การร่วมกันเรียนรู้ความเป็นจริงของโครงสร้างทางสังคมตามหลักปฏิจจสมุปบาท
A Participative Learning of Patฺiccasamuppādan Social
Structure Reality
ก่อนหน้าที่มนุษย์จะสถาปนาสังคมตัวเองว่าเป็นยุคสมัยแห่งการรู้แจ้ง
(The Age of Enlightenment) หรือยุคสมัยใหม่ (Modern Age)
มนุษย์ฝากชีวิตไว้กับอำนาจสูงสุดที่มีเทพเจ้าเป็นศูนย์กลาง
มนุษย์เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ในจักรวาล
อำนาจดังกล่าวถูกใช้โดยผ่านการตีความของผู้มีความรู้และอำนาจสูงกว่า
ผลจากการที่มนุษย์ฝากชีวิตไว้กับอำนาจสูงสุดและอำนาจสูงสุดถูกนำไปใช้โดยผ่านการตีความของผู้มีความรู้และอำนาจสูงกว่าเพื่อเข้าข้างตัวเองดังกล่าว
ทำให้เกิดการกดขี่ขมเหงระหว่างผู้ใช้อำนาจกับผู้ได้รับผลแห่งการใช้อำนาจนั้น
เมื่อการกดขี่ข่มเหงนั้นเลยขีดจำกัด
การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความสมดุลของอำนาจจึงปะทุขึ้นในแผ่นดินนั้น
การปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๗๘๙
เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงผลของการกดขี่จากการตีความอำนาจสูงสุดเพื่อเข้าข้างตัวเองของผู้มีความรู้และอำนาจสูงกว่า
ซึ่งการกดขี่ข่มเหงดังกล่าวนั้นกินเวลายาวนานนับพันปีมาแล้วก่อนที่จะเกิดการลุกขึ้นต่อสู้นั้น
อย่างไรก็ตาม
การปฏิวัติดังกล่าวไม่อาจส่งผลอย่างรุนแรงได้
หากไม่ได้รับพลังผลักดันจากความสำนึกในความเสมอภาคที่มาจากยุคแห่งการรู้แจ้ง
เพราะในยุคแห่งการรู้แจ้งนี้มนุษย์เริ่มตระหนักถึงสิทธิและอำนาจของตัวเองอย่างเข้มข้น
ทำให้เกิดนักคิดที่ปฏิเสธอำนาจสูงสุด
และปฏิเสธการใช้อำนาจสูงสุดนั้นโดยผ่านการตีความของผู้มีความรู้และอำนาจสูงกว่า
จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายแห่งในห้วงเวลานั้นในเวลาใกล้ชิดกันบนแผ่นดินยุโรป
ซึ่งเป็นผลจากการไหลมาประจวบกันของปรากฏการณ์สองปรากฏการณ์คือ
การถูกกดขี่อันยาวนานกับความต้องการแสวงหาความเสมอภาคอย่างแรงกล้าของประชาชน
จนกลายเป็นพลังทางสังคมอันยิ่งใหญ่ที่สามารถผลักดันอำนาจซึ่งสั่งสมมานานนับพันปีให้สั่นคลอนได้
จึงจะเห็นได้ว่า ความเป็นจริงทางสังคมก่อนยุครู้แจ้ง
เป็นความเป็นจริงที่ถูกผูกขาดโดยอำนาจสูงสุด
ที่ผ่านการตีความของผู้มีอำนาจและความรู้สูงกว่าเพื่อเข้าข้างตัวเอง
ผลของการผูกขาดความรู้ดังกล่าวนั้น
ทำให้เกิดการกดขี่ข่มเหงทางสังคมที่ยาวนานนับพันปี
เมื่อมาประจวบกับพลังสำนึกแห่งความเสมอภาคจากยุคสมัยใหม่
ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นของประชาชนผู้ถูกกดขี่ดังที่ได้กล่าวไปแล้วตอนต้น
ก่อนที่พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงจะพัดมาถึงแผ่นดินยุโรป
พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มก่อตัวขึ้น
การก่อตัวเริ่มต้นจากการเปลี่ยนมุมมองของมนุษย์ต่อตัวเองและต่อโลก
เป็นจุดเปลี่ยนจากยุคสมัยเก่าสู่ยุคสมัยใหม่
ในยุคสมัยใหม่นี้ความรู้ไม่ได้ผูกติดไว้กับอำนาจสูงสุดอีกต่อไป
ความรู้เป็นสิ่งที่มนุษย์ปัจเจกสามารถสร้างขึ้นมาเองได้โดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเหตุผลของมนุษย์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาและพิสูจน์โดยเหตุผลของมนุษย์เอง
ทำให้มนุษย์หันหลังให้กับอำนาจสูงสุด
หันหลังให้กับธรรมชาติแล้วมายึดตัวเองเป็นศูนย์กลางแทนธรรมชาติ
มนุษย์พยายามหาวิธีเอาชนะธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์รู้สึกไม่สะดวกสบาย
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกแขนงมีจุดเริ่มต้นจากยุคนี้
ผลจากการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมในยุคสมัยใหม่นี้
ทำให้มนุษย์มีอิสระมากขึ้นในการแสวงหา ในการบริโภค
ในการสะสมทรัพยากร
ผลจากการปฏิวัติสู่ยุคสมัยใหม่ดังกล่าวด้านหนึ่งทำให้มนุษย์รู้สึกราวกับว่าสังคมเข้าสู่ยุคแห่งแสงสว่างอย่างแท้จริง
แต่ในอีกด้านหนึ่งอาจเป็นความมืดที่แผ่ปกคลุมสังคมมนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัวหรืออาจรู้ตัวแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ
ผลด้านมืดจากการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมดังกล่าว
นำไปสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์นับแต่มีมนุษย์อุบัติขึ้นมาบนโลก
ผลิตผลด้านมืดของการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมในยุคสมัยใหม่นั้นเริ่มก่อตัวขึ้น
เมื่อชาติรัฐต่าง ๆ
เร่งแสวงหาทรัพยากรเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตที่ชาติรัฐตัวเองสามารถผลิตได้มากขึ้น
เนื่องจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีเพิ่มขึ้น
การแก่งแย่งทรัพยากรระหว่างชาติรัฐที่มีอำนาจนำไปสู่วงจรแห่งสงครามอีกเหมือนครั้งก่อน
แต่สงครามคราวนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อความเสมอภาคของประชาชน
หากแต่เป็นสงครามที่เป็นไปเพื่อสนองตัณหาของชาติรัฐที่มีอำนาจทั้งหลายในยุคนั้น
เป็นสงครามที่น่าหวาดกลัวมากกว่าสงครามของประชาชนเกินกว่าจะพรรณนา
ปรากฏการณ์เช่นนี้
แสดงให้เห็นว่าความรู้ที่ได้มาจากยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งเป็นเสมือน
“ยาเบื่อ” ที่เมื่อมนุษย์เสพเข้าไปแล้ว
บางพวกเกิดอาการหิวกระหาย
บางพวกเกิดอาการหลอนประสาทเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
สังคมที่เป็นผลิตผลแห่งการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมของยุคสมัยใหม่จึงดูเหมือนจะพบกับทางตัน
ทำให้เกิดนักคิดที่มีแนวคิด “เพี้ยน” ขึ้นหลายคนในแผ่นดินยุโรป
นักคิด “เพี้ยน”
เหล่านั้นถูกเรียกหรือจัดอยู่ในกลุ่มนักคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodern)
หรือหลังโครงสร้างนิยม (Post-structuralism)
ความเป็นจริงทางสังคมของยุคหลังสมัยใหม่หรือหลังโครงสร้างนิยมนี้ยังคงมีพลังผลักดันจากนักคิดปัจเจกชนเช่นเดียวกับนักคิดในยุคสมัยใหม่
นักคิดยุคหลังสมัยใหม่นั้น
สำหรับในบางทรรศนะเห็นว่านักคิดสำนักนี้ให้คุณูปการอันใหญ่หลวงกับสังคม
แต่ในบางทรรศนะกลับเห็นว่า นักคิดหลังยุคสมัยใหม่เหล่านี้
ไม่ได้แตกต่างไปจากนักคิดในยุคสมัยใหม่เลยในแง่การนำไปสู่ปัญหาใหม่
ในทางกลับกันอาจเห็นว่านักคิดหลังสมัยใหม่ให้คุณค่าที่เป็นรูปธรรมแก่สังคมน้อยกว่านักคิดในยุคสมัยใหม่ด้วยซ้ำไป
ทางสำนักหลังสมัยใหม่โต้แย้งว่า
รูปธรรมที่นำเสนอโดยนักคิดสมัยใหม่ในนามของ
ประชาธิปไตยบ้าง สังคมนิยมบ้าง เป็นเสมือนมายาคติ
(mythology) ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นทาส (enslave)
ของมายาคติทางสังคมเท่านั้น
ฉะนั้นมนุษย์จึงสมควรได้รับการปลดปล่อยสู่ความเป็นอิสระ
(emancipation) อย่างไรก็ตาม
วิธีการของนักคิดยุคหลังสมัยใหม่ที่กระทำเพียงวิพากษ์ (critic)
รื้อถอน (deconstruct) เพื่อปลดปล่อย (emancipate)
ผู้คนจากมายาคติทางสังคม
แต่ไม่ได้เสนอตัวแบบความเป็นจริงทางสังคมที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางสำหรับสังคม
เป็นผลให้แนวความคิดของนักคิดยุคหลังสมัยใหม่รบกวนจิตใจนักปรัชญาสังคมศาสตร์ที่ชื่นชมความรู้จากยุคสมัยใหม่อยู่เนือง
ๆ
ผลต่อชีวิตและสังคมที่สืบเนื่องมาจากการเข้ามามีอิทธิพลของความเป็นจริงทางสังคมยุคหลังสมัยใหม่
มีความซับซ้อนเป็นหลายเท่าทวีคูณเมื่อเทียบกับการเข้ามามีอิทธิพลของความเป็นจริงทางสังคมยุคสมัยใหม่แทนความเป็นจริงทางสังคมยุคคลาสสิก
เพราะเป็นธรรมดาที่ปฏิสัมพันธ์ในจำนวนสามมีมากกว่าปฏิสัมพันธ์ในจำนวนสอง
ยิ่งไปกว่านั้น
การแทนที่ทางความคิดไม่เหมือนการแทนที่ทางวัตถุที่สามารถรับรู้ทางประสาทสัมผัสได้ง่ายและชัดเจน
แต่การแทนที่ทางแนวความคิดอาจเปรียบได้กับการแทนที่ของกระแสลมที่อาจดูแผ่วเบาแต่นำมาซึ่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่
ตัวอย่างเช่น
การไหลมาแทนที่ของกระแสลมเย็นในบริเวณที่กระแสลมร้อนลอยตัวสูงขึ้น
ในธรรมชาติกระแสลมแค่เพียงสองกระแสคือร้อนกับเย็น
ยังทำให้เกิดความซับซ้อน สับสน
วุ่นวายในธรรมชาติได้ใหญ่หลวงขนาดนี้ ในสังคมมนุษย์
กระแสแห่งความเป็นจริงทางสังคมที่ยังคงไหลเวียนอยู่
มีอย่างน้อยสามกระแสใหญ่ ๆ ความซับซ้อน สับสน
วุ่นวายทางสังคม จึงเป็นสภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
สภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะที่ยากยิ่งในการหาคำอธิบายที่ชัดเจน
หรืออาจไม่มีทางเป็นไปได้เลย
คำอธิบายสังคมของนักคิดยุคหลังสมัยใหม่นั้น
อาจทำได้ดีที่สุดเพียงคิดคำใหม่ ๆ ขึ้นมาทั้ง ๆ
ที่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าคำเหล่านั้นอธิบายสังคมได้จริงหรือไม่
แต่ก็พยายามอธิบายเพื่อทำความเข้าใจสังคม
และหาหนทางนำสังคมสู่ความสงบสุข
ในที่สุดนักคิดกลุ่มหนึ่งก็ได้พยายามเสนอทางออกสำหรับอธิบายความเป็นจริงทางสังคม
โดยเสนอว่าความรู้ทั้งหลายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
นักคิดกลุ่มนี้อาจเป็นที่รู้จักในนาม “สัจจะนิยมสรรค์สร้าง”
(Constructive Realism) หรือบางคนอาจเรียกกลุ่มนี้ว่าพวก
“พ้นหลังสมัยใหม่” (After Postmodern) อย่างไรก็ดี
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่านักคิดกลุ่มนี้กำลังกลับไปสู่การเริ่มต้นของความเป็นจริงทางสังคมแบบสมัยใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แม้อาจจะไม่วนซ้ำรอยเดิมแต่ก็อาจมีลักษณะวงจรที่คล้ายกัน
คือเริ่มจากคิดค้น สร้างความรู้ขึ้นมา
จนยึดติดกับความรู้นั้นในระดับที่ก่อให้เกิดปัญหา
แล้วก็วิพากษ์หักล้าง
เมื่อหักล้างแล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่เป็นวัฏฏะจักรไม่รู้จบสิ้น
ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเมื่อไหร่สังคมมนุษย์จะพบกับสันติ
หรือว่านี่เป็นวิถีความเป็นจริงทางสังคมของมนุษย์
เป็นไปธรรมชาติ เป็นวัฏฏะจักรของสังคมมนุษย์
วิวัฒนาการของความเป็นจริงทางสังคมที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นนั้น
ชี้ให้เห็นความพยายามของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยว่า
มนุษย์ได้พยายามดิ้นรนเพื่อแสวงหาสันติสุขให้กับมนุษย์และสังคม
แต่ด้วยวิธีการของการสืบค้นความเป็นจริงทางสังคมที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการคาดเดา
โดยที่นักปรัชญาสังคมศาสตร์เหล่านั้นอาจไม่เคยเห็น
หรือไม่เคยรู้จักสังคมจริง ๆ เลย เขาจึงใช้วิธี “คลำ”
สังคมในการหาความรู้เกี่ยวกับสังคม
เมื่อคลำไปพบส่วนใดส่วนหนึ่งของสังคมแล้วก็สร้างข้อสรุป
โดยใช้การคาดเดาหรือการ “ทึกทักเอา”
วิธีการของนักปรัชญาสังคมศาสตร์ดังกล่าว
จึงไม่ต่างไปจากวิธีการของ “ตาบอดคลำช้าง”
ทำให้การสืบค้นความเป็นจริงทางสังคมที่ได้มาจากวิธีการของ “คนตาบอด”
ไม่สามารถนำมนุษย์กับสังคมไปสู่จุดหมายได้ ยิ่งไปกว่านั้น
ในวิวัฒนาการการสืบค้นความเป็นจริงทางสังคมที่กล่าวมาแล้วนั้น
ยังชี้ให้เห็นอีกว่า
ความพยายามของมนุษย์ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น
นอกจากจะไม่สามารถนำมนุษย์กับสังคมไปสู่สันติสุขได้แล้ว
ยังดูเหมือนว่าจะนำมนุษย์และสังคมออกห่างจากจุดหมายมากขึ้นเรื่อย
ๆ
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าสังคมมนุษย์เราจะตกอยู่ในมือของนักค้นหาความเป็นจริงทางสังคมแบบ
“ตาบอดคลำช้าง”
มาเป็นเวลาหลายศตวรรษนับแต่ยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งหรือการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
(Scientific Revolution) เป็นต้นมาแล้วก็ตาม
สังคมมนุษย์ก็มิใช่จะมืดมิดเสียทีเดียว
ภูมิปัญญาที่เคยนำสันติสุขมาสู่มนุษย์และสังคมมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี
ก่อนที่มนุษย์จะละทิ้งภูมิปัญญาเหล่านั้นไป
เพราะมนุษย์เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้แจ้ง
เข้าใจผิดว่าตัวเองสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้
แล้วกลับไปยึดวิธีการ “คาดเดา” วิธีการ “ทึกทักเอา”
ที่มนุษย์ตั้งชื่อเสียใหม่เพื่อจะให้สังคมศาสตร์มีความแข็งแกร่งแบบวิทยาศาสตร์ว่า
“วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์” (scientific method)
ซึ่งกว่าที่มนุษย์จะรู้ว่าเป็นการเดินผิดทางก็ล่วงไปเกือบสามร้อยปีแล้ว
ช่วงเวลาสามร้อยปีอาจดูเหมือนยาวนานถ้าเทียบกับอายุของมนุษย์คนหนึ่ง
แต่ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล้ว
เป็นเวลาเพียงชั่วอึดใจ สัดส่วนของเวลาเพียงชั่วอึดใจ
กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และสังคม
ภูมิปัญญาที่เคยสร้างสันติสุขแก่มนุษย์และสังคมเมื่อหลายพันปีก่อน
เป็นภูมิปัญญาที่มีอยู่กับโลก ไม่ว่าโลกตะวันตก
หรือโลกตะวันออก ในโลกตะวันตกเรียกว่า
“ปัญญาแห่งการปฏิบัติอันลุ่มลึก” (Phronesis)
สอนโดยอริสโตเติ้ล ในโลกตะวันออกเรียกว่า
“การปฏิบัติธรรม” สอนโดยพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคำว่า
“ปัญญาแห่งการปฏิบัติอันลุ่มลึก” หรือคำว่า “การปฏิบัติธรรม”
ก็ไม่ทำให้ความหมายแตกต่างกัน เพราะเน้นที่คำว่า “ปฏิบัติ”
เพราะฉะนั้น หากจะก้าวล่วงวิธีการค้นหาความเป็นจริงโดยวิธีการ
“คาดเดา” และ “ทึกทักเอา”
ก็ต้องไปให้ถึงการค้นหาความเป็นจริงด้วยการปฏิบัติจริง
“การจัดการความรู้” เพื่อนำไปสู่ “การเรียนรู้” เป็นวิธีการแห่ง
“การปฏิบัติ”
วิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำให้มนุษย์เข้าถึงความรู้ตามความเป็นจริง
ทำให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน” (transformations)
ขึ้นในตัวมนุษย์และโครงสร้างทางสังคมของมนุษย์
โครงสร้างทางสังคมเป็นหนึ่งในความเป็นจริงทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุด
เพราะโครงสร้างทางสังคมเป็นเสมือน “คุกทางสังคม”
ที่กักขังมนุษย์ไว้ไม่ให้เข้าถึงเสรีภาพที่แท้จริง
ในประวัติศาสตร์การค้นหาความเป็นจริงทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อระบบการศึกษาของโลกที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่านอกจากจะไม่สามารถทำให้มนุษย์เห็นโครงสร้างทางสังคมตามจริงแล้ว
ยังดูราวกับว่าจะไปทำให้โครงสร้างทางสังคม หรือ “คุกทางสังคม”
มีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
ยิ่งวิธีการในการค้นหาความเป็นจริงทางสังคมในระบบการศึกษายิ่งก้าวหน้ามากเท่าไหร่
ยิ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ “คุกทางสังคม”
มากขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่มนุษย์ในซีกโลกตะวันตกพยายามค้นหาวิธีการสืบค้นความเป็นจริงทางสังคมและเผยแพร่ปรัชญานั้นจนแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก
หากย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น
ก่อนหน้าที่เขาจะประกาศว่าสังคมเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งมากกว่าสองพันปี
ในซีกโลกตะวันออก ในดินแดนของชมพูทวีป
มีมหาบุรุษผู้หนึ่งนามว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ”
พระองค์ทรงค้นพบกฎธรรมชาติ
กฎที่วิธีการสืบค้นความเป็นจริงทางสังคมไม่อาจเทียบเคียงได้
กฎที่อธิบายทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ตั้งแต่เศษธุลีดิน
ชีวิต ไปจนถึงดวงดาวและเอกภพ
กฎที่ทำให้ผู้ที่เห็นแจ้งด้วยใจตนเอง
กลายเป็นผู้ที่เข้าถึงความรู้ที่สมบูรณ์
เป็นความรู้ที่ไม่ต้องคาดเดาแบบปรัชญาเชิงศาสตร์ทั้งมวล
กฎนั้นคือกฎแห่งสภาพที่อาศัยกันเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง
กฎนั้นมีภาษาเรียกดั้งเดิมว่า “ปฏิจจสมุปบาท” (Dependent
Origination)
กฎแห่งธรรมชาติที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น
แม้องค์มหาบุรุษผู้ทรงค้นพบเองยังทรงยอมรับว่าเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง
ยากแก่การเข้าใจของคนทั่วไป
แต่ด้วยพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่จึงทรงหาหนทางที่จะสอนธรรมนี้แก่ผู้ที่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจได้
ปฏิจจสมุปบาทจึงได้รับการนำออกเผยแพร่
และให้คุณูปการแก่มนุษย์ชาติมามากกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว
ปฏิจจสมุปบาทโดยความเป็นธรรมบริสุทธิ์นั้น
พระองค์ทรงสอนเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นหนทางในการทำความเข้าใจชีวิตเพื่อความพ้นทุกข์ของมนุษย์
ในอรรถกถาจารย์ฝ่ายเถรวาทเองได้มีการตีความต่างกัน
ตามยุคสมัยและภาษาที่เปลี่ยนไป
โดยอาจจับการตีความได้เป็นสามแนวทางคือ
การตีความเพื่ออธิบายการหลุดพ้นแบบข้ามภพข้ามชาติ
การตีความเพื่ออธิบายการหลุดพ้นในชาตินี้และเดี๋ยวนี้
โดยทั้งสองแนวทางนั้นมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
และตีความปฏิจจสมุปบาทเพื่อนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม
โดยแนวคิดนี้มีได้รับอิทธิพลจากการตีความของแนวทางที่สอง
อย่างไรก็ตาม
ผู้วิจัยเห็นด้วยกับนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาร่วมสมัยท่านหนึ่งที่สรุปว่า
“ปฏิจจสมุปบาทอธิบายทั้งขณะปัจจุบันและการเวียนว่ายตายเกิด”
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้เพื่ออธิบายอะไร
แต่ยังคงมีเป้าหมายร่วมกันคือ
เพื่อให้มนุษย์เห็นธรรมทั้งหลายตามจริง
เพื่อการละวางความยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งหลาย
เพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์ทั้งมวล
การนำธรรมะในพระพุทธศาสนามาประยุกต์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมและชีวิตสมัยใหม่มีปรากฏให้เห็นอยู่เนือง
ๆ
รวมทั้งธรรมะหมวดปฏิจจสมุปบาทด้วยแม้จะไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก
การนำปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมดังกล่าวนั้น
ได้อธิบายกฎความสืบเนื่องต่อกันเพียงในระดับของกิจวัตรประจำวันของมนุษย์และปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยทั่วไปเท่านั้น
ยังไม่ได้นำปฏิจจสมุปบาทไปอธิบายความเป็นจริงของโครงสร้างทางสังคมในประเด็นที่ว่า
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
ชาติ และทุกข์ อธิบายโครงสร้างทางสังคมไอ้อย่างไร
เมื่อวิเคราะห์โดยหลักปฏิจจสมุปบาท
นอกจากนี้การนำปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมเท่าที่ปรากฏ
ยังไม่ครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่า
ความไม่รู้ของมนุษย์ทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นสังขาร
สังขารนำไปสู่วิญญาณ วิญญาณนำไปสู่นามรูป
นามรูปนำไปสู่สฬายตนะ สฬายตนะนำไปสู่ผัสสะ
ผัสสะนำไปสู่เวทนา เวทนานำไปสู่ตัณหา
ตัณหานำไปสู่อุปทาน อุปาทานนำไปสู่ภพ ภพนำไปสู่ชาติ
และชาตินำไปสู่ทุกข์ เป็นโครงสร้างทางสังคมได้อย่างไร
เมื่อวิเคราะห์โดยหลักปฏิจจสมุปบาท
ยิ่งไปกว่านั้น
การนำปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมเท่าที่ปรากฏ
ยังไม่ได้นำเสนอในประเด็นที่ว่า
จะสร้างและจัดกระบวนการเรียนรู้รู้ร่วมกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ความเป็นจริงเรื่องโครงสร้างทางสังคมตามจริงตามหลักปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร
ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะปฏิจจสมุปบาทและธรรมอื่น ๆ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
เป็นธรรมอันประเสริฐที่ตรัสไว้ดีแล้ว สมบูรณ์แล้วในตัวเอง
ศาสนิกชนเพียงแค่คิดหาอุบายวิธีและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเอง
การเข้าถึงธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนเป็นสิ่งที่พึงคาดหวังได้อย่างแน่นอน
จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด
ทำให้เห็นได้ชัดว่าวิธีการค้นหาความเป็นจริงทางสังคม (social reality
inquiry)
ที่มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์และกำลังชี้นำสังคมมนุษย์อยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น
เป็นการแสวงหาความรู้ที่ทำให้มนุษย์ได้ความรู้ทางสังคมที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ
ความรู้นั้นได้นำพามนุษย์และสังคมไปสู่ความมืด
ขณะเดียวกันวิธีการค้นหาความเป็นจริงทางสังคมที่จะนำมนุษย์และสังคมไปสู่ความสว่างกลับไม่มีอิทธิพลต่อสังคม
และไม่มีโอกาสชี้นำสังคม
หรือหากมีก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะขับไล่ความมืดที่กำลังปกคลุมมนุษย์และสังคมได้
ดังนั้น
การมองย้อนกลับไปทบทวนวิธีการค้นหาความเป็นจริงทางสังคมที่ผ่านมาของปรัชญาสังคมศาสตร์ในอดีตเพื่อหาจุดบกพร่อง
แล้วหันกลับไปทบทวนคำสอนของมหาบุรุษผู้ค้นพบกฎธรรมชาติที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทเพื่อค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า
มีการตีความและอธิบายอย่างไร
จึงสามารถทำให้มนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยเข้าใจคำสอนและนำไปปฏิบัติได้
เพื่อเป็นแนวทางของการตีความและอธิบายสำหรับปัจจุบันและอนาคต
และก่อให้เกิดความพยายามหาคำอธิบายสำหรับคำถามที่ว่า
ทำอย่างไรจึงจะสามารถนำเอากฎธรรมชาติที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นมาบูรณาการเป็น
“การเรียนรู้ความเป็นจริงในโครงสร้างทางสังคม”
เพื่อให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันและอนาคตเห็นสังคมตามจริงได้
เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง
เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการขับไล่ความมืดแล้วนำแสงสว่างมาสู่มนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืนสืบไป
ความมืด...ในความสว่างแห่งปัญญา
"ปัญญา.."..เป็นสิ่งที่มีและก่อเกิดใน
"ตน" ของบุคคล
สิ่งที่แยกแยะ..ความเป็น"สิ่งมีชีวิต"...>>>
"ปัญญา"
"ปัญญา"...ไม่เคยแยกแยะการก่อเกิดและขึ้นอยู่กับเงื่อน.."มืดหรือสว่าง"
หาก.."นิ่ง"..."สติ"..ไม่ว่ามืดหรือสว่างย่อมจะมองเห็น
"ปัญญา"..ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
เรียน คุณสวัสดิ์
ผมได้รับอีเมลของคุณสวัสดิ์ เพื่อให้วิจารณ์บทความชิ้นนี้ คุณสวัสดิ์บอกว่าเป็นโครงการที่ใช้ในการศึกษา
ผมขออนุญาตวิจารณ์บทความของคุณสวัสดิ์ โดยการตั้งคำถามนะครับ
1. ผมอ่านตอนต้นๆของบทความแล้วมีปัญหาบางอย่าง กล่าวคือ คุณสวัสดิ์เล่าถึงสมัยก่อนยุคแห่งการรู้แจ้งว่า มีการใช้อำนาจผ่านการตีความของผู้มีความรู้และอำนาจสูงกว่า ทำให้เกิดการกดขี่ข่มเหง และอื่นๆตามมา สุดท้ายคุณสวัสดิ์กล่าวว่า "ความเป็นจริงทางสังคมก่อนยุครู้แจ้ง เป็นความจริงที่ถูกผูกขาดโดยอำนาจสูงสุด...เพื่อเข้าข้างตัวเอง"
คำถามคือ ความเป็นจริงทางสังคมในประโยคข้างต้น คืออะไร?
2. ในยุคสมัยใหม่ คุณสวัสดิ์เล่าว่า ความรู้ไม่ได้ผูกติดกับอำนาจสูงสุด แต่เป็นสิ่งที่ปัจเจกบุคคลสร้างขึ้นได้เอง ผลของการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมในยุคนี้ ทำให้มนุษย์มีอิสระมากขึ้น แต่ผลด้านมืดจากการปฏิวัติความเป็นจริงทางสังคมนี้ นำไปสู่การทำลายครั้งใหญ่ของมนุษย์
คำถามคือ ความเป็นจริงทางสังคมในยุคสมัยใหม่นี้คืออะไร? เหมือนหรือแตกต่างจากความเป็นจริงทางสังคมในยุคก่อนหน้านี้อย่างไร?
3. ประโยคที่ว่า "ความรู้ที่ได้มาจากยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งเป็นเสมือน ยาเบื่อ ที่มนุษย์เสพเข้าไป เกิดการหิวกระหาย เป็นกงจักรเป็นดอกบัว" ความรู้ในประโยคนี้คืออะไร? มีความเหมือนหรือความแตกต่างกับความเป็นจริงในสังคม ตามความหมายของคำเดียวกันที่ใช้ในคำถามข้อที่สองนี้หรือไม่?
4. ความเป็นจริงทางสังคมของยุคหลังสมัยใหม่ ที่นักคิดหลังยุคสมัยใหม่ไม่ได้เสนออย่างชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับสังคม
ความเป็นจริงทางสังคมนี้คืออะไร? เหมือนหรือแตกต่างจากความเป็นจริงทางสังคมในยุคต่างๆที่เล่ามาก่อนหน้านี้หรือไม่?
5. คุณสวัสดิ์เขียนว่า "แม้ว่าสังคมมนุษย์เราจะตกอยู่ในมือของนักค้นหาความเป็นจริงทางสังคมแบบ “ตาบอดคลำช้าง” มาเป็นเวลาหลายศตวรรษนับแต่ยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งหรือการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นต้นมาแล้วก็ตาม สังคมมนุษย์ก็มิใช่จะมืดมิดเสียทีเดียว ภูมิปัญญาที่เคยนำสันติสุขมาสู่มนุษย์และสังคมมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี ก่อนที่มนุษย์จะละทิ้งภูมิปัญญาเหล่านั้นไป"
คำถามคือ "ภูมิปัญญาที่เคยนำสันติสุข" เกิดขึ้นในยุคไหน? ก่อนยุครู้แจ้ง หรือยุคก่อน...ก่อนยุครู้แจ้ง อันเป็นยุคที่คุณสวัสดิ์ไม่ได้กล่าวถึงเลยในตอนต้นของบทความนี้ใข่หรือไม่? คุณสวัสดิ์กล่าวถึง Phronesis ของอริสโตเติล กับการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ตีความได้ว่า ภูมิปัญญาที่ว่านี้ เกิดในกรีกกับในอินเดียสมัยพุทธกาลใช่หรือไม่? ถ้าเกิดขึ้นในอินเดีย ทำไมคุณสวัสดิ์จะต้องเท้าความถึงประวัติศาสตร์ของชาวตะวันตก ทำไมไม่เล่าถึงประวัติของคนเอเชียด้วยกันเองตั้งแต่แรก?
6. สุดท้าย คุณสวัสดิ์เขียนว่า "นอกจากนี้การนำปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมเท่าที่ปรากฏ ยังไม่ครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่า ความไม่รู้ของมนุษย์ทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นสังขาร สังขารนำไปสู่วิญญาณ วิญญาณนำไปสู่นามรูป นามรูปนำไปสู่สฬายตนะ สฬายตนะนำไปสู่ผัสสะ ผัสสะนำไปสู่เวทนา เวทนานำไปสู่ตัณหา ตัณหานำไปสู่อุปทาน อุปาทานนำไปสู่ภพ ภพนำไปสู่ชาติ และชาตินำไปสู่ทุกข์ เป็นโครงสร้างทางสังคมได้อย่างไร"
ประโยคนี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่า โครงสร้างทางสังคมคือ ทุกข์ อย่างนั้นหรือ? คุณสวัสดิ์จะเอาหลักปฏิจจฯ มาอธิบายความทุกข์ของสังคมอย่างนั้นหรือ? แล้วความทุกข์ของสังคม ไปเกี่ยวอะไรกับความเป็นจริงทางสังคมในยุคต่างๆที่คุณสวัสดิ์อธิบายมาทั้งหมด? แล้วความทุกข์ของสังคมในยุคต่างๆนั้นมีความแตกต่างหรือเหมือนกันหรือไม่? คุณสวัสดิ์สามารถรู้เรื่องความทุกข์ของสังคมในยุคต่างๆได้อย่างไร?
ผมคิดว่าถ้าคุณสวัสดิ์ตอบคำถามเหล่านี้ได้ชัดเจน ก็คงจะทราบความหมายในสิ่งต่างๆที่ตัวเองได้อธิบายในบทความนี้
พิพัฒน์ พสุธารชาติ
คุณสวัสดิ์ครับ...
ครั้งแรกที่คุณสวัสดิ์เชิญชวนให้มาอ่านบทความนี้...ผมอ่านด้วยความลำบากพอควร...เพราะไม่มีประโยคเน้น...เป็น Keyword...แบบที่เคยพบเคยเห็นทั่วไป...
การให้สีก็จะช่วยได้เช่นกันครับ...
การเสนอเรื่องราว...หรือบทความใด ๆของแต่ละคน...ผมเข้าใจว่ามักจะเกิดจากอาการ ตกผลึก ทางความคิดในระดับหนึ่งแล้วอ่ะครับ...
อ่านของคุณสัวสดิ์แล้ว....ประมาณว่าคุณสวัสดิ์กำลังเกิดอาการปิ๊ง(Get) กับ ปฏิจจสมุทปบาท เป็นช่วงเกิดกำลังสูงสุดในความมุ่งมั่น(Peak) ที่จะใช้เป็นกุญแจสำคัญในการไขปัญหาค้างคาใจที่มีอยู่...
โดยยกองค์ประกอบของปัจจัยร่วมเข้ามาอธิบาย...ซึ่งจะทำให้แตกแขนงไม่รู้จบ...
สิ่งที่คุณพิพัฒน์เสนอ...เปรียบได้กับเพื่อนแท้ผู้ใช้วิชาดรรชนีจี้เข้าจุดสำคัญของร่างกาย...
ส่วนผมเห็นว่า...คุณสวัสดิ์มีพันธมิตรที่มีฝีมือระดับจอมยุทธ์อยู่ไม่น้อย... การหยั่งลึกเข้าไปในเรื่องปริศนาธรรม...โดยเฉพาะ ปฏิจจสมุทปบาท เป็นเรื่องลึกซึ้ง เกินกว่าที่ปุถุชนจะเหยียบย่างเข้าไปได้...นอกจากกระเทาะเปลือกกิเลสให้บางลงเสียก่อน...
ผมเคยมีอาการตกผลึกเช่นนี้ประจำครับ แล้วก็กลายเป็นอาการฝันค้าง...โชคดีที่ผมไม่เลยไปถึงอาการไฟธาตุแตกเหมือนรุ่นน้องที่ต้องเสียชีวิตไปโดยที่ยังข้องใจอยู่ว่า มนุษย์บนโลกใบนี้ช่างงี่เง่าสิ้นดี...ไม่รู้จักศึกษาสุดยอดวิชชาที่พุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้...แล้วเขาก็ถูกคนกว่า 99 % บอกว่าบ้า....
ปล. คุณสวัสดิ์เขียนแผนภูมิคล้ายกับ System Thinking ของ อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ นะครับ...ไม่ทราบรู้จักหรือไม่ หากสนใจลองคุยกับเขาดูก็ได้ครับ...