ไก่ย่างกระจกเงาหนึ่งเดียวในโลก (ไม่ได้ตีพิมพ์)


ไก่ย่างกระจกเงา

ไก่ย่างกระจกเงา

            กระจกเงาบานเล็กๆกว่า 630 บาน ที่รวมกันเป็นแผ่นกระจกขนาดใหญ่ความสูง 5 เมตรนี้ ได้สร้างความฉงนสงสัยให้กับหลายคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาแถวสามแยกกลุ่มสะแก บ้านเลขที่ 219 ตำบลหนองสโน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ได้ไม่น้อย จนหลายคนต้องหยุดดูและถามเจ้าของร้านขายข้าวแกง ณ จุดนั้นว่ามันคืออะไร และก็ได้คำตอบว่าที่มาของกระจกเงานี้ได้มาจากการคิดค้นของคุณศิลา สุทารัต อายุ 51 ปี ซึ่งมีอาชีพขายข้าวแกง ขาหมู และ ไก่ย่าง ซึ่งเจ้ากระจกเงายักษ์ที่เห็นนี้แหละเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการย่างไก่ของเขา คุณศิลาจึงเป็นเจ้าของต้นตำรับไก่ย่างพลังแสงอาทิตย์เจ้าแรกและเจ้าเดียวของโลก ไก่ย่างของคุณศิลามีรสชาติและลีลาการย่างที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครแน่นอน

            แม้ว่าคุณศิลาจะเรียนจบแค่ชั้นประถม 4 แต่กลับได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต กิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี จากผลงานการประดิษฐ์กระจกสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ชิ้นนี้ที่คิดค้นจากมันสมองของเขาเองและใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นผลงานที่ควรค่าแก่การศึกษาโดยเฉพาะในเรื่องการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานทดแทน

           คุณศิลาเป็นบุคคลตัวอย่างที่แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งแต่ก็ได้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานธรรมชาติ คุณศิลาตื่นตัวก่อนที่จะมีกระแสเรื่องภาวะโลกร้อนเสียอีก และคิดว่าทุกวันนี้ ป่าไม้ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน นับวันจะหมดลงไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ประหยัดหรือคิดหาพลังงานใหม่ ๆมาทดแทน วันข้างหน้าก็จะต้องหมดไปอย่างแน่นอนและคิดว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์นี่แหละที่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างไม่มีวันหมด เป็นพลังงานที่ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน เพราะมีอยู่ทุกหนแห่งและเป็นพลังงานที่ไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนในการซื้อเชื้อเพลิงในการย่างไก่ ได้ทั้งตนเองได้ทั้งสังคมอย่างนี้ถือว่าคุ้มสองต่อ

           หลักการของเตากระจกเงาบานนี้คือนำพลังงานความร้อนจากเตากระจกเงา ซึ่งประกอบไปด้วยกระจกเงาบานเล็กๆ ขนาดความกว้าง 3 นิ้ว ยาว 5 นิ้ว ๆ จำนวน 630 บาน มาเรียงต่อกันเป็นแถวจำนวน 16 แถวเรียงกัน แถวละ 25 แผ่น โดยวางยึดอยู่บนแผงเหล็กขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 6 เมตร  มีความสูงจากพื้นดิน 50 ซม. กระจกเงาจำนวนมากนี้ทำหน้าที่เป็นตัวรับพลังงานจากแสงอาทิตย์และใช้หลักการหักเหของแสง โดยเมื่อเตาได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์แล้ว ก็จะสะท้อนแสงไปยังที่จุดที่วางไก่ไว้ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 6 เมตร ถ้านึกภาพไม่ออกให้คุณผู้อ่านย้อนนึกไปสมัยประถมที่เราเคยทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเอาแว่นขยายมาส่องให้เป็นจุดเล็ก ๆ แล้วส่องที่กระดาษเพียงไม่นาน กระดาษก็ไหม้ แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่แสงจากเตากระจกที่ไปตกตรงที่วางไก่นี้ จะไม่ได้เป็นจุดเล็ก ๆ จะมีรัศมีวงกว้างเพราะขนาดของกระจกที่ใหญ่ยักษ์ ทำให้เตากระจกให้ความร้อนสูงถึง 312 องศา เป็นความร้อนที่สูงมาก จนทำให้ไก่จึงสุกได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แค่เพียง 15 นาที เร็วกว่าการย่างด้วยเตาถ่านเสียอีก  และที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดควันจากการเผาไหม้

คุณผู้อ่านอาจจะตั้งคำถามว่าแล้วรสชาติของไก่ย่างที่ได้จากเตากระจกพลังงานแสงอาทิตย์นี้ สุกเร็วแบบนี้ ควันก็ไม่มี แล้วรสชาติจะเป็นสัปปะรดหรือไม่ ดิฉันว่าอันนี้ต้องไปลองชิมกันเอาเอง แต่ดิฉันไปชิมมาแล้ว ขอบอกว่ากลิ่นของไก่ย่างกระจกเงานี้หอมเหมือนไก่อบ แต่ว่าหนังจะกรอบกว่า เนื้อจะนุ่มกว่า และ เวลาสับกระดูก จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระดูกไก่จะนุ่มแต่แห้งมาก ๆ แทบไม่มีเลือดเลย โดยรวมแล้วไม่น่าเชื่อว่าไก่ที่ย่างจากพลังแสงอาทิตย์นี่อร่อยกว่าย่างจากเตาธรรมดาเสียอีก

แต่ถ้าคุณผู้อ่านคิดจะไปลองทานกันจริงๆก็ต้องดูฤกษ์ดูยามด้วย ฤกษ์ยามที่ว่านี้หมายถึงช่วงเวลาและฤดูกาลค่ะ เพราะถ้าไปผิดเวลาก็อาจไม่ได้ทานน่ะค่ะ สำหรับเวลาที่เหมาะกับการย่างไก่กระจกดีที่สุดมีอยู่ 2 ช่วง ก็คือช่วงเช้า  7.00 น. 10.00 น. และช่วงบ่าย ตั้งแต่ 14.00 น.16.00 น. ทั้งสองช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่แดดทำมุมได้ 45 องศาซึ่งพอดีกับการตั้งจุดโฟกัสของกระจก ทำให้ได้แสงที่ไปตกกระทบกับเป้าหมายที่เป็นเจ้าไก่ย่างได้ดีที่สุด ซึ่งทำให้ได้ความร้อนสูงสุด หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไมไม่ย่างตอนเที่ยง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัด ตรงหัวพอดี สาเหตุก็เพราะตอนเที่ยงนั้น แม้แดดจะร้อนจ้าก็จริง แต่แดดไม่ทำมุมพอดีกับกระจกที่วางไว้ ทำให้แสงไม่ไปตกกระทบกับไก่ เป็นอันย่างไก่ไม่สุก ส่วนถ้าวันไหนออกมาจากบ้านแล้วไม่มีแดดก็อย่าหวังจะได้ทานไก่ย่างร้านคุณศิลา เพราะเขาจะหยุดขายไก่ไปเลยจะได้ทานก็แต่ข้าวแกงอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าไก่ย่างร้านนี้เล่นตัวน่ะค่ะ แต่มันเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าเห็นท่าว่าท้องฟ้าไม่โปร่ง คุณศิลาก็จะไม่ย่างไก่เลย เพราะว่ามันจะไม่มีแดด ถึงมีแดด ก็เป็นแดดที่ไม่ร้อนเต็มที่ย่างไก่ไม่ได้ และที่ร้านก็ไม่ได้มีเตาถ่านเตรียมไว้เสียด้วย ควันจากเตาไฟสร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อมคุณศิลาเขาไม่เอาด้วยจะย่างทั้งทีก็ขอเป็นเตากระจกเท่านั้น ยิ่งช่วงหน้าฝนคงจะต้องหยุดทานกันไปหลายเดือนเพราะย่างไม่ได้ ไม่คุ้ม ถ้าย่างอยู่แล้วฝนตกจะทำให้ไก่ไม่สุกและจะเสียของทันที แต่พอถึงช่วงหน้าหนาวอย่างช่วงนี้ ไก่กระจกจะขายดีที่สุด เพราะสามารถย่างไก่ได้ทั้งวัน ซึ่งก็น่าแปลกที่หน้าหนาวกลับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการขายไก่ของร้านนี้มากที่สุด แดดที่ออก จะทำมุม 45 องศาทั้งวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น สามารถย่างไก่ขายได้ทั้งวัน โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา ยิ่งถ้าวันไหนแดดแรง ยิ่งไม่ต้องห่วงคุณศิลาจะขายดีมาก ปกติจะย่างไม่ต่ำกว่าวันละ 20 ตัว และถ้าเป็นช่วงเทศกาล ลูกค้าจะมาต่อคิวยาวมากจนย่างขายไม่ทัน ไก่ย่างของคุณศิลามีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ เตากระจกพลังแสงอาทิตย์นี้ย่างได้ไม่จำกัด ถ้ายิ่งตัวเล็กก็ยิ่งสุกเร็ว แต่ถ้าตัวใหญ่ประมาณ 2 กก. ก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่จะว่าไปกว่าจะได้ทานไก่ย่างร้านพี่เขาคงจะต้องอาศัยโชคช่วยกันหน่อยเพราะถ้าตั้งใจจะไปทานแต่งตัวออกจากบ้านไปแล้ว แต่อยู่ๆฝนดันตกขึ้นมาล่ะก็คงต้องอด อย่างดิฉันซึ่งขับรถแวะไปที่ร้านมาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่กว่าจะได้ทานก็ครั้งที่ 4 โชคไม่ค่อยดีเท่าไร สงสัยคงจะต้องตั้งฉายาเพิ่มจากไก่ย่างกระจกเงาเป็นไก่ย่างอดทนเสียด้วย

เตาย่างพลังแสงอาทิตย์นี้ไม่ใช่มีประโยชน์แค่เพียงเอาไว้ย่างไก่อย่างเดียวน่ะค่ะ เตานี้ยังสามารถย่างขาหมูได้ด้วย โดยนำขาหมูมาวางไว้ประจำที่จุดเดียวกับไก่และเมื่อย่างขาหมูด้วยเตากระจกนี้เสร็จแล้ว จากนั้นก็เอาไปต้ม ขอบอกว่ารสชาติแตกต่างจากข้าวขาหมูทั่วไปแน่นอน นอกจากนี้คุณศิลายังเคยใช้เตานี้ต้มไข่จำนวนถึง 200 ฟองในหม้อขนาดยักษ์ได้ในครั้งเดียวด้วยเวลาไม่ถึง 5 นาที แต่ทั้งขาหมู และ ต้มไข่ คุณศิลาจะไม่ค่อยได้ทำ ส่วนมากจะย่างแต่ไก่ขายอย่างเดียว

ทุกวันนี้นอกจากจะเป็นเจ้าของร้านอาหารของตัวเองแล้ว คุณศิลายังรู้สึกภูมิใจ ที่ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากหลายหน่วยงาน มีผู้สนใจแวะเวียนมาติดต่อขอดูงานไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นยังมีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นมาขอดูงานด้วย และมีสำนักข่าวของประเทศญี่ปุ่นหลายแห่งสนใจมาทำข่าวไปแล้ว เช่น สำนักข่าว NHK , DND, ไทยมิกาซา , FUJI NEWS

ต้องบอกว่าคุณศิลาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ป.4 อย่างแท้จริง ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4 จริงไหมค่ะ เป็นกำลังใจให้กับคนสู้ชีวิตทุกคนค่ะ ใครมีไอเดียดีๆแบบนี้ เขียนส่งเข้ามาได้ค่ะ ที่หนังสือแปลก บริษัทจินดาสาร ตามที่อยู่ท้ายเล่ม หรือถ้าถนัดใช้เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกรวดเร็วส่งข้อมูลพร้อมรูปถ่ายมาได้ที่ E-mail : [email protected] ถ้าเรื่องของคุณน่าสนใจยินดีนำมาเขียนแนะนำให้ค่ะ หรือจะติชม แนะนำอะไร ก็ส่งเข้ามาได้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านน่ะค่ะ

แถมท้ายด้วยภาพร้านกาแฟพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต่างประเทศค่ะ ร้านนี้มีชื่อว่า “Solar Roast Coffee” เป็นร้านที่มีคอนเซ็ปต์ “นำแสงอาทิตย์มาใส่ในแก้วคุณ” ร้านนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในเมือง Pueblo โคโลราโด อเมริกา กลุ่มคนหนุ่มสาว พร้อมคุณพ่อใจดีท่านหนึ่ง  ได้เปิดร้านกาแฟเล็กๆขึ้น  ด้วยไอเดียที่อยากให้กาแฟมีรสชาติที่เป็นธรรมชาติที่สุด ก็เลยใช้แสงอาทิตย์ในการคั่วกาแฟ แต่ถ้าจะกลับไปใช้วิธีการตากแดดแบบสมัยโบราณ ก็คงไม่ทันจะกิน (ไม่ทันขายด้วย ) ก็เลยใช้แผงโซล่าร์ และใส่ไว้ในโดม เพื่อให้ได้ความร้อนสูงที่ 550 องศาฟาเรนไฮต์  ช่วยกันประดิษฐ์แบบกระเทาะให้เมล็ดกาแฟโดนความร้อนได้ทั่วถึง โดยประยุกต์มาจากเครื่องคั่วกาแฟโบราณ  ประมาณว่าตากวันเดียวก็เป็นอันขายได้ (sunrise to sunset)   ช่วยรักษาเมืองและสิ่งแวดล้อมให้สะอาดไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงใดๆ  ใช้พลังงานสะอาดจาก ธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์  การคั่วกาแฟวิธีนี้ ทำให้ผู้นิยมดื่มกาแฟ สามารถดื่มด่ำกับรสกาแฟคั่วโดยไม่มีกลิ่นเชื้อเพลิงเจือปนและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กาแฟทางร้านก็ปลูกเอง ปลูกโดยไม่ใส่สารเคมี  การคั่วกาแฟแบบนี้ไม่เกิดก๊าซพิษเพราะไม่ต้องใช้น้ำมันหรือถ่านหินซึ่งสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นบ่อเกิดของกรีนเฮ้าส์เอฟเฟกหรือปรากฎการณ์เรือนกระจกนั่นเอง ไอเดียนี้ก็น่าสนใจเผื่อใครจะลองนำมาใช้กับร้านกาแฟที่มีอยู่หลายแห่งในบ้านเราบ้างก็คงดีไม่น้อย ต้องขอบคุณเรื่องราวดีๆนี้จาก Oknation.net ค่ะ

 

 

หมายเลขบันทึก: 239686เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2009 21:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 01:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้าจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอรูปได้มั้ยค่ะ อยากเห็นด้วย

อยากเห็นรูป เอามาลงดิอยากเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท