·14 เมษายน 2549
วันนี้ ในชุมชนไม่มีกิจกรรมอะไรมากมาย ส่วนใหญ่หยุดอยู่บ้าน
กินเหล้ากินเบียร์พักผ่อนกัน ผมก็ไปตั้งวงกับเค้าด้วยตั้งแต่สาย
ร้องเพลงคาราโอเกะกับญาติพี่น้องฝ่ายเมีย
และเพื่อนบ้านที่เข้ามาร่วมไป
พอบ่ายแก่ๆก็ขอเบี่ยงบ่ายไปนอนเพราะไม่อยากดื่มจนเมา
ดื่มพอสมควรก็พอ
คนเฒ่าคนแก่ก็จะไปเดินเที่ยวเยี่ยมเยือนกินน้ำชากัน
และก็เตรียมของไปทำบุญที่วัดในวันพรุ่งนี้
ส่วนเด็กๆก็จะเล่นน้ำกันสนุกสนาน บ้างก็ช่วยผู้ใหญ่
คนเฒ่าคนแก่เตรียมของที่จะไปวัด
ตกค่ำ หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้ว
ชาวบ้านก็มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันที่ใต้ถุนบ้านใหม่
ภรรยาผมก็เอาวีซีดีลิเกไทใหญ่ไปเปิดฉายอีกรอบ ก็ดูกันเพลินไป
ส่วนผมก็ปลีกตัวมาทำงานตามระเบียบ
·15 เมษายน 2549
ภรรยาผมตื่นตั้งแต่หกโมงเช้ามาเตรียมข้าวของไปทำบุญและขนทรายเข้าวัด
ผมตื่นช้ากว่าเธอไปครึ่งชั่วโมง
ยังงัวเงียอยู่เพราะเมื่อคืนทำงานจนดึก
แต่สักพักก็หายง่วงเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปทำบุญที่วัดตามแบบไทใหญ่
ผมบอกกับแฟนว่า อันที่จริง เราทำบุญได้หลายแบบนะ
แบบที่ไปทำบุญที่วัดนี่ก็แบบหนึ่ง เป็น “ทานมัย” ทำบุญด้วยสิ่งของ
แต่ที่ได้บุญไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าก็คือ “ศีลมัย” คือ
การทำบุญด้วยการรักษาศีล โดยเฉพาะการช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย
และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นทุกข์นี่ก็เป็นบุญอีกแบบ
ยิ่งช่วยคนให้รอดตายนี่ก็บุญใหญ่
พูดถึงบุญนี่ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องสิทธิ ที่ผมเพิ่งอ่านงานของ ดร. วีระ
สมบูรณ์ เมื่อคืนเกี่ยวกับสิทธิชุมชน (ดูในจดหมายข่าวสิทธิชุมชน
ฉบับที่ 1 คอลัมน์ “หน้าต่างบานแรก” ใน www.crep.info )
เพราะผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน
ก็คือต่างก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางสังคม
บุญอยู่แบบปัจเจก หรือเกิดขึ้นลอยๆเป็นเอกเทศไม่ได้
หากแต่บุญของปัจเจกจะสำเร็จได้ ต้องสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น พระสงฆ์
หรือผู้ที่เราทำบุญ สงเคราะห์ให้
เช่นเดียวกับสิทธิแบบปัจเจกจะสำเร็จได้
ต้องมีพื้นที่สัมพันธ์กับผู้อื่น กับชุมชน
การทำบุญก็คืออีกด้านของสิทธิ นั่นคือ ชาวบ้านทำบุญ แก่คนยากจน
เพราะชาวบ้านยอมรับว่าคนจนมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งปันสิ่งของจำเป็นเพื่อการมีชีวิตรอด
รวมถึงน้ำจิตน้ำใจ ความอบอุ่นทางใจ
ชาวบ้านทำบุญ แก่ผู้ทรงศีล (พระ) ไม่ปฏิเสธว่า
ในด้านปัจเจกก็เพื่อมุ่งหวังสะสมทุนหนุนนำให้ชีวิตส่วนตัวของตนเจริญก้าวหน้า
แต่ในด้านสิทธิชุมชน ก็สะท้อนให้เห็นว่า
ชาวบ้านแสดงการยอมรับว่าผู้ที่ถือศีล
(หรือผู้ที่ละวางการเบียดเบียนผู้อื่น)
มีสิทธิที่จะได้รับการยกย่องนับถือจากสังคม ทั้งทางการให้วัตถุ
การกล่าวถ้อยคำที่ดี การมีจิตใจระลึกถึงในแง่ดี
ด้วยการทำบุญในเทศกาลสงกรานต์ หากเพ่งพินิจว่าการทำบุญเป็นภาพสะท้อนของการใช้และรับรองสิทธิในระดับปฏิบัติการเช่นนี้ ผมจึงเห็นว่า ชาวบ้านมีรูปแบบของการตระหนักรู้และปฏิบัติในเรื่องสิทธิทั้งในแง่สิทธิแบบปัจเจก และสิทธิชุมชนที่สอดประสานกันอยู่แล้ว และอาจจะลึกซึ้งไปกว่าสิทธิแบบตะวันตก เพราะสิทธิ อย่างเรื่องการทำบุญนี่ ครอบคลุมหมดเลย ทั้งในแง่สิทธิแบบปัจเจก และสิทธิชุมชน ลึกลงไปทั้งในแง่กาย (การสงเคราะห์วัตถุสิ่งของ) วาจา (การกล่าวถ้อยคำที่ดี) ใจ (มีจิตสุภาพอ่อนโยนไม่ก้าวร้าว คิดปรารถนาดีต่อกัน)
ถ้าการทำบุญในวันนี้ จะได้ผลบุญละก็ สำหรับผม ผลบุญที่ผมได้รับคงเป็นเรื่องที่ผมได้รู้จักแง่มุมของการทำบุญมากขึ้น หากไม่ได้อ่านบทความการบรรยายของอาจารย์วีระชิ้นนั้น ความคิดก็คงยังสับสน และหากไม่ได้ร่วมทำบุญกับชาวบ้าน ก็คงไม่ซึมซาบ ความดีงามหากผมพอจะมี ก็ขอคืนกลับไปสู่อาจารย์ทั้งสองฝ่ายด้วย
สาธุ
ไม่มีความเห็น