เมื่อถึงบ้านพี่เขย ผมเข้าไปไหว้พ่อที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน และเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อไหว้พี่สาว เนื่องจากพี่เขยขับรถมาจอดทางหลังบ้าน พี่สาวรีบจัดการนำน้ำดื่มซึ่งเป็นน้ำหวาน ตลอดถึงน้ำแข็งปั่นมาให้ผมชิมทันที จากนั้นจึงปอกมะม่วงเหลืองอร่ามวางบนข้าวเหนียวราดด้วยน้ำกะทิส่งให้ผม “โอ นี่ก็เย็นแล้ว จะให้ผมกินได้อย่างไร เดี๋ยวผมก็กินข้าวไม่ได้หรอก” แม้จะปฏิเสธอย่างไรก็ถูกบังคับให้กินอยู่ดี จึงฝืนใจกินจนหมดจาน อันที่จริงผมไม่ชอบที่จะกินข้าวเหนียวนักเพราะมันย่อยยาก และยังไม่ถึงเวลากินข้าวเย็นด้วย
หลังจากกินเสร็จ ก็พูดคุยสารทุกข์สุกดิบตามประสาพี่ๆ น้องๆ จากนั้นผมจึงขอตัวเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อหาทางย่อยอาหารโดยวิธีการเดินไปเดินมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วย เกรงว่าใครคนนั้นเขาจะเหงาอยู่แถวสี่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เดินออกกำลังกายย่อยอาหารไปด้วย คุยไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลากับการคุยในแต่ละวัน ประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่เดินไปเดินมา เมื่อเห็นว่ามืดแล้ว จึงเดินเข้าบ้าน ระหว่างเดินเข้าไปบ้าน เห็นพี่เขย น้องชาย และเพื่อนของน้องชาย นั่งดื่มเหล้ากันอยู่ ครั้นจะเดินเลยไปก็กระไรอยู่ จึงเข้าไปนั่งคุยด้วย พี่เขยชวนให้ดื่ม แต่ผมก็บอกไปว่า “ผมดื่มไม่เป็น” ทุกคนทราบเรื่องนี้ดี จริงๆ ไม่ใช่ดื่มไม่เป็น มันจะยากเย็นอะไรนักหนากับการกรอกน้ำมีดีกรีเข้าไปในปากและกลืนเข้าไปในท้อง ที่บอกว่าดื่มไม่เป็นเพราะไม่ดื่ม อีก ๒ ประโยคที่ผมมักจะพูดคือ ๑) พ่อดื่มมามากแล้ว ไว้ให้พ่อดื่มคนเดียวพอ หากผมดื่มเดี๋ยวจะเป็นเหมือนพ่อ ประโยคนี้ จะใช้พูดกับคนที่รู้จักครอบครัวผมโดยเฉพาะพ่อของผมเป็นอย่างดี ๒) ค่อยดื่มหลังจากที่ผมไม่ได้ทำหน้าที่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ประโยคนี้ จะไม่พูดกับเพื่อนที่มีสถานะเดียวกันกับผม
ระหว่างที่ฟังพี่เขย น้องชาย และเพื่อนของน้องชายคุยกันอยู่ ผมก็กินลูกชิ้นแก้มน้ำแข็งปั่นที่พี่เขยปั่นให้แทน ไม่นานพ่อก็เดินเซออกมาจากในบ้าน ก็จะอะไรอีกล่ะ ฤทธิ์ของยาดองที่พี่เขยปรุงให้นั่นเอง ไม่นานวงเหล้าก็เริ่มเสียงดัง โดยเฉพาะเสียงจากพ่อของผมที่ถูกเหล้าดับวิญญาณเข้าครอบงำแล้วในขณะนี้ ผมเห็นว่า บรรยากาศเช่นนี้ไม่เหมาะกับสังคมเช่นนี้ จึงชวนพ่อเข้าไปในบ้าน ผมไม่อยากเชื่อเลย ว่าพ่อจะยังเมาอยู่ในเมื่อพ่อกินเหล้ามาหลายปี พี่ชายของพ่อ ๒ คน คนหนึ่งเส้นเลือดในสมองแตก อีกคนหนึ่งเป็นมะเร็งในลำคอ ล้วนโชคโชนกับการกินเหล้าทั้งสิ้น ตายนั้นไม่เป็นไรหรอก เพราะทุกคนต้องตาย แต่ถ้าเจ็บนี่สิ มันทรมานแถมภาระผูกพันที่จะให้โทษตัวเองในภายหลังอีก สิ่งนี้ต่างหากที่ไม่ควรจะมี เช่น นอนนิ่งอยู่กับที่ ลูกต้องคอยป้อนน้ำป้อนข้าวให้เป็นแรมปี แรมเดือน งานที่เคยทำก็ต้องงดไว้ ฝ่ายผู้นอนอยู่กับที่ก็เฝ้าโทษตัวเองว่า ไม่น่ามีชีวิตอยู่เลย อะไรประมาณนี้ พ่อแม่ของลูกทุกคนน่าจะคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน ก่อนที่เรื่องไม่เข้าเรื่องจะเกิดในภายหลัง
คืนนี้ก่อนที่จะได้อาบน้ำนอน ก็ต้องมานั่งฟังพ่ออาละวาดถึงเรื่องบางเรื่องที่ค้างค้าใจของแกเป็นเวลานาน ชีวิตที่เต็มด้วยความทุกข์เป็นชีวิตที่น่าสงสารนัก บางคนรู้ว่าอะไรคือทุกข์ สามารถที่จะดับมันได้ ถือว่าโอกาสเขาดี แต่บางคนไม่รู้แถมเพิ่มความทุกข์เข้ามาอีกและให้คนรอบข้างต้องทุกข์หนักเข้าอีก เช่นนี้ยิ่งน่าสงสาร
คืนที่หนึ่งก่อนจะผ่านไป ผมไม่ลืมที่จะกราบระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ตลอดถึงการแผ่เมตตาขอที่ขอทางก่อนหลับ
ระหว่างที่หัวถึงหมอน หลังเอนบนผ้าซึ่งปูทับพื้นปาเก้บนห้องใหญ่ของชั้น๒ ทางฟากหน้าของบ้าน อันที่จริงเตียงนุ่มก็มีให้นอน แต่ผมก็ไม่ถนัดกับการนอนบนเตียงนั้น นอนไปคิดไป สายตามองออกไปทางประตูกระจก มองเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า “คืนนี้ เป็นอีกคืนหนึ่งที่ฟ้าแสนสวยมาต้อนรับความรู้สึกงดงามของผม..ขอบคุณฟ้ายามนี้”....
ไม่มีความเห็น