วัฒนธรรมที่เลือนหาย..


วัฒนธรรมที่เลือนหาย... ไม่รู้ว่าผมตั้งชื่อแบบนี้ถูกหรือเปล่า

เรื่องมีอยู่ว่า.. วันนี้หมอนัดผมให้ไปเอาเหล็กออกจากขา ซึ่งก็นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมและคนใกล้ชิด สิบเดือนกับเหล็กเสียบเป็นๆที่ขา มีแต่ความเสียวกับความเจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็เสียว

เมื่อวานผมไปหาหมอตามนัด ทุกวันนี้นอกจากผมจะต้องไปโรงพยาบาลทุกวันเพื่อทำกายภาพบำบัดแล้ว หมอกระดูกก็จะนัดผมเพื่อดูอาการทุกเดือน และเมื่อวานหมอบอกว่าคืนนี้งดน้ำงดอาหารและพรุ่งนี้จะให้ดมยาเพื่อเอาเหล็กออก

วันนี้ผมออกจากบ้านแต่เช้าเพราะเจ้าหน้าที่ที่ห้องผ่าตัดบอกว่ามาเช้าให้หมอทำก่อนถ้าหมอทำคนไข้ในก่อนแล้วจะช้ามาก ... ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...

ผมถึงโรงพยาบาลก่อนแปดโมง เข้าคิวเพื่อเอาบัตรคิวแล้วก็ต้องไปรับผลการตรวจเลือดที่ตรวจเมื่อวาน จากนั้นก็ไปรายงานตัวที่ห้องผ่าตัด กว่าเขาจะถูกเรียกตัวเพื่อเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดก็เก้าโมงกว่าแล้ว .. สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมพูดผิดไป คือ เจ้าหน้าที่จะถามว่า มีฝันปลอมไหม ใส่การเกงในไหม กินอาหารมาหรือเปล่า แพ้อะไรไหม ... ผมก็ตอบว่าไม่ทุกอย่างและบอกเสริมไปว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๕ แล้ว เตรียมพร้อมทุกอย่าง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า จำเป็นต้องถาม..ไม่ถามไม่ได้..  ใช่..แม้จะเป็นการทำในสิ่งซ้ำๆซากๆ กับการความเป็นความตายแบบนี้ก็ต้องละเอียดและเคร่งครัด

เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัดก็ต้องนอนรอหน้าห้อง เพราะห้องที่ผมจะเข้านั้นมีคนไข้ในจำเป็นต้องเข้าก่อน.. หมอที่รักษาผมเขาบอกว่าต้องรอ คงเวลาเที่ยงๆจะได้ทำ.. ครับ..ถูกต้องตามที่เจ้าหน้าที่บอกเมื่อวาน  และผมก็ต้องนอนรอหน้าห้อง.. แต่ไม่นานนักผมก็ได้เข้าห้อง... เพราะเกิดเรื่องที่ห้องที่ผมจะต้องเข้า

คนไข้คนนั้น หมอต้องผ่าตัดด่วน.. แต่ญาติไม่มี หมอที่รักษาจะผ่าตัดแต่หมอดมยาไม่ยอมดมยาให้ เว้นแต่จะมีญาติลงมืออนุญาต .. คนไข้บอกว่าเขาอายุ ๖๐ แล้ว สามารถตัดสินใจเองได้ทุกอย่าง.. สุดท้ายหมอดมยาเป็นฝ่ายชนะ.. ผมก็คิดว่าก็น่าจะจบแบบนี้เช่นกัน

พอผมได้เข้าไปในห้องผ่าตัด บรรดาเจ้าหน้าที่ พยาบาล หมอ ก็ระดมกันแกะเหล็กออกจากขาผม แรกๆหมอดมยาให้ดมแค่ออกซิเจนก่อน แต่มีการฉีดยาแก้ปวดเข้าไปพร้อมๆกัน ทำให้ผมนี้รู้สึกหมุ่นไปเลย และจะได้ยินคำถามตลอดว่าเจ็บไหม... ไม่เจ็บครับ .. จริงๆด้วย เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดใดๆที่เหล็กเลย แต่เมื่อดึงเหล็กที่เสียบอยู่ออก เจ็บมากเลยครับ ผมต้องบีบขาตัวเองแรงๆ หมอดมยาเลยจัดการให้ผมหายเจ็บทันที

รู้สึกตัวอีกครั้ง หมอมาบอกผม ห้ามใช้ขาที่เพิ่งทำและมาพบหมอในสัปดาห์หน้า.. ผมก็หันไปถามพยาบาลว่า เสร็จแล้วเหรอ.. ทำไมมันเร็วนัก เขาก็บอกว่าสลบแป้ปเดียวเอง .. จากนั้นก็ถอดน้ำเกลือและไปจ่ายเงิน..กลับบ้าน..

ก่อนจากเตียงผ่าตัดผมก็ถามพยาบาลว่า ยาแก้ปวดมีฤทธิ์กี่ชั่วโมง เขาก็บอกว่าสองสามชั่วโมง และพอหมดฤทธิ์ยาแล้วถ้ารู้สึกเจ็บก็ให้ทานยาพาราเซทามอล... จนถึงเวลาที่ผมพิมพ์นี้ก็ยังไม่เจ็บอะไร

ระหว่างที่ผมรอนอกห้องผ่าตัดอยู่นั้น พยาบาลก็มาเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอกห้อง..

มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งผาลูกมารักษาหูของลูกคนโต อายุประมาณ ๗-๘ ขวบ  จูงลูกคนกลางด้วย อายุประมาณ ๓ ปี และอุ้มลูกคนเล็กอยู่ ลูกที่จูงไม่ได้จูงปกติเหมือนคนทั่วๆไปแต่ใช้เชือกฟางผูกไม่ให้ลูกไปไหน... แถมคุณแม่ตาบอดด้วย..!!!

ก็มีเสียงถามเหมือนที่ผมจะถาม.. พ่อละไปไหน ทำไมไม่มาด้วย .. คำตอบที่ได้ คือ พ่ออายุ ๘๐ แก่แล้ว ไม่สามารถที่จะมาได้... พยาบาลคนหนึ่งก็ตอบว่า สามารถมีลูกขนาดนี้ได้ ทำไมถึงไม่แรงมา..น่าคิด..

ผมก็ร่วมสนทนากับกลุ่มเขาด้วยว่า แล้วเพื่อนบ้านไปไหน ชุมชนตรงนั้นทำไมปล่อยมาแบบนี้.. ผมคิดว่าทั้งวัฒนธรรมไทยพุทธ วัฒนธรรมมลายู จะอยู่ร่วมกันเป็นเครือญาติทั้งหมู่บ้าน มีใครทุกข์สุขก็ร่วมทุกข์สุขกับเขาด้วย.. แล้วคนๆนี้เป็นมุสลิม อิสลามเน้นแล้วเน้นอีกว่าเพื่อนบ้านต้องเอาใจใส่และต้องดูแลกันเป็นอย่างดี..ท่านนบีบอกว่ามะลาอิกะฮฺมาย้ำกับการดูแลเพื่อนบ้านเสมือนว่าเพื่อนบ้านเป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิในมรดก

แล้ว...ปรากฏการณ์ที่เห็นในวันนี้..วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมมลายู หรือวัฒนธรรมอิสลาม ...มันเลือนลานหายไปไหน ???

 

คำสำคัญ (Tags): #ญาติ#เพื่อนบ้าน
หมายเลขบันทึก: 241300เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2009 21:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 19:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

วัฒนธรรมอย่างที่อาจารย์ว่าทุกวันนี้มันเลือนหายจริงๆครับ

ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองอาจารย์

อีกไม่นานผมคงได้เข้าไปบ้านอาจารย์พร้อมทีมงานวิจัยผมเพื่อสอบถามข้อมูลบางอย่างกับอาจารย์นะครับ พลางไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยครับ ด้วยสลามและดุอาอฺครับ

อัสลามูอาลัยกุม

ยินดีด้วยครับ ใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว อย่ารีบทำงานนะครับ หมอให้พักก่อน

สลามค่ะ

  • ดีใจด้วย จะหายดีแล้ว รักษาสุขภาพค่ะ
  • "อิสลามเน้นแล้วเน้นอีกว่าเพื่อนบ้านต้องเอาใจใส่และต้องดูแลกันเป็นอย่างดี..ท่านนบีบอกว่ามะลาอิกะฮฺมาย้ำกับการดูแลเพื่อนบ้านเสมือนว่าเพื่อนบ้านเป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิในมรดก

แล้ว...ปรากฏการณ์ที่เห็นในวันนี้..วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมมลายู หรือวัฒนธรรมอิสลาม ...มันเลือนลานหายไปไหน "

  • นั่นนะซิ ค่ะ มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท