การขึ้นรถไฟในวันนี้ ผมทำใจไว้แล้วว่า ผมน่าจะได้ยืนทั้งคืน ประมาณ ๔
ทุ่ม รถไฟที่ผมจองตั๋วไว้ก็มาถึง ผมกับพ่อขึ้นไปบนรถ คนเยอะมาก
นี่คือเรื่องปกติในช่วงเทศกาล ผมเดินนำพ่อไปเรื่อยๆ
จนไปถึงที่นั่งซึ่งเราจองไว้ แต่มีคนนั่งเบียดกันอยู่แล้ว ๓ คน
ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ เห็นที่ว่างแต่มีการกันที่ไว้
จึงถามผู้กันที่นั้นว่า “ขอนั่งได้ไหม” ไม่มีคำตอบว่า
นั่งได้หรือไม่ได้ แต่มีคำพูดว่า “มีคนนั่งแล้ว” ผมไม่ละความพยายาม
จริงๆ แล้วถ้าผมมาคนเดียว ผมจะไม่ขอความช่วยเหลือใครแน่นอน
ผมยอมที่จะยืน แต่วันนี้พ่อมาด้วย เกรงว่าท่านจะเหนื่อย
จึงต้องทำหน้าที่ผู้ประสานงาน “ขอนั่งก่อนได้ไหม
หากเจ้าของที่มาแล้วผมจะลุกจากที่นี้”
ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนอย่างไร้เดียงสาประสาซื่อๆ
เด็กหนุ่มผู้กันที่ ยินยอมให้เรานั่ง แต่ผมไม่นั่งแม้จะมีที่ว่างก็ตาม
ผมให้พ่อนั่งไปก่อน ในใจผมคิดว่า
ทราบมาว่าเดี๋ยวนี้ในรถไฟเขามีที่นั่งประจำเลขในตั๋วอยู่
คงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าที่รถไฟเพื่อความถูกต้องต่อไป
เมื่อเจ้าหน้าที่รถไฟมา ผมจึงบอกเรื่องราวนั้น
เจ้าหน้ารถไฟจึงไปจัดการที่ซึ่งมีคนนั่งสามคนนั้น
และให้พ่อผมนั่งประจำที่ตามตั๋ว ผมอยากจะนั่งเหมือนกัน
เพราะเราต้องเดินทางไกล แต่พอมองเห็นตาปริบๆ ของเด็กสาวสองคน
ทำให้รู้สึกว่า หากผมนั่งลง ผมต้องผิดแน่ แต่ถ้าผมไม่นั่ง
ผมก็จะไม่มีที่นั่ง ผมตัดสินใจเชื้อเชิญให้เธอทั้ง ๒ นั่ง
แล้วผมก็เดินไปที่ประตูตู้รถไฟยืนขวางทางเดิน
มองดูบรรยากาศในรถไฟให้นึกสลดใจ
รัฐบาลคงไม่ใส่ใจกับความสะอาดในรถไฟเท่าไรนัก อีกอย่าง
ทำความสะอาดไม่นานก็คงต้องเลอะเทอะ ยืนไปคิดไป หาเหตุผลไป
จวบจนเที่ยงคืน แต่ละคนนั่งหลับใหล ขาดพาดไปมา
บางคนเอาหนังสือพิมพ์ปูใต้ที่นั่งและนอนหลับไปโดยมิได้รังเกียจความไม่สะอาดใดๆ
ในรถไฟนั้น บางคนนั่งขวางทางประตูทางขึ้นของตู้ มีลุงคนหนึ่งนั่งสมาธิ
บรรยากาศยามนี้ หากเทวดาไม่ตกลงจากสวรรค์
เทวดาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ได้เลย ว่าชั้น ๓ ของรถไฟช่วงเทศกาล
เหมือนกับคืนที่เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังทรงผนวชฉะนั้น
“ชีวิตจะต้องเหนื่อยไปถึงไหนกัน”
ผมยืนไปคิดไป ดูสถานีรถไฟที่ผ่านไปแต่ละสถานี จวบจนเกือบตี ๒
ผมจึงได้ที่นั่ง เนื่องจากมีคนลง ผมจำไม่ได้ว่าสถานีอะไร
แต่ในใจผมคิดว่า ผมคงได้หลับบ้างแล้ว ประมาณ ตีสี่ครึ่ง
รถไฟจึงถึงสถานีชุมพร ผมสะพายเป้ เดินนำหน้าพ่อลงจากรถไฟ ขึ้นรถสองแถว
มาลงหน้าทางเข้าบ้าน แต่ต้องเดินจากถนนใหญ่ไปประมาณ ๕๐๐ เมตร
กว่าจะถึงบ้าน โชคดีที่โทรศัพท์ผมมีไฟฉาย
จึงเปิดแสงสว่างเดินคลำทางจนถึงบ้าน จริงๆ แล้วแถบบ้านมีงูเยอะอยู่
อันตรายนักหากเดินไปโดยไม่พิจารณาภายใต้ความมืด
พ่อขึ้นไปนอนบนบ้านผุพังของพ่อ
ส่วนผมหลังจากส่งพ่อแล้วจึงไปนอนที่บ้านหลานสาวที่ไปเพชรบุรีนั้น
ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งคืน………………
สารัตถะ
๑.
ดี – ชั่ว เราแหละสมมติขึ้น
๒.
ยอมที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยดีกว่าสุขสบายกายแต่ไม่สุขสบายใจ
๓. ชีวิตเจ้ากรรม จะเดินทางไปถึงไหนกัน
ไม่มีความเห็น