการรบครั้งแรก กวนอูใช้ฝีมือง้าวฟันเทียอ้วนจี้ทหารเอกโจรโพกผ้าเหลืองตัวขาดสองท่อนตกจากม้าตายเป็นประเดิม ส่วนเตียวหุยใช้ทวนแทงเตงเมารองแม่ทัพตกม้าตายเช่นเดียวกัน ขาดแม่ทัพพวกโจรก็แตกกระจาย ถูกจับได้เป็นจำนวนมากในการรบครั้งที่สองที่เมืองเฉงจิ๋ว สามสหายร่วมสาบานเอาชนะโจรโพกผ้าเหลืองได้อีก ระหว่างทางพบโลติดผู้เคยเป็นครูของเล่าปี่ถูกข้าหลวงคุมคนโทษจับใส่กรง ทั้ง ๆ ที่โลติดคุมทหารหลวงรบกับเตียวก๊กที่เมืองกงจ๋ง เล่าปี่โจนลงจากหลังม้าด้วยความตกใจ สอบได้ความว่า ขณะที่โลติดล้อมเตียวก๊กกำลังจะได้ชัยอยู่แล้ว พระเจ้าเลนเต้ใช้จูฮงขันทีมาตรวจราชการ จูฮงพยายามรีดไถเรียกสินบนของกำนัล พอไม่ได้จูฮงก็โกรธ กลับไปเพ็ดทูลว่าโลติดนั่งกินนอนกินไปวัน ๆ มิได้ใส่ใจรบพุ่ง ทรงเชื่อจูฮงขันที จึงสั่งให้จับโลติดไปรับโทษที่เมืองหลวง พร้อมกับสั่งให้ตั๋งโต๊ะที่คุมทหารนอกเมืองหลวงมาบัญชาการรบแทนเตียวหุยได้ฟังเรื่องราวโกรธนัก ชักกระบี่ออกจะฆ่าผู้คุมเพื่อปล่อยตัวโลติด แต่เล่าปี่ห้ามไว้ เพราะนี่เป็นรับสั่งจากเมืองหลวง ทำอะไรลงไปจะมีความผิดต่อกฎหมายแผ่นดิน “เราจะทำราชการด้วยนั้นเห็นขัดสน ทำชอบอาจผิดอย่างครูโลติด... อย่ากระนั้นเลยเรากลับไปบ้านเราที่ตุ้นก้วนดีกว่า..”

    สามก๊ก ฉบับนักบริหาร : บทที่ 3 ฉ้อราษฎร์บังหลวง  

อีกสองวันต่อมา ตั๋งโต๊ะเสียทีตกอยู่ในที่ล้อมของเตียวก๊ก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย คุมกำลังลงไปช่วยจนทัพเตียวก๊กแตกหนีกระจายไป ตั๋งโต๊ะจึงให้หาทั้งสามเข้าพบ ไต่ถามว่าพวกเจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งใด เล่าปี่บอกว่าเรามิได้เป็นขุนนาง แต่เป็นกองอาสาสมัครประชาชน ได้ยินดังนั้นตั๋งโต๊ะทำกิริยาดูถูก ให้ขับสามสหายออกไปเสีย เตียวหุยโกรธหุนหันชักกระบี่จะเข้าไปฆ่าตั๋งโต๊ะ เล่าปี่ห้ามไว้ เขาเป็นคนของหลวง ขืนทำไปพวกเราจะกลายเป็นขบถ เตียวหุยน้อยใจบอกว่า คนชั่วอย่างตั๋งโต๊ะไม่ฆ่าเสียตอนนี้ มันใช้อำนาจราชการก่อความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองสืบไปเป็นแน่ ถ้าพี่ทั้งสองไม่ฆ่ามันเสีย เราจงแยกทางกันเถิด เล่าปี่เห็นเตียวหุยโกรธนักจึงปลอบใจว่า เราสามคนสาบานเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย จะแยกทางเสียสัตย์ต่อกันอย่างไรได้ เตียวหุยได้ฟังแล้วจึงคลายโกรธ  ตัวอย่างที่เห็นได้จากกรณีที่โลติด ครูเล่าปี่ ขุนนางตงฉินที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ทำดีแต่กลับถูกขันทีชั่วกล่าวโทษให้กลายเป็นร้าย รวมทั้งเหตุการณ์ที่ตั๋งโต๊ะ ผู้นำไร้ปัญญาที่มิรู้การหนักเบา มิรู้จักแยะแยะคนดีกับคนชั่ว ถือตัวยึดอัตตา แบ่งชั้นวรรณะ มิรู้จักอ่านคน รังเกียจกองอาสาประชาชนที่มีเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเป็นแกนนำ มองข้ามความสำคัญของคนเก่งคนดีมีความสามารถ ส่อให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมที่นำพาไปสู่ความเสื่อมโทรมของสถานการณ์บ้านเมืองในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน  สังคมที่ผู้นำมีอำนาจแต่ขาดจริยธรรมคุณธรรม ย่อมจะขาดเสียซึ่งความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองโดยอัตโนมัติ วัฒนธรรมกับศีลธรรมในสังคมจะเสื่อมถอย คนดีมักจะกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม คนถูกกลายเป็นผิด คนชั่วได้ดีด้วยอำนาจเส้นสายค้ำ การที่เล่าปี่ห้ามเตียวหุยมิให้ฆ่าทำร้ายตั๋งโต๊ะ บนหลักการเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่โดยตรรกะทางโลกแล้ว หากตั๋งโต๊ะถูกเตียวหุยฆ่าเสียให้ตายได้ในหนนั้น ประวัติศาสตร์จีนจะไม่มีจอมทรราชตัวร้าย ที่ก่อความเดือดร้อนให้แก่บ้านเมืองอย่างสาหัสในเวลาต่อมาได้   เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แม้จะทำงานตามอุดมการณสร้างคุณต่อแผ่นดิน แต่ก็ยังต้องทำดีด้วยการอาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้อื่น จากเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตุ้นก้วน สามสหายเดินทางไปถึงเมืองเองฉวน จูฮีนายทัพให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ขอร้องให้อยู่ช่วยกันปราบโจรโพกผ้าเหลือง สามพี้น้องเห็นจูฮีมีจิตใจดีก็รับคำ ออกเป็นทัพหน้าไปตีเตียวโป้น้องชายเตียวก๊กที่เมืองเยียงเซีย ระหว่างการสู้รบ เล่าปี่ยิงเกาทัณฑ์ไปปักที่ไหล่เตียวโป้ จนต้องพาทหารหนีเข้าเมืองและไม่ออกรบอีก ไม่ช้าในเมืองก่อขบถ ลูกน้องทรยศต่อนาย ลอบฆ่าเตียวโป้ตัดศีรษะส่งมาให้จูฮีกับเล่าปี่  อาศัยกำลังฝีมือของสามสหายร่วมสาบาน จูฮีปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่เมืองอ้วนเซีย รวมทั้งอีก 15 หัวเมืองจนราบคาบ ได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ ยกทัพกลับเมืองหลวง พร้อมกับนำเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยไปด้วยเพื่อถวายตัวต่อฮ่องเต้ที่ลกเอี๋ยง จูฮีได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพม้ามีตำแหน่งเฝ้าและเป็นเจ้าเมืองโห้หลำ ส่วนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นคนบ้านนอก ขาดเส้นสายคอยวิ่งเต้นภายใน เฝ้าคอยบำเหน็จในเมืองหลวงประมาณเดือนเศษก็ยังไร้วี่แวว แต่ก็ได้ข่าวว่าโลติดพ้นโทษ เพราะแม่ทัพนายกองที่มีใจเป็นธรรมยังหลงเหลืออยู่บ้าง ช่วยกันกราบทูลว่าโลติดไม่มีความผิดเหมือนดั่งที่ถูกจูฮงขันทีกล่าวหามาถึงตอนนี้สามสหายร่วมสาบานพากันเศร้าสลดใจในความเหลวแหลกของราชสำนัก ใกล้จะหมดใจ เผอิญได้พบกับเตียวกิ๋นขุนนางฝ่ายในขี่เกวียนผ่านมา เล่าปี่ปรับทุกข์ให้ฟัง เตียวกิ๋นตกใจจึงรีบพาทั้งสามเข้าเฝ้า พบว่าเป็นความบกพร่องของขันทีทั้ง 10 ที่กีดกันมิให้นำความดีความชอบขึ้นกราบทูล พระเจ้าเลนเต้จึงสั่งให้ปูนบำเหน็จเล่าปี่ไปเป็นเจ้าเมืองอันห้อก้วน ส่วนกวนอูกับเตียวหุยมิได้โปรดว่าอย่างไรเส้นทางที่เล่าปี่กว่าจะได้รับความดีความชอบ เป็นเส้นทางสายวิบากที่น้อยคนในยุคนั้นจะฟันฝ่าเข้า ถึงได้ ถ้ามีเส้นสายเงินทองโรยไปตามเส้นทางสายอำนาจ แม้มิได้ทำความดีความชอบอะไรมากมาย ก็มีโอกาสเป็นขุนน้ำขุนนางกับเขาได้ เล่าปี่ปกครองประชาชนโดยธรรม ทำหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่อ แก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่าง ๆ ของชาวบ้านที่เมืองอันห้อก้วนอย่างเที่ยงธรรม แค่เดือนเดียวชาวเมืองก็ยกมือท่วมหัว สรรเสริญเล่าปี่กันถ้วนหน้า โดยมีกวนอูกับเตียวหุยคอยพิทักษ์ช่วยเหลืออยู่เคียงข้างมิได้ห่างเล่าปี่กินตำแหน่งเจ้าเมืองล่วงมาเพียง 4 เดือน ลกเอี๋ยงมีพระบรมราชโองการให้ลดจำนวนขุนนางฝ่ายทหารที่ครองตำแหน่งพลเรือนทั่วราชอาณาจักร อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ เล่าปี่มิได้มีเส้นสายในเมืองหลวง เมื่อได้ข่าวจึงแอบหวั่นใจอยู่ว่าอาจถูกปลด ในครั้งนั้น ต๊กอิ้วขุนนางฝ่ายในเป็นข้าหลวงตรวจการตัดทอนขุนนางฝ่ายทหารตามพระบรมราชโองการต๊กอิ้วมาถึงอันห้อก้วน เล่าปี่รู้ข่าวออกไปรับถึงนอกเมือง ต๊กอิ้ววางมาดของขุนนางใหญ่โต แสดงกิริยาหยามเหยียดเล่าปี่ เวลาแจ้งข้อราชการใช้แส้ม้าชี้หน้าอย่างดูแคลน เตียวหุยจอมมุทะลุเห็นดังนั้นก็โกรธจัด แต่กัดฟันข่มใจไว้ เล่าปี่รักษาอารมณ์เชิญต๊กอิ้วเข้าเมือง ให้การต้อนรับตามธรรมเนียม ต๊กอิ้วขึ้นนั่งในที่สูงของผู้ว่าการ เล่าปี่ลดตัวลงมายืนอยู่ข้างล่างต๊กอิ้วถามปูมหลังของเล่าปี่ พอรู้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ อยู่เมืองตุ้นก้วน มีความชอบปราบจลาจลโจรโพกผ้าหลือง 34-35 ครั้ง จึงโปรดให้มาอยู่รักษาเมืองนี้ ต๊กอิ๋วตวาดว่า เจ้าบ้านนอกอวดคุยโต อวดอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่ว่าออกรบตั้งหลายสิบครั้ง ดูสารรูปของเอ็งแล้ว ไม่เห็นสมทำการศึก บัดนี้ มีพระบรมราชโองการให้ข้ามาลดจำนวนผู้รักษาเมืองฝ่ายทหารลง เอ็งจะคิดอ่านทำประการใดเล่าปี่ฟังคำแล้วมิได้ตอบ คำนับลาแล้วกลับไปที่อยู่ ให้ปลัดเมืองมาพบ เล่ากิริยาท่าทางของต๊กอิ้วให้ฟัง ปลัดเมืองจึงว่า ที่ต๊กอิ้ววางศักดาเช่นนั้น หาใช่อื่นใดไม่ เขาอยากจะเอาสินบนจากท่านเข้าพกตัวเอง เล่าปี่ถอนใจจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่เมืองนี้ ท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าข้าพเจ้ามิได้เบียดเบียนราษฎรแม้แต่ด้ายเส้นเดียวหรือเข็มเล่มหนึ่งก็มิเคย แล้วข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดไปให้สินบนแก่ต๊กอิ้วได้ เห็นทีจะขัดสนเป็นแน่แท้   วันต่อมา ต๊กอิ้วกำเริบหนัก เรียกเสมียนพนักงานมาขู่เข็ญโบยตี บีบบังคับให้ใส่ไคล้เล่าปี่ข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และกดขี่ประชาชน เล่าปี่รู้ข่าวจะขอเข้าพบชี้แจงนายประตูห้ามมิให้เข้าไป เล่าปี่มิรู้จะทำประการใดกลับมาที่อยู่ด้วยความชอกช้ำใจ ฝ่ายเตียวหุยเห็นความอธรรมของต๊กอิ้ว มีความแค้นใจเสพสุรามึนเมาขี่ม้ามาถึงประตูที่พักต๊กอิ้ว เห็นคนเฒ่าคนแก่ประมาณ 50-60 คนยืนร้องไห้ พอถามจึงทราบว่าต๊กอิ้วโบยตีเสมียนเมืองเพื่อให้ใส่โทษเล่าปี่ พวกเรามาร้องคัดค้าน แต่นายประตูมิให้เข้าไปเตียวหุยโกรธจัด ลงจากหลังม้า ผลักนายประตูที่มาขวางกระเด็นไป เห็นเสมียนถูกมัดมือเท้า ต๊กอิ้วนั่งขู่เข็ญต่าง ๆ นานา เตียวหุยมิรอช้าตรงเข้าจิกผมต๊กอิ้วกระชากลากตัวออกมากลางถนน จับต๊กอิ้วติดไว้กับหลักผูกม้า ร้องตวาดว่า อ้ายขี้ฉ้อระยำหมา มึงรู้จักกูน้อยไป แล้วหักกิ่งสน เฆี่ยนฟาดต๊กอิ้วไม่ยั้งมือจนเลือดโทรม เล่าปี่ กวนอูทราบข่าวมาห้าม เตียวหุยจึงว่า อ้ายระยำเป็นขุนนางกังฉิน ไม่ควรให้มันอยู่หนักแผ่นดินกวนอูจึงว่า พวกเราอาสาแผ่นดินมาหลายครั้ง ได้รับความชอบก็เพียงตำแหน่งต่ำ ๆ อ้ายขุนนางกังฉินยังมาหยามทำหยาบช้าข่มเหงดูหมิ่นเราอีก แผ่นดินนี้เหลวแหลก พุ่มไม้หนามหนา ย่อมไม่เหมาะที่หงส์จะอาศัย เล่าปี่เห็นด้วยจึงว่า เบื้องบนเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างชอบทำตาม โทษฐานข่มเหงราษฎรต้องกุดหัวทิ้งเสีย แต่นี่เราจะไว้ชีวิต บัดนี้เราไม่พอใจอยู่รับราชการแล้ว ข้าหลวงขี้ฉ้อจงเอาตรานี้กลับไปเมืองด้วย พูดจบเล่าปี่เอาตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองคล้องไว้ที่คอต๊กอิ้ว แล้วเล่าปี่พาน้องชายทั้งสองกับพรรคพวกร่วมตายอีก 20 คนหนีออกจากเมืองอันห้อก้วน ท่ามกลางความอาลัยรักของราษฎร หมายมุ่งไปตายเอาดาบหน้า ต๊กอิ้วที่ถูกเฆี่ยนอาบเลือดสะบักสะบอม ก็ยังมิเข็ดหลาบ หาได้สำนึกในความชั่วของตัวเองไม่ รุดไปแจ้งความต่อผู้ว่าราชการมณฑลเต๊งจิ๋ว สั่งให้ออกหมายจับบุคคลทั้งสามไปทั่วทุกหัวเมือง

 กำจัด  คงหนู

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต ๑

    ตอนที่ ๔-๕    ตอนที่ ๖-๗   ตอนที่ ๘

อยากให้เธอเข้าใจ  :  ไมค์  ภิรมย์พร

หมายเลขบันทึก: 246299เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2009 18:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท