หมอบ้านนอกไปนอก(82): ย่ำเมืองมหาลัย


ชีวิตก็เหมือนภาพวาดที่งดงามด้วยแสงและเงา มีสุข มีทุกข์ มีเข้าใจ มีผิดใจกัน มีก๊กกิ๊กบ้าง งอนกันบ้างเป็นธรรมดา โลกไม่ได้มีด้านเดียว การเง้างอนกันของสามีภรรยาจึงเป็นสิ่งที่เกิดได้เพียงแต่ว่าเราต้องรู้ทันมันและลดทิฐิมานะ เปิดใจเข้าหากัน ก็จะทำให้ชีวิตกลับมาหวานชื่นได้

อากาศที่อุณหภูมิ 15-20 องศาเซลเซียสในยามกลางวันที่ยุโรปไม่น่าจะร้อนมากแต่มาบวกกับความแรงกล้าของแดดทำให้รู้สึกร้อนอย่างมาก เหงื่อโชก ทำให้เหนื่อยง่าย เทียบกับตอนเดินเที่ยวช่วงฤดูหนาวแล้ว ตอนนั้นเดินเที่ยวสบายกว่าเยอะ เดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย ไม่ล้าเพราะไม่ร้อนและไม่เสียเหงื่อมาก ตอนนั่งรถไฟและล่องเรือชมทิวทัศน์หุบเขาลุ่มน้ำไรน์จึงรู้สึกดีกว่าเดินเที่ยว ลมที่พัดมาทำให้เย็นสบาย ช่วงที่ผ่านไร่องุ่นที่ปลูกไว้เป็นทิวแถวตามเนินเขา ยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่น

อดคิดไปสมัยเป็นเด็กไม่ได้ตอนที่พ่อกับแม่ปลูกฝ้ายในช่วงเริ่มหมดฝนหลังจากตัดถั่วเหลืองในไร่เสร็จแล้ว ไร่ฝ้ายจะเข้ามาแทนที่ เมื่อฝ้ายเริ่มโตขึ้น ช่องระหว่างแถวต้นฝ้ายจะร่ม แม้แดดออกก็ไม่ร้อน ใช้หลบแสงแดดได้สบาย เวลาหญ้าขึ้นรกๆ ต้องไปดายหญ้าใต้ต้นฝ้าย โดยการนั่งยองๆใช้มีดดาบคมๆถางหญ้า พอเมื่อยหรือเริ่มเหนื่อยก็อาศัยนั่งพักใต้ร่มฝ้ายได้ บางครั้งผมก็แอบงีบหลับอย่างสบายบนผืนดินใต้ร่มฝ้ายนั่นเอง เป็นความสุขง่ายๆสงบๆที่หาได้โดยไม่ต้องซื้อหา ยิ่งช่วงที่ฝ้ายเริ่มออกดอก(สมอ)และแตกออกให้เห็นปุยฝ้ายขาวสะอาดไปทั่วทั้งผืนไร่ สลับกับสีเขียวและเหลืองของใบฝ้ายดูสวยงามมาก ผมออกไปช่วยพ่อกับแม่เก็บปุยฝ้ายใส่ย่ามสะพายในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาวสีกรมที่แถวบ้านเรียกกันว่า เสื้อทำงาน พักกลางวันก็เดินกลับไปกินข้าวที่ห้างไร่ (ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า) ที่มีผักพืชสวนครัวปลูกไว้โดยไม่ต้องซื้อและผลไม้ที่แค่ปีนต้นก็เด็ดผลมากินได้ ทั้งฝรั่ง มะม่วง ขนุน พุทรา ช่วงบ่ายๆออกไปเก็บฝ้ายต่อ พอรู้สึกเหนื่อยก็ย่อกายลงนั่งใต้ร่มฝ้าย ให้คลายร้อนแล้วก็เอนกายลงนอนเผลองีบหลับไปบ่อยๆตื่นมาก็สดชื่น

การปลูกฝ้ายต้องมีการเตรียมที่ดินหลังจากปลูกถั่วเหลืองแล้ว ทำให้ดินดีเพราะถั่วเหลืองมีปมรากที่เก็บไนโตรเจนไว้เป็นปุ๋ยดินได้ ทำไร่ฝ้ายเริ่มจากการไถร่องเพื่อใช้หยอดฝ้าย ช่วงแรกๆที่จำความได้พ่อใช้วัวลากคันไถ ช่วงเย็นๆไม่ร้อน ผมจะตามพ่อไปในไร่และขอจับคันไถเดินคู่ไปกับพ่อ รู้สึกสนุกมาก ตอนหลังพ่อขายวัวที่มีอยู่สองตัวไปและซื้อรถไถนาแบบเดินตามมาใช้แทนเพราะเร็วกว่าแต่ก็ต้องเสียเงินซื้อน้ำมันมาเติม รถไถนานี้แถวบ้านผมเรียกว่ารถดายหญ้า บางแห่งเขาเรียกรถอีต๊อก เพราะใช้เครื่องยนต์ชนิดเดียวกับรถอีแต๋น รถดายหญ้าถือเป็นอุปกรณ์ทำมาหากินและใช้เดินทางขนส่งไปในตัว มีเทลเลอร์พ่วงท้ายไว้สำหรับนั่งและบรรทุกของได้ และมีผานสำหรับไถที่และมีจอบหมุนสำหรับพรวนดินในไร่ได้ ผมสามารถขับรถดายหญ้าได้ แต่กว่าจะหมุนติดเครื่องยนต์ได้ก็เหนื่อยเหมือนกัน ถ้าไม่ระวังไม่ดีมือหมุนอาจสะบัดตีคางแตกได้ เดิมจากห้างไร่ที่โป่งกว้าวจะกลับมาบ้านที่ป่ากุมเกาะก็ใช้นั่งเกวียน (ล้อ) เทียมวัวระยะ 10 กิโลเมตร ไปตามถนนลูกรังใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง แต่พอมีรถดายหญ้าก็เร็วขึ้นสัก 2-3 ชั่วโมง

เทศกาลหยอดฝ้ายนั้นจะมีเพื่อนห้างข้างๆกันมาช่วยหยอดและไถพรวนเป็นการเอาแรงกันหรือลงแขก พวกผู้ชายทำหน้าที่ไถร่อง พวกผู้หญิงทำหน้าที่หยอดฝ้ายและทำอาหารเลี้ยงทุกคน เมล็ดฝ้ายถูกนำมาคลุกเคล้ากับดินโคลนก่อนหยอด หยอดเป็นระยะๆแล้วใช้เท้าเขี่ยดินกลบไว้ ห่างกันสักฟุตหนึ่ง ตามแนวร่องที่ไถไว้ กว่าฝ้ายจะโตให้ดอกได้ก็หลายเดือน ดอกฝ้ายออกปุยขาวราวเดือนมกราคม ก็เก็บปุยฝ้ายได้ พอเก็บแล้วพ่อจะเอาไปไว้ที่บนห้างก่อน กลางคืนหน้าหนาวเด็กๆก็จะอาศัยนอนในกองฝ้ายคลายความหนาวไปได้ ก่อนนำไปขายจะต้องเอาใส่กระสอบขนาดใหญ่ ต้องทำเสาสำหรับแขวนกระสอบฝ้าย แล้วนำฝ้ายใส่กระสอบอัดให้แน่นโดยการใช้คนเหยียบ พ่อทำหน้าที่เหยียบ แม่คอยเอาฝ้ายใส่ตะกร้าส่งให้พ่อ ผมก็ชอบลงไปเหยียบฝ้ายในกระสอบกับพ่อด้วย สนุกดี กระสอบที่อัดแน่นแล้วจะได้ประมาณ 90-100 กิโลกรัม พ่อจะจ้างรถสองแถวมาขนฝ้ายไปขายให้พ่อค้าคนกลาง (เถ้าแก่) ที่ตลาดสวรรคโลก

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2551 ตื่นนอนราว 7 โมงเช้า ปลุกลูกๆให้อาบน้ำ แต่ละคนก็อิดออดชักช้า ด้วยความเกรงใจพี่ตู่เพราะรู้ว่าพี่ตู่อยากออกเที่ยวแต่เช้าและให้ไปได้หลายๆเมือง ผมกับเอ้ก็เร่งลูกและพูดกันไปมาจนหงุดหงิดกันแต่เช้า พาลใช้คำพูดไม่ถูกหูกันขึ้นมา จนเกิดอาการงอนปั้นปึ่งกันไม่ค่อยจะคุยกันไป พอกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ออกจากโรงแรมตอน 8 โมงเช้า สะพายเป้ เดินออกจากถนนหน้าโรงแรมมาเดินเที่ยวที่หอน้ำ ที่เป็นสวนสาธารณะของเมือง มีต้นไม้และสวนหย่อม สวนดอกไม้กำลังออกดอกสวยงาม ถ้าไม่งอนกันซะก่อนคงได้รูปหวานแหววมากกว่านี้

เมืองมานน์ไฮม์ (Mannheim) ของรัฐบาเดน-เวือร์เทมแบร์ก ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำเนคคาร์ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำไรน์ เคยได้รับสมญานามว่าเป็นฟลอเรนซ์แห่งพาลาทิเนท เมืองนี้มีสิ่งน่าดึงดูดใจหลายแห่งเช่นวังที่ประทับ ศาลาว่าการเมืองเก่าและโบสถ์ต่างๆ แต่เนื่องจากออกเดินเที่ยวสายแล้วจึงต้องเว้นการเดินเที่ยวตัวเมืองนี้ไป กลับไปขึ้นรถไฟต่อไปเมืองไฮเดนเบิร์กหรือไฮเดลแบร์กที่ถือเป็นเมืองไฮไลต์ของแคว้นหรือรัฐนี้ รัฐนี้ถือเป็นจุดขายการท่องเที่ยวเป็นอันดับสองของประเทศ เป็นรัฐใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ แบ่งเขตการท่องเที่ยวเป็น 3 เขตคือเขตป่าดำ (Black forest) ที่มีแหล่งน้ำแร่เหมาะแก่การพักผ่อนเชองสุขภาพ การเดินป่าชมธรรมชาติ การเที่ยวไร่องุ่นและชิมไวน์ เขตลุ่มน้ำเนคคาร์-สเวเบียน และเขตทะเลสาบคอนส์แทนซ์ เมืองหลวงของรัฐนี้คือชทุทท์การ์ท (Stuttgart) ที่เป็นถิ่นกำเนิดของรถยนต์ชื่อดังก้องโลกคือเดมเลอร์-เบนซ์ และปอร์เช่ พี่ตู่อยากไปชมท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยหญ้าหลากสีในหน้าร้อนและเมืองไฟรบูร์ก (Freiburg) แต่ไม่แน่ใจเวลาจะพอหรือไม่ รถไฟพาเรามาถึงปลายทางที่ไฮเดลเบิร์ก

เมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) เมืองเล็กที่มีประชากรไม่หนาแน่น ประชากร 1 ใน 5 ของเมืองเป็นนักศึกษา เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ตั้งแต่ ค.ศ. 1386 เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้ประสูติกาล เราลงจากรถไฟเดินออกจากสถานีรถไฟที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเมือง พี่ตู่พาเราเดินไปสักพัก รู้สึกว่าอากาศร้อนและดูท่าว่าระยะทางจะไกล กลัวหมดแรงเดินกันเสียก่อนที่จะได้ชมปราสาท จึงขึ้นรถบัส คนละ 1 ยูโร ไปที่ลานคอร์นมาร์ค (Kornmarkt) เข้าไปในสถานีรถไฟ (Funicular railway station) ขึ้นเขา เพื่อไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา จากสถานีคอร์นทมาร์กที่สูง 113.2 เมตร นั่งรถไฟตู้หน้าสุดไปถึงที่สถานี Schloss (Castle) ที่สูง 192 เมตร ต่อไปจนถึงสถานีMolkenkur Umstieg หรือสถานีเปลี่ยน (transfer station) ลงรถไฟแล้วต่อรถไฟส่วนบนไปถึงสถานี Konigstuhl ที่สูง 549.82 เมตร เดินชมบนยอดเขา มองวิวรอบๆ มองลงมาดูเมืองและลำน้ำที่เห็นอยู่ด้านล่าง ด้านบนมีร้านอาหาร มีจุดชิมวิว อยู่ได้สักพักก็นั่งรถไฟลงมาที่สถานีชมปราสาท

ความโรแมนติกของไฮเดนเบิร์ก มีไฮไลต์อยู่ที่การนั่งรถไฟขึ้นเขาชมปราสาท เจ้า Funicular railway station นี้มี 2 ส่วน ส่วนล่างขึ้นชมปราสาทสร้างเมื่อ ค.ศ. 1890 และส่วนบนที่ต่อไปยอดเขาสร้างปี ค.ศ. 1905 หลักการง่ายๆของรถไฟสายนี้คือมีตู้นั่ง 2 ตู้อยู่ตรงข้ามกันด้านบนกับด้านล่าง ขณะที่ตู้บนเลื่อนลงมาก็จะใช้น้ำหนักตามแรงโน้มถ่วงของโลกดึงเอาตู้ล่างขึ้นไปข้างบนได้ ในปี ค.ศ. 1997 ได้ปรับเป็นระบบสมัยใหม่แต่ก็ใช้หลักการเดิม เด็กๆตื่นเต้นกับการนั่งรถไฟขึ้นเขา แม้พ่อกับแม่จะออกอาการปั้นปึ่งกันบ้างก็ตาม ขลุ่ยเกาะติดลุงตู่ ขิมจูงมือกับแม่ ส่วนแคนอยู่กับพ่อ มีคนกล่าวว่าทางเดินเล็กๆบนเนินเขาที่มองลงไปเห็นเมืองและแม่น้ำนี้ เป็นเส้นทางเดินที่นักปราชญ์และกวีหลายคนมาเดินทอดน่องปล่อยอารมณ์แต่งบทกวีและขบปัญหาทางความคิดกัน

ความงดงามของทิวทัศน์บนยอดเขาเมื่อนั่งรถไฟขบวนนี้ชมความงามนั้น มีกวีหลายคนได้เขียนพรรณนาความงามไว้ ในปี ค.ศ. 1928 Walter Benjamin ได้เขียนกวีนิพนธ์ชมความงามไว้ว่า

“Debris of ruins towering in the sky, seems to double in beuty on clear day, when a glimpse in its window or at its head meets the passing clouds. In the transient spectacle, revealing it in the sky, the ruination affirms the eternity of this debris.”

เดินออกจากสถานี Schloss ออกมาตามถนนลาดยางเล็กๆสำหรับคนเดินออกไปเที่ยวชมปราสาทไฮเดลเบิร์ก ที่คาดกันว่าสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่กษัตริย์รูเปรคที่ 3 เพิ่งนำมาตกแต่งเป็นพระราชวังในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 16 และ 17 มีการสร้างอาคารเพิ่มเติมอีก 2 หลัง เมื่อเข้าสู่สมัยสงคราม 30 ปีและการบุกรุกของฝรั่งเศสทำให้ปราสาทถูกทำลายลง ถูกฟ้าผ่า และทิ้งร้างถูกคนมาแอบเจาะเอาหินไปสร้างบ้าน จนทรุดโทรมไปและได้รับการอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่โดยการนำของเคาท์ ชาร์ล เดอ แกรมแบร์ก ชาวฝรั่งเศส ที่ปราสาทมีจุดชมสำคัญ 5 จุด เราเดินผ่านไปที่จุดแรกเป็นบริเวณระเบียงชมวิวที่มองลงไปเห็นเมืองและแม่น้ำ เข้าสู่จุดที่ 2 ที่เป็นอาคารเกรท วัท (Great Vat) ตั้งแสดงถังเบียร์ไวน์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างเมื่อค.ศ. 1751 สมัยพระเจ้าคาร์ล ธีโอดอร์ ตัวถังสูง 7 เมตร กว้าง 8.5 เมตร ใช้ไม้มากกว่า 130 แผ่นในการประกอบ ใช้บรรจุไวน์ได้ถึง 221,726 ลิตร แม้วิวจะสวย แต่อากาศร้อน แดดจัดมาก จึงนั่งพักร้อนที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ แล้วก็เดินไปจุดที่ 3 ยืนชมบริเวณลานภายในซึ่งล้อมรอบด้วยอาคารที่หน้าบันประดับด้วยลวดลายยุคเรเนอซองส์ ขณะชมอยู่มีขบวนพาเหรดพร้อมแตรวงบรรเลงผ่านไป ส่วนจุดที่ 4 ห้องจัดแสดงประวัติของปราสาท และจุดที่ 5 พิพิธภัณฑ์ด้านการผสมยาอะโพเธคเค่น เราไม่ได้เข้าไปชมเพราะเวลาผ่านไปมากแล้วต้องรีบลงมาชมย่านเมืองเก่า

พี่ตู่พาเดินลัดเลาะลงมาตามบันได 315 ขั้น ลงไปถึงลานมาร์คพลัทซ์ มีน้ำพุเฮอคิวลิสและศาลาว่ากลางเมืองงามสง่า โดดเด่น เป็นลานที่มีคนมาค้าขาย มาชุมนุม นั่งจิบกาแฟ จิบเบียร์ท่ามกลางฟ้าใสแดดดี ผ่านโบสถ์หลังใหญ่ที่มีชื่อที่สุดของเมืองคือไฮลิคไกสท์เคียร์เช่อ ที่เดิมเป็นศิลปะเรเนอซองส์ ช่วงสงครามโลกถูกถล่มยับเยิน จึงสร้างใหม่เป็นแบบโกธิค เป็นของนิกายโปรเตสแตนท์ ไม่ได้เข้าไปชมความงามของลวดลายกระจกสีสเตนกลาสที่ประดับอยู่ภายใน เดินต่อไปที่ริมฝั่งน้ำไปที่สะพานคาร์ล ธีโอดอร์ บรึ๊คเค่อ (Karl-Theodor Brucke) หรือสะพานเก่า ที่เดิมสร้างเป็นสะพานไม้ แต่ก็พังแล้วพังอีก จนกษัตริย์คาร์ลให้สร้างเป็นหินในปี ค.ศ. 1786 ว่ากันว่าที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่โรแมนติกมากสำหรับคู่รักทุกยุคทุกสมัย แต่เรามาชมความงามของทิวทัศน์ในยามเที่ยงวันที่อากาศร้อนมาก ก็เลยไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน แต่วิวบนสะพานก็สวยพอให้ผมกับเอ้ได้ถ่ายรูปคู่กันได้แม้จะงอนๆกันอยู่ด้วยฝีมือของน้องแคน และได้ถ่ายรูปกับประติมากรรมลิงทองเหลืองที่หัวสะพาน เราทุกคนต่างขอถ่ายรูปเดี่ยวด้วยการสอดหัวเข้าไปข้างในหัวลิง มีความเชื่อว่าถ้าแตะที่กระจกจะทำให้มั่งคั่ง แตะที่นิ้วลิงจะได้กลับมาเที่ยวอีกและถ้าอยากมีลูกให้แตะหนูที่อยู่ข้างๆ

ริมฝั่งน้ำสองฝั่งเป็นทางเดินสำหรับชมทิวทัศน์สองฝั่งน้ำของเมือง ผ่านย่านมหาวิทยาลัยที่อาคารของคณะต่างๆสร้างกระจายปะปนอยู่กับร้านค้าและบ้านเรือน ตั้งใจกันว่าจะไปกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าปิดทำการ จึงเดินหิ้วท้องด้วยความหิวเข้าไปย่านกลางเมืองผ่านไปทางลานมหาวิทยาลัย (Universitatspalatz) กินแซนด์วิชเป็นอาหารกลางวัน อร่อยสู้ข้าวเหนียวไก่ทอดฝีมือเอ้ไม่ได้ แต่ก็ต้องกินเพราะเสบียงที่เตรียมมาหมดไปแล้ว กินไอศกรีม ชิมกาแฟสตาร์บัคส์ นั่งพักเหนื่อย รู้สึกสดชื่นขึ้น ชมน้ำพุรูปสิงโต มองเห็นอาคารมหาวิทยาลัยเก่า อาคารใหม่และคุกนักศึกษา แต่ไม่ได้เข้าชมอาคาร ขึ้นรถบัสสาย 32 กลับมาที่สถานีรถไฟหลัก

บ่ายสอง นั่งรถไฟต่อไปที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt) เมืองใหญ่ของรัฐเฮสเซน (Hessen) ที่มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองวีสบาเดน (Wiesbaden) แต่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักเท่าแฟรงค์เฟิร์ต รัฐเฮสเซนนี้เป็นหัวใจของเยอรมนีเพราะอยู่ตรงใจกลางของประเทศ เป็นพื้นที่ของฉากเทพนิยายกริมม์ที่เด็กๆทั่วโลกรู้จักกันดีเช่นหนูน้อยหมวกแดง เจ้าหญิงนิทรา สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด

แฟรงค์เฟิร์ต เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าหุ้นและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นที่ตั้งท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นบ้านเกิดของเกอเธ่ กวีคนสำคัญของเยอรมัน ได้รับสิทธิ์ปกครองตนเองตั้งแต่ ค.ศ. 1372 มีความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปี พอลงรถไฟพี่ตู่ขอแยกไปเที่ยวคนเดียวเพราะอยากไปเที่ยวอีกหลายเมือง ถ้าไปกับเด็กๆเป็นกลุ่มใหญ่จะไปได้ช้า เพราะดูแล้วเด็กๆก็เริ่มล้ากันแล้ว ครอบครัวเราทั้ง 5 คนจึงต้องเดินเที่ยวเมืองกันลำพัง เดินฝ่าแดดร้อนช่วงบ่ายแก่ๆ แม้จะมีหมวกและใส่เสื้อแขนยาวก็ไม่ทุเลา เราเดินไปตามถนนใหญ่จากสถานีรถไฟ ไปจนถึงสวนสาธารณะก็รีบหาที่นั่งพักเหนื่อยกัน แล้วเดินไปเรื่อยๆช้าๆ ไปจนถึงริมฝั่งน้ำ เดินขึ้นไปชมบนสะพานข้ามลำน้ำที่ออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋ ลมพัดเย็นแต่แดดจ้า เดินลงมานั่งพักหลบร้อนที่เก้าอี้ยาวในสวนริมน้ำใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ที่ใบพลิ้วปลิวไปตามลมที่พัดมาปะทะ น้องแคนกับน้องขิมทะเลาะกันเพราะแย่งเก้าอี้ที่นั่ง ขลุ่ยก็เริ่มงอแง คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เดินเที่ยว ตื่นเช้า อากาศร้อน ขนาดผู้ใหญ่ยังเหนื่อยแทบหมดแรงเลย

เด็กงอแง พ่อแม่เริ่มหงุดหงิดทำให้บรรยากาศตึงเครียด แคนอยากนั่งพัก ขิมอยากเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำหายากต้องเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ แคนเหนื่อยก็เดินช้า ขิมอยากเข้าห้องน้ำต้องรีบเดิน จนเอ้ต้องพาขิมรีบไปก่อน ส่วนแคนกับขลุ่ยเดินไปกับพ่อ ตอนนั้นผมก็รู้สึกเสียใจ ที่เราควบคุมอารมณ์กันไม่ได้ ก็เหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ ผมเองก็ไม่อดทนพอ คิดอยู่ว่าทำไมต้องเสียเงินเสียทองมาถกเถียงกันถึงต่างแดนด้วย เดินถึงสถานีรถไฟแล้วก็รู้สึกล้าเบื่อไม่อยากออกไปเดินเที่ยวอีกแม้มีเวลาอีกกว่าชั่วโมง จึงไม่ได้ไปเที่ยวย่านเมืองเก่า อดชมศาลาว่าการเมืองศิลปะโกธิคที่สร้างตั้งแต่ค.ศ. 1405 และไม่ได้ชมห้องจักรพรรดิที่กษัตริย์เยอรมันถึง 52 องค์ได้รับการสวมมงกุฎ นั่งรอเวลารถไฟอยู่ที่สถานี นั่งสักพักก็คลายเหนื่อย อารมณ์เริ่มดีขึ้น เด็กๆหายเหนื่อยแล้ว เริ่มหิวก็ซื้อแซนด์วิชทานกัน พักรอเวลารถไฟสายด่วน ICE10 ที่จะออกเวลา 18:29 น. ขณะนั่งรอปรากฏว่าพี่ตู่เปลี่ยนใจไม่ไปเที่ยวต่อกลับมาขึ้นรถไฟทันเที่ยวเดียวกัน เด็กๆตื่นเต้นวิ่งไปหาลุงตู่กันใหญ่ เด็กคุยกันดีแล้วแต่พ่อกับแม่ก็ยังคงงอนๆกันอยู่ เด็กโกรธกันเร็วแต่ก็หายเร็ว ไม่มีทิฐิกัน ไม่ต้องรักษาหน้า รักษามาด แต่ผู้ใหญ่มีทิฐิมากโกรธกันกว่าจะดีกัน จะยากกว่า ไม่มีใครยอมง้อใครก่อน ลุงตู่ก็บอกว่าล้าเหมือนกันเลยไม่ได้ไปเที่ยวเมืองอื่นอีกและอยากกลับไปพัก ลึกๆผมว่าพี่ตู่รับรู้ได้ว่าผมกับแฟนงอนกัน คงอยากให้ได้คุยกันปรับความเข้าใจกันอย่างอิสระมากกว่าจะอยากแยกไปเที่ยวคนเดียว

ขึ้นรถไฟกลับ ไม่ได้จองที่นั่งไว้ ต้องย้ายที่นั่งเพราะไปนั่งของที่เขาจองไว้ ตอนหลังสังเกตว่าจะมีป้ายสีแดงที่เก้าอี้ที่จอง ถ้าไม่มีก็แสดงว่าว่าง ขากลับเป็นรถไฟต้นทางจากแฟรงค์เฟิร์ตผ่านไปสู่เมืองบอนน์ เข้าโคโลญจ์ อาเคน แต่ช่วงที่จะเข้าลีเอจ ทางรถไฟได้รับการแจ้งว่าทางรถไฟช่วงนั้นมีปัญหาต้องอ้อมไปทางเมืองลูเวน (Leuven) ทำให้เราเดินทางถึงสถานีรถไฟกลางเบลเยียม ช้าไป 25 นาที รถไฟที่เราหมายตาไว้กลับแอนท์เวิปเวลา 22:14 น. ออกไปแล้ว ต้องนั่งรอเที่ยวต่อไปเวลา 10:41 น. ไปถึงสถานีแอนท์เวิปกลางราวห้าทุ่มครึ่ง นั่งรถรางและถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนราวตี 1 จึงไม่มีเวลาทบทวนเตรียมการสำหรับการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ในวันรุ่งขึ้น ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 7 โมงเช้า กันเหนียว กลัวพลาดตื่นไปไม่ทันสอบ

ตอนนั่งรถไฟกลับก็คิดไปตลอดทางว่า คนรักกันมีโอกาสที่จะคิดเห็นแตกต่างกัน เข้าใจผิดกันได้ตลอดเวลา เหมือนลิ้นกับฟัน ชีวิตจึงเหมือนกับภาพวาดที่ต้องมีทั้งแสงและเงา มีสว่างมีมืด จึงจะทำให้ภาพวาดนั้นสวยงาม ชีวิตคนก็เช่นกัน เมื่อไหร่ที่คนรักกันเกิดความไม่เข้าใจก็ต้องเปิดใจลดทิฐิเข้าหากัน ก็จะเข้าใจกันได้ จริงๆแล้วเรื่องที่เกิดนี้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็อาจทำลายความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ที่ก่อตัวมายาวนานลงได้ในเวลาอันสั้น ยิ่งมาเจอความเหน็ดเหนื่อยกันทั้งคู่ด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสพูดไม่ถูกหูกันง่าย ก่อนนอนคืนนั้นผมก็ง้อภรรยา ปรับความเข้าใจกันและสัญญากันว่าจะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเพราะยังมีโปรแกรมเที่ยวยาวรออยู่ บางทีแม้จะลูกสามแล้วเราก็ยังคงงอนกันเหมือนเด็กๆบ้างเหมือนกัน ดูแล้วก็กุ๊กกิ๊กดี (แต่ไม่ใช่กุ๊กกับกิ๊กนะครับ คนละความหมายไปเลย) แล้วก็หลับไปอย่างสบายใจ

พิเชฐ  บัญญัติ(Phichet Banyati)

บ้านพักโรงพยาบาลบ้านตาก อ.บ้านตาก จ.ตาก

เขียนจากบันทึกลายมือประจำวันของวันที่ 22 มิถุนายน 2551

22 กุมภาพันธ์ 2552

หมายเลขบันทึก: 244011เขียนเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2009 22:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีครับคุณหมอ

มาอ่านบันทึกคุณหมอ กระตุ้นต่อมเที่ยวของผมเข้าซะแล้วสิครับ

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนเลย ...

เอาไว้ตามมาเที่ยวด้วยคนนะครับ

ปล. น่าจะมีรูปสวยๆมาให้ชมด้วยนะครับ

สวัสดีครับคุณPompier

จะพยายามเอารูปมาลงครับ ถ่ายรูปเยอะมาก แต่ยังไม่มีเวลาเอามาดูเองเลยครับ

  • มาทักทายคุณหมอ
  • มายิ้มๆๆ
  • แต่สงสัยว่า
  • ทำไมต้องง้อก่อนนอน
  • อิอิๆๆๆๆๆๆๆ
  • ก่อนนอนคืนนั้นผมก็ง้อภรรยา ปรับความเข้าใจกันและสัญญากันว่าจะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเพราะยังมีโปรแกรมเที่ยวยาวรออยู่
  • ท่านเขียนบันทึกได้ดีมาก ๆ เลยนะครับ
  • ผมประทับใจในบันทึกท่านมาก ๆ เลยครับ
  • สาระและชีวิต.....
  • เป็นกำลังใจให้ท่านผ่านdefenseนะครับ...
  • และ Happy for all นะครับ

ชยพร แอคะรัจน์

นั่นสิคะ อยากดูรูปด้วยค่ะ

คุณหมอลองใช้วิธีนี้สิคะ เวลาที่งอนกัน

เมื่อไหร่ใครโกรธใคร ให้พูดว่า "ฉันรักเธอนะ กว่าจะฝ่าฟันมาด้วยกันจนถึงป่านนี้"

รับรองค่ะ แป๊บเดียวก็หายงอน

แอมมี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ป.เอก กับพี่เกศค่ะ (เกศราภรณ์) แล้วก็กำลังรำลึกถึงความหลังเรื่อง เทพนิยายกริมม์

รอดูรูปอยู่ค่ะ ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท