๐๗.๐๐ น. ของวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ
ผมไปเอาข้าวและกับข้าวที่แม่เตรียมไว้
พร้อมกับให้พ่อปอกมะม่วงให้เพื่อไปทำบุญที่วัด ผมชวนพ่อไปด้วย
แต่พ่อไม่ไป ส่วนแม่ต้องไปทำครัวที่บ้านป้าเล็ก
เนื่องจากนิมนต์พระมาทำบุญรอบปีในวันนี้ ดังนั้นผมจึงต้องไปวัดคนเดียว
แต่พอไปถึงวัด ผมไม่ได้อยู่คนเดียว
หลังจากนำของที่เตรียมมาใส่ภาชนะเตรียมสำรับถวายพระบนอาสน์สงฆ์เรียบร้อย
ผมจึงเดินลงไปด้านล่างทักทายปราศรัยคนที่รู้จักก็ล้วนแต่เป็นผู้สูงอายุที่ผมเคารพนับถือมาก่อน
“ไปอยู่ที่ไหนมา” “ทำงานอะไร” “มากี่วัน”
หลายคำถามที่ถามมาที่ผมด้วยอัธยาศัยความเป็นคนบ้านนอก
ผมจะรู้สึกสบายใจเมื่อได้ไปวัดและพบเจอคนเหล่านี้
เนื่องจากเขาไม่มีจิตวิทยาในการพูดคุยกับคน ไม่ต้องปรับปรุงสำนวน
ไม่ต้องแต่งเติมเสริมสีสัดใดๆ
เมื่อผมทักทายผู้คนเสร็จจึงออกไปเลือกตั้ง สว. ไปถึงที่เลือกตั้ง
ไม่รู้จะเลือกใคร……..
เพิ่งรู้ว่าจะเลือกใครก็เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้ว ปัญหาในการเลือก
สว.ตามข้อสังเกตของผมคือ
๑. สถานที่เลือกตั้งล่วงหน้า
ไม่ใช่ที่ว่าการอำเภอ
ผมต้องวิ่งรถไปสามที่กว่าจะพบว่าเป็นโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา
๒. ผมต้องรีบเข้าแถว แสดงหลักฐาน
มีคนจำนวนมากที่รอเช่นผม การจะเป็นเดินดูว่าผู้สมัครมีใครบ้าง
เห็นจะสร้างความล่าช้า
๓. อากาศร้อน ถ้าอยู่ในสถานที่เลือกตั้งนาน
เห็นทีคนยายบางคนที่ทนไม่ไหวคงต้องเป็นลมกันบ้างแน่
วิธีการแก้ไขคือ ๑)
ควรมีการแจ้งล่วงหน้าและชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานที่เลือกตั้งล่วงหน้า
๒) ควรมีการประกาศ หรือติดแผ่นโปสเตอร์ใหญ่ที่คูหาเลือกตั้ง โดย
กกต.เป็นผู้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ๓) สถานที่เลือกตั้งควรมีความโปร่ง
หรือไม่ก็ไม่สร้างความลำบากให้กับผู้เข้าไปเลือกตั้ง
ผมกลับจากเลือกตั้งไปถึงวัด พบว่า พระฉันข้าวเรียบร้อยแล้ว
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ยังไม่กลับบ้าน
กำลังทานอาหารกันที่วัดตามประสาบ้านๆ ผมมาไม่ทันพระให้พร
แต่ก็ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรกับการไม่ได้รับพรพระ
เพราะพรทั้งหลายเราเองเป็นผู้สร้าง แม้เขาให้พรมา ถ้าเราไม่สร้าง
พรนั้นก็เปล่าประโยชน์
ส่วนการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลผมได้ทำก่อนไปเลือกตั้งแล้ว
ขณะที่ผมจะออกจากวัด
เห็นยายเลื่อนซึ่งอยู่ข้างบ้านผมแกกำลังถือปิ่นโตเดินอยู่
ทราบว่าแกจะกลับบ้าน จึงชวนแกไปบ้านพร้อมกับผม
ไม่มีความเห็น