ตอนที่ผมไปเยี่ยมบ้านกับ Vanessa ที่แถวๆ Braeside Hospital นั้น พื้นที่เป็นชานเมืองซิดนีย์ ในละแวกนี้แทบจะไม่มีบ้านสองชั้นเลย มีน้อยมากๆ อย่าว่าแต่สามชั้น ลักษณะเป็นหมู่บ้านที่มีผู้พักอาศัยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เป็น commercial area จะอยู่รอบๆสถานีรถไฟ และจากที่ผมไปเยี่ยมบ้านมา เกือบทุกบ้าน รวมทั้งคนไข้ใน ward ด้วย จะอยู่เป็นครอบครัว มีญาติพี่น้อง บุตรภรรยาแวดล้อมเป็นเรีืองธรรมดา ซึ่งมาสังเกตดูแล้ว ก็จะเห็นความแตกต่างจากตอนที่ไปเยี่ยมบ้านในตัวเมืองซิดนีย์ระหว่างที่มาดูงานที่ Sacred Heart Hospice
Sacred Heart Hospice อยู่บนถนนดาลิงเฮอร์ส (Darlinghurst) มีสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดคือสถานี King Cross ซึ่งอยู่ในย่าน Red District ของซิดนีย์ เป็นย่านท่องเที่ยว middle-low end ของแถบนี้ ก็มีทั้งอาชญากรรม เหล้า โสเภณี และอื่นๆอีกมากมายที่เราพอจะนึกภาพได้ การไปเยี่ยมบ้านของเจ้าหน้าที่ของ Sacred Heart ก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยเล็กๆได้ในแต่ละวัน
วันนี้ผมได้ออกเยี่ยมบ้านกับหมอฟิลิป แมคคอเลย์ (Philip Macaulay) โดยไปกับพยาบาลชุมชนแคธี่ ตอนเช้าเราเปิดแฟ้มหา case กัน ก็เจอะ case น่าสนใจที่ค่อนข้างพิศดารหนึ่งราย เป็น case transgender (กระเทย) ที่เป็นมะเร็งบริเวณขาหนีบ ผมฟังไม่ชัดว่าเป็นมะเร็งอะไร รู้แต่ว่ามันแตกเป็นแผลบริเวณขาหนีบต้องทำแผลทุกวัน คนไข้มีอาการปวด และติดยาเมธาโดน (methadone) ซึ่งพฤติกรรมการมารับยาก็ไม่น่าไว้วางใจ มักจะมีเพื่อนของเธอ (เธอให้เราเรียกสรรพนามเป็นผู้หญิง) ท่าทางไม่น่าไว้วางใจมาด้วย เราก็กังวลว่าจะเอายาไปขายข้างถนน (เพราะ methadone ก็จัดเป็นยาที่เสพติดได้เหมือนกัน) คนไข้มักจะมาผิดนัด หรือมาไม่ตรงนัด แอบๆมาเพื่อจะเอายา ไม่เจอกับหมอ ฝ่ายเราก็พยายามเล่นซ่อนหา หาให้เจอตัว แต่ก็ยาก เป็นที่รู้จักกันทั้ง office เลยทีเดียว case นี้ ทั้งพยาบาลชุมชน หมอ นักสังคมสงเคราะห์
จนในที่สุดเช้านี้ ไม่มีใครเจอคนไข้รายนี้มาสามวันแล้ว แคธี่กังวลมาก ปรึกษากับหมอฟิลิปว่าจะเอายังไงดี เราไปเปิดแฟ้มประวัติดู หาไปที่ที่อยู่ ปรากฏว่าเขียนว่าเป็นเลขที่ 39 ถนนดาลิงเฮอร์ส เอ๊ะ มันอยู่ใกล้ๆนี่เองนี่หว่า ฟิลิปถามผมว่าสนใจไปเดินเล่นไหม เอ้า ไปก็ไป
ก่อนจะออกจาก office ฟิลิปก็เดินไปที่กระดานที่มีชื่อ staff ทุกๆคนอยู่ แล้วก็เขียนชื่อคนไข้กับย่านที่เราจะไปไว้หลังชื่อฟิลิปกับเคธี่ ผมถามดูก็ได้ความว่าเป็น safety precaution ว่า เพื่อนร่วมงานเราจะได้ทราบว่าเราไปไหน กี่โมง น่าจะกลับเมื่อไร อือ.... น่าสนเหมือนกัน
เราก็ออกเดินย้อนจาก hospice ไปทาง King Cross เดินกลับไปกลับมา เอ... ทำไมหาไม่เจอ แถวนั้นไม่น่าจะมีโรงแรม หรือบ้านให้อยู่ เต็มไปด้วยร้านค้าเพราะเป็นย่านนักท่องเที่ยว เลยถามเจ้าของร้านขายเคบับแถวๆนั้น ก็ไม่รู้จัก เราเดินเก้ๆกังๆอยู่พักนึงก็เห็นมีนักท่องเที่ยวแต่งตัวโทรมๆคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าเรา จู่ๆก็เดินเลี้ยวขวับเข้าไปใปในช่องตึกระหว่างร้านสองร้าน ที่เราสามคนเดินผ่านมาตั้งหลายรอบไม่ได้สังเกต เพราะช่องนั้นมันแคบนิดเดียว เรียกว่าครือๆกับความกว้างของตัวคนเลย เรามองตามเข้าไปก็เห็นเป็นทางเดินแคบๆขึ้นบันไดไป บนชั้นลอยมีโต๊ะเคานเตอร์ตั้งอยู่ แล้วก็มีบันไดขึ้นต่อไปอีก
ผมนึกถึงหนังสือ Harry Potter ที่ที่อยู่ของพวกแม่มด พ่อมด จะซ่อนอยู่ท่ามกลางเมืองของ muggle โดยมี magic ทำให้เรามองไม่เห็น เช่น Diagon Alley ที่อยู่นี้ก็เหมือนกัน ตอนที่ไม่มีคนเดินเข้าไป เราเดินผ่านช่องนี้ไปตั้งหลายรอบก็มองไม่เห็น
พวกเราสามคน คือ ผม ฟิลิป และเคธี่ ก็ยืนคุยกันก่อนว่าจะเอายังไงดี ฟิลิปคิดอยู่พักนึงแล้วก็บอกว่า "ผมคิดว่าเราไม่ควรจะขึ้นไปหาเธอที่ห้องตอนนี้"
เคธี่เห็นด้วย "ชั้นคิดว่าเธออาจจะเพิ่งกลับถึงที่พักเมื่อเช้านี้ก็เป็นได้ จากพฤติกรรมเดิมของเธอ"
"และเราไม่รู้ว่าเธอทำอาชีพอะไร ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดเป็นเรื่องอื่นด้วย" ฟิลิปเสริม
"งั้นผมจะไปบอกแคชเชียร์ที่โต๊ะนั่น ฝากข้อความไว้ว่า หมอและพยาบาลจาก Sacred Heart หน่วย Palliative care มาเยี่ยม อยากให้เธอไปคุยตามนัดที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน"
ตกลงตามนี้ เพราะเราไม่แน่ใจว่า ไปหาที่ห้องเธอตอนสิบโมงเช้า อาจจะพบเธออยู่กับเพื่อน (หรือลูกค้า) ของเธอในสภาพแบบไหน เพราะจากที่เราเห็นตามถนนหนทางที่เดินผ่านมา มีหลายคนที่เดินฟุบ คลานไปตามฟุตบาท อ้วกไประหว่างทางก็มีจากปาร์ตี้เมื่อตอนกลางคืน ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เวลาเหมาะสำหรับการไปปลุกเธอก็ได้
เรากลับ Sacred Heart มือเปล่าสำหรับ case แรก ฟิลิปหันมาถามทุกคนอีกทีว่า ที่เราทำไป OK ไหม มีใครอยากจะทำแบบอื่นไหม เราก็คิดว่าน่าจะ OK แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้
สังคมเมืองใหญ่ที่แม้แต่ตอนเราไปเยี่ยมบ้าน ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และคิดหน้าคิดหลัง เพราะเราสามารถกำลังทำงานกับคนขายยาเสพติดจริงๆได้ เป็นชีวิตการทำงานที่น่าสนใจทีเดียว ไม่มีอะไรที่จะหวานใสปิ๊ง ทุกคนเป็นคนดีหมด แต่มีชีิวิตอีกด้านที่ผู้คนใช้ชีิวิตในมุมมืดของสังคมอยู่กันอีกแบบหนึ่ง ห่างจากคอนโดมิเนียมมหาเศรษฐีไปไม่กี่ีร้อยเมตรเท่านั้น
Case ที่สอง
ฟิลิปบอกว่าเดี๋ยวจะพาผมไปดูอีกที่ที่หนึ่ง ในเมืองซิดนีย์ ที่นักท่องเที่ยวทั่วๆไปอาจจะไม่ได้มาสัมผัสแบบนี้มากนัก ปรากฏว่าเราเดินทางไปแถวๆ The Rock ใกล้ๆกับ Harbour Bridge อันโด่งดังของซิดนีย์ แต่เลยลงมาแถวใกล้ท่าน้ำ ก็มีตึกแถวโบราณตั้งอยู่ เป็น flat สามสี่ชั้น ตอนดูตอนแรกผมก็ว่าบรรยากาศดีใช้ได้
ปรากฏว่าฟิลิปเดินมาหาที่แฟลตหนึ่ง แต่ไม่ได้ขึ้นไปข้างบน มองหาไปที่ชั้นใต้ถุนแฟลตที่ปกติ แฟลตทั่วๆไปจะมีห้องแบบนี้ไว้เก็บของ เก็บอะไร เป็นที่ที่มีพวกหม้อแปลง และอุปกรณ์สาธารณุปโภคมาติดมิเตอร์อะไรไว้ ผมก็เห็นเป็นห้อง ที่หน้าห้องมีกองโซฟาเก่าๆสองสามตัว เราต้องค่อยๆไต่บันไดอิฐแบบโบราณ แต่ละขั้นสูงประมาณเกือบฟุตได้ และไม่เรียบเลย ชั้นใต้ดินอยู่ต่ำกว่าถนนประมาณ 2 ช่วงศีรษะคนได้ เราเห็นลุงนั่งอยู่คนนึง ปรากฏว่าไม่ใช่คนไข้ของเรา กลับเป็น caretaker หรือเพื่อนคนดูแล แกบอกว่าลุงแฟรงค์ (คนไข้) ไปหาหมอ GP ที่หัวถนน พึ่งไปสักแป๊บนึงนี่เอง ฟิลิปก็ถามว่า surgery อยู่ที่ไหนของ GP คนนี้ (ที่ออสเตรเลียนี่เหมือนอังกฤษ คือ surgery เป็นคำเรียกสำนักงาน จะเป็นคลินิกก็ได้ หรือเป็นสำนักงานของ สส.ประจำท้องถิ่นก็ได้)
เราขับรถตามไปหาลุงแฟรงค์ที่ Surgery ของ GP ตามที่บอก ก็พบว่าแฟรงค์กำลังคุยกับหมอ GP อยู่
คุณหมอ GP เป็นหมอวัยกลางคน ผมขาวทั้งหัวเลย เสียงดัง พูดจาฉาดฉาน (พูดกับคนไข้แถวนี้ คงต้องพูดชัดๆ และตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม) กำลังคุยกับแฟรงค์ที่นั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ พอพวกเราเข้าไป แนะนำตัวว่ามาจาก Sacred Heart ดูแล palliative care ให้ลุงแฟรงค์อยู่ หมอ GP ก็ยินดีต้อนรับเราเป็นอย่างดี
ลุงแฟรงค์ไม่อยากไปอยู่ที่ hospice แกอยากจะอยู่ที่บ้าน หมอ GP ถามว่าอยู่ได้เหรอ แกบอกว่าได้ มีเพื่อนดูแลอยู่ เราถามลุงแฟรงค์ว่าแกเดินขึ้นลงบันไดหน้าบ้านไหวเหรอ ขนาดเราเดินยังไม่ค่อยสะดวกเลย ลุงแฟรงค์แกผอมโกร๊ก เป็นมะเร็งหลอดอาหาร (esophageal cancer) แขนที่เคยล่ำบึ้ก (จากรูปเก่า) เหลือแต่โครงกระดูกนิดเดียว ลุงแฟรงค์ก็บอกว่่าไหว เคยหกล้มตกลงมาครั้งเดียว ตื่นมาอีกทีอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อย เพื่อนที่ดูแลหิ้วมาไว้ข้างใน เรามองตาไปที่ GP แล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อยในความดื้อของลุงแฟรงค์
เคธี่ถามลุงแฟรงค์ว่า ถ้าไม่อยากไปนอนที่ hospice ลุงแฟรงค์ต้องกินยาที่เราให้ที่บ้าน โดยให้เพื่อนช้วย จะ OK ไหม
ลุงแฟรงค์พยักหน้า
"แล้วถ้าเสาร์อาทิตย์นี้ ชั้นจะโทรมาถามลุงแฟรงค์ว่า Ok ไหม จะอนุญาตไหม" เคธี่ถามต่อ พอดีเธออยู่เวร hospice อาทิตย์นี้พอดี
หมอ GP ก็เสริมว่า "คุณหมอ คุณพยาบาลเขาหวังดีเท่านั้นแหละ แฟรงค์เอ๊ย เขาไม่อยากให้แกเป็นอะไรไป แล้วไม่มีใครดูแล" แฟรงค์คิดแป๊บนึง แล้วก็บอกว่า "โทรก็ได้" แล้วก็ให้เบอร์มือถือเรามา
"ชั้นจะโทรมาหาลุง ตอนกลางวัน วันเสาร์ กับอาทิตย์นะจ๊ะลุง จะถามว่ายาใช้ได้ไหม กินได้ไหม ยังปวดอยู่รึเปล่าเท่านั้น ถ่้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนมาช่วย Ok ไหม" เคธี่ซักซ้อมความเข้าใจอีกทีกับลุงแฟรงค์
ลุงแฟรงค์พยักหน้า แล้วก็ลุกขึ้นเดินฉับๆ (พยายามจะอวดว่ายังไหว) ไปหน้าประตู ก่อนที่จะโอนเอนยึดจับเคานเตอร์พยาบาลเอาไว้ "ใจเย็นๆก็ได้ แฟรงค์ ไม่มีใครจับตัวแกไว้หรอก" GP ตะโกนตามหลังอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะขอบคุณพวกเราที่ตามมาดูแลลุงแฟรงค์ถึงบ้าน
Case ที่สาม
case สุดท้ายวันนี้อยู่ใกล้ๆกับ Bondi Junction ซึ่งอยู่เกือบจะถึง Harbour อยู่แล้ว ใกล้ๆกับชายหาดที่มีชื่อเสียงของซิดนีย์คือ Bondi Beach เป็นคุณป้าอายุ 65 ปี เป็น malignant melanoma ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังประเภทหนึ่ง มีลุกลามไปปอด แกต้องตัดปอดทิ้งไปส่วนหนึ่งประมาณ 5 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นแกก็หายใจไม่ค่อยทัน เวลาออกกำลังเหนื่อยๆ ซึ่งก็เกิดจากมีปอดเหลือน้อยลง case นี้เรามารับใหม่ แต่เป็น case ที่ย้ายที่อยู่ เคยดูแลอยู่ที่ที่โรงพยาบาลและ hospice อื่นในซิดนีย์ พอย้ายมาอยู่กับลูกสาว คุณหมอเจ้าของไข้ก็เขียนจดหมาย refer มาให้ทั้งทีมหมอใหม่และทีม palliative care ด้วย
เราไปถึงบ้าน ปรากฏว่าคุณป้าลินดาอยู่คนเดียว กับหมา 5 ตัว และแมว 1 ตัว ลูกสาวไม่อยู่บ้าน หมาๆเป็นของแกกับลูกสาว 3 ตัว และรับฝากเพื่อนบ้านเลี้ยงอีก 2 ตัว ที่บ้านมีรั้วกั้นระหว่างห้องทั่วไปกับห้องนั่งเล่นห้องนอน หมาเข้าไปทุกห้องยกเว้นห้องนั่งเล่นและห้องนอนที่วางข้างของเครื่องประดับอยู่ เราก็เห็นว่า make sense ดี จนกระทั่งเราเหลือบมองไปที่เตียงหลังใหญ่ที่มุมห้อง มีเจ้าแมวเหมียวสีดำ ขนฟู นอนหลับสบายโบกหางไปมาอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง หนุนหมอนนอนสบายใจเฉิบ!!
ป้าลินดาแสดงความดีอกดีใจที่ทีมเราไปเยี่ยม แล้วก็รายงานการใช้ยาให้ฟัง
ปรากฏว่าป้าลินดามีความเข้าใจผิดในเรื่องการใช้ยาแก้ปวด โดยแกพยายามจะทนเจ็บถ้าทนได้ โดยคิดว่าเป็นการประหยัดยา จะได้เก็บยาไปใช้ได้นานๆ อันนี้เป็น concept ที่คนไข้จำนวนมากเข้าใจผิด เพราะผลแห่งการไม่ยอมใช้ยาตามกำหนดเวลา หรือตาม dose ที่สั่งไปนั้น ทำให้เราคำนวณขนาดยาทั้งวันที่เหมาะสมที่สุดยาก และการที่คนไข้ต้องทนปวด แม้ว่าจะทนได้ ก็ไม่ได้เป็นเรีื่องดีเสมอไป เพราะอาจจะทำให้ทนได้แต่ต้องจำกัดกิจกรรม การทำงานอะไรต่างๆลงไป แทนที่จะไปเดินเล่น รดนำ้ต้นไม้ ให้อาหารแมว ก็ต้องนั่งเฉยๆเพื่อจะได้ทนปวดได้ ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง แทนที่จะดีขึ้น
และที่เข้าใจผิดกันบ่อยก็คือการใช้ยาเมื่อมี breakthrough pain (อาการปวดเกิดขึ้นก่อนที่ยาประจำจะหมดฤทธิ์) ซึ่งแปลว่ายาประจำไม่พอ แทนที่ีึคนไข้จะกินยาสำหรับ rescue (ช่วยระงับปวดแบบระยะสั้น) ซึ่งควรกินประมาณครึ่งหนึ่งของระดับยาปกติ หรือถ้าปวดมากก็กินเต็ม dose ไปเลย คนไข้มักจะไม่กล้า และกินเพียงแค่นิดเดียว ทำให้ไม่พอ และอาจจะอยากกินซ้ำในเวลาอันใกล้ ทำให้ใช้ยาไม่ได้เต็มที่
พอเราอธิบายเสร็จ เราก็ถามคุณป้าลินดาว่า ถ้ากลางวันว่างๆแบบนี้ และไม่มีหมาเลี้ยง คุณป้าอาจจะลองไปร่วมกิจกรรม Day Centre ที่ Sacred Heart ดู เผื่อจะได้พบปะเจอะเจอผู้คนๆอื่นบ้าง ถ้าสนใจก็ลองโทรศัพท์ไปถามดู เราจะมีรถจาก hospice มารับ ไปอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง พอทานข้าวกลางวันเสร็จก็กลับบ้าน ดูแล้วคุณป้าลินดาจะสนใจโปรแกรมนี้มากๆเลย
จบไปอีกหนึ่งวันของ Sacred Heart
หลากหลายและตื่นเต้นดีจริงค่ะ การเยี่ยมคนไข้งวดนี้ อยากจะบอกว่าตอนอ่านชื่อ King's Cross ก็นึกถึง platform 9 3/4 พออาจารย์พูดถึง Diagon Alley นี่ยิ่งใช่เลย ตกลงอาจารย์อยู่ซิดนี่ย์หรือลอนดอนคะ ^ ^
อยู่ที่ Neverland ครับ ฮิ ฮิ