Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ธรรมใกล้ตัว : ระลึกถึงพระคุณ “ครู”


ขอรำลึกถึงพระคุณ ครู  ที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา  ท่านเมตตา เพียรแสวงหาความรู้และสั่งสอนเราด้วยความเหนื่อยยาก  เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ดี พ้นทุกข์กันทุกคน

พวกเราโชคดีที่เกิดมาได้เรียนรู้ มีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนชี้แนะจากครูผู้ประเสริฐ และได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน  เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณครู  ให้สมกับความเมตตาของท่าน  และเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่าน ในฐานะลูกศิษย์ที่ดีต้องเพียรปฏิบัติตนตามที่ท่านเมตตาอบรมสั่งสอนเรา เพียรปฎิบัติเพื่อเป็นการบูชาพระคุณ "ครู" เหมือนที่ครูของเราบอกไว้บ่อยๆว่า ขยันนะ ขยันภาวนาเข้า..ไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร พยายามเข้า  อย่าขี้เกียจนะ ...

รู้กาย รู้ใจ รู้ปัจจุบัน  ด้วยใจที่เป็นกลาง ....รู้ลูกเดียวเลย

 

ฉบับที่ ๐๖๐ พฤหัสบดีที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๒  จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว

 

แน่นอนว่า ในชีวิตหนึ่ง ๆ เราทุกคนย่อมเคยมี "ครู" กันมาหลายคนนะคะ

ทั้งครูที่อบรมสั่งสอน ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เราในชั้นเรียน

และครูที่อาจผ่านเข้ามาในชีวิตเราอย่างไม่ตั้งใจ

แต่ได้ให้บทเรียนและชี้ทางสว่างให้เราในช่วงสั้น ๆ ช่วงหนึ่งของชีวิต

ครูบางท่านก็ประทับอยู่ในความทรงจำของเราเป็นพิเศษ

แต่ใครก็ตามที่ทำให้เราคลายจากความโง่เขลาลงได้ เจริญขึ้นได้ ดีขึ้นได้

ท่านเหล่านั้น ก็ควรค่าแก่การจดจำและระลึกถึงในฐานะ "ครู" ของเราเสมอ

หากมีโอกาสแสดงความกตัญญูต่อท่านได้ ก็เป็นสิ่งอันพึงกระทำอย่างยิ่งนะคะ

 

แต่คุณผู้อ่านเคยลองคิดไหมคะว่า ถ้าหากเรามีญาณวิเศษ

ที่สามารถเห็นย้อนไปในอดีตกาลอันไกลแสนไกล

สามารถเห็นได้ว่า ในกาลก่อนใครสักคนเคยทำอะไรไว้มากมายแค่ไหน

เราอาจจะยิ่งประหลาดใจกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าได้เห็นและได้รู้ว่า...

 

มีใครคนหนึ่ง เสียสละตัวเองอย่างเหนื่อยยากมหาศาล

เป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายภพหลายชาติร่วม ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัป

ด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่จะฝึกฝน อดทน สั่งสมบารมีให้เต็มพร้อมในทุกด้าน

เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มาเป็นครูผู้รู้แจ้งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก

และสอนวิชาอันเป็นที่สุดของความรู้ทั้งปวง ให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์

โดยไม่เห็นแก่ความทุกข์ที่ตนต้องเผชิญ

เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้น จะได้ไม่ต้องเวียนวนอยู่กับความไม่รู้ชั่วอนันตกาลอีกต่อไป

 

คุณผู้อ่านคงนึกออกแล้วใช่ไหมคะ ใช่แล้วค่ะ บุคคลผู้นั้นก็คือ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็น "บรมครู" ของโลก นั่นเอง _/|\_

 

หันไปมองดูรอบตัว คนเกือบทั้งโลก เกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิตตามครรลองไปวัน ๆ

เราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองสักอย่าง ไม่รู้เกิดมาทำไม ไม่รู้ทำไมต้องเกิดมา

ทำไมถึงเกิดมามีหน้าตา การศึกษา ฐานะ ชาติตระกูล ความเป็นอยู่ แบบนี้

ทำไมชีวิตที่เคยมีความสุขดี ๆ อยู่ ๆ ก็ต้องมาเจอกับความทุกข์จนใจแทบเจียนสลาย

ทำไมต้องแก่ ทำไมต้องป่วย ทำไมต้องจากพราก ตายแล้วจะไปไหน ฯลฯ

 

เมื่อไม่รู้ แต่ละคนก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งเร้าและกิเลสที่ถูกปรุงขึ้นไปวัน ๆ

โดยที่ไม่เคยรู้ความจริงที่แท้ของธรรมชาติเลยว่า

สิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดเป็นบุญ สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษ

มีแต่รับผลดีบ้าง ชั่วบ้าง อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วก็สร้างเหตุแบบเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ

 

ต่างคนต่างก็ดิ้นรนไขว่คว้าหาสิ่งที่คิดว่าเป็นความสุข และอยากให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างใจ

โดยที่ไม่เคยรู้ความจริงที่แท้ของธรรมชาติเลยว่า ที่สุดแล้ว

ทุกสิ่งในโลก แม้แต่กาย แม้แต่ใจของเราเอง ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์

และบังคับไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริงเลยสักอย่างเดียว

 

มืดบอด... ราวกับปราศจากดวงตา

และถูกปล่อยให้เดินคลำอยู่บนทางอันเวิ้งว้างเบื้องหน้าเพียงลำพัง อย่างไร้ทิศทาง

 

การที่วันนี้ เรามีโอกาสได้สดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างในท่ามกลางความมืดมนอนธการ

อันยากจะหาความอบอุ่นสว่างไสวใด ๆ เสมอเหมือนได้ตลอดสังสารวัฏอันยาวนานนี้

 

เพราะความรู้ที่ได้จากการเผยแผ่สั่งสอนของพระพุทธองค์

ไม่เหมือนวิชาความรู้ทางโลกใด ๆ ที่เราเคยเรียนมาตลอดชีวิต

ที่เรียนรู้กันไม่มีวันจบ และไม่สามารถการันตีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริงได้เลย

 

แต่วิชาที่สอนให้รู้จักที่สุดของความจริงอันประเสริฐนี้ เรียนรู้แล้วมีวันจบสิ้น

เป็นวิชาที่จะทำให้เรารู้จักหลุมพราง ทางลัด จุดหมายปลายทาง

ที่ไม่ได้เพียงดึงเราขึ้นมาจากโคลนตมในชีวิตชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

แต่สามารถตัดวงจรความทุกข์ชนิดข้ามภพข้ามชาติให้ขาดเสียได้โดยสิ้นเชิง

 

น่าเสียดาย... ที่วันนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงอยู่ปรากฏกายให้เราเข้าเฝ้า

เพื่อชี้แนะสั่งสอนวิชาแห่งความจริงนั้นได้ด้วยพระองค์เองอีกแล้ว

แต่พระธรรมคำสอนของท่านยังคงอยู่ และจะเป็นครูแทนพระองค์ท่านสืบไป

 

และก็ยังนับเป็นโชคดีของคนในยุคเรา ที่แม้กาลเวลาล่วงเลยมาแล้วสองพันกว่าปี

แต่ก็ยังมีพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ดำรงถ่ายทอดคำสอนนั้น

และเป็นครูบาอาจารย์ที่พร้อมเมตตาชี้แนะสั่งสอนให้แก่ผู้ตั้งใจศึกษาเสมอ

 

ใครโชคดีมีบุญได้เข้าใกล้ ได้ฟังธรรมแท้ ๆ จากครูบาอาจารย์ในยุคนี้

คงนึกภาพออกนะคะ ว่าท่านเมตตาและเสียสละความสบายส่วนตัวเพื่อเราขนาดไหน

ทั้ง ๆ ที่ท่านสามารถเลือกที่จะอยู่เพียงวิเวกของท่านอย่างมีความสุขได้อย่างสบาย ๆ

แต่ท่านกลับเต็มใจที่สละเวลา แรงกาย และแรงใจของท่าน

ออกกล่าวสอน ชี้แนะธรรมะ ชี้ทางควรดำเนิน และทางไม่ควรดำเนิน

ให้แก่ญาติโยมเกือบทุกวัน ๆ ทั้งที่บางครั้งท่านก็เหนื่อย บางครั้งท่านก็เจ็บคอ ฯลฯ

หากนับกิจเพื่อโยมของท่านจริง ๆ แล้ว วันหยุดพักผ่อนทั้งปีของท่าน

บางทีอาจจะเหลือน้อยกว่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ด้วยซ้ำไปนะคะ

 

แต่ท่านก็ยอมเหนื่อย...โดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรตอบแทนส่วนตนเลยแม้แต่น้อย

 

แล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านทำเช่นนั้น เพื่ออะไรหรือ

ท่านยอมเหน็ดเหนื่อยด้วยปรารถนาสิ่งใดจากลูกศิษย์ของท่าน

ดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ การกราบไหว้บูชา ลาภสักการะ…?

 

เชื่อว่าครูบาอาจารย์ที่แท้ ท่านย่อมมีความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนกันนะคะ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ท่านเคยเปรยถึงการมีผู้นำของมาถวายไว้ครั้งหนึ่งค่ะว่า

 

"...ถามว่าปลาบปลื้มอะไรด้วยหรือเปล่า เฉย ๆ นะ

ทุกวันนี้สิ่งที่หลวงพ่อปลาบปลื้มมีอันเดียว

มีลูกศิษย์ที่ปฏิบัติบูชา มีลูกศิษย์ที่ขยันภาวนา

นอกนั้น ไม่ได้ทำให้เราปลื้มเลยสักอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น ขยันนะ ขยันภาวนาเข้า..."

 

การมีลูกศิษย์ที่ขยันปฏิบัติ ดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น

เป็นสิ่งเดียวที่นำความปีติมาให้แก่ครูบาอาจารย์

และปีติเหล่านี้นั่นเอง ที่ทำให้ท่านทั้งหลาย มีกำลังใจที่จะดำรงธาตุขันธ์ต่อไป

 

หากจะมีสิ่งใดที่ศิษย์ผู้ยังโง่เขลาอย่างเรา

จะตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ และเมตตาอันไม่มีประมาณของครูบาอาจารย์ได้

ก็ไม่มีอะไรประเสริฐไปกว่า การปฏิบัติบูชา ถวายแด่ครูบาอาจารย์ท่านอีกแล้วนะคะ

 

"ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อให้ดีนะ ไม่ใช่ปฏิบัติเอาสุข ไม่ใช่ปฏิบัติเอาสงบ

ปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า  เพื่อบูชาครูบาอาจารย์ ท่านอุตส่าห์สอนเรานะ

ตั้งใจไว้แค่นี้ ทุกวันก็ปฏิบัติบูชาไปเรื่อย ๆ

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีความเพียร

เราบูชาท่าน เราก็มีความเพียร ทำตามที่ท่านสอน เป็นการบูชาคำสอนของท่าน"

 

ตลอดการเวียนเกิดเวียนตายอันยาวนานแสนนาน

อาจมีนาทีทองสักเพียงช่วงเดียวในสังสารวัฏนะคะ ที่เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

และมีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนชี้แนะจากครูผู้ประเสริฐ เช่นที่เราได้พบกันในชาตินี้

 

เนื่องในโอกาสวันครูในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงอยากขอชักชวนคุณผู้อ่าน

ให้พึงรำลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของโลก

พร้อมทั้งพระคุณและความเมตตาอันบริสุทธิ์ของครูบาอาจารย์

 

หากมีสิ่งใดที่เราจะพึงทำเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของท่านได้

ก็อยากเชิญชวนทุกท่าน เริ่มต้นปฏิบัติบูชาในวันนี้ และในทุก ๆ วัน

เพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชา และเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของท่านกันนะคะ _/|\_

 

สุดท้ายนี้ อยากขอฝากบทกลอนบทหนึ่ง ที่คุณดังตฤณได้แต่งไว้ตั้งแต่เมื่อปี ๒๕๔๓

เพื่อส่งท้ายและร่วมรำลึกถึงพระคุณของบรมครูของพวกเราทุกคนค่ะ  _/|\_

 

ถ้าจะเทียบก็เปรียบแสงมาส่องเกล้า
ติดคุกแคบแอบมุ่นด้วยคุ้นเคย

ไสวราวเอาฟ้ามาเปิดเผย
ก็สุดเอ่ยเฉลยคำเมื่อธรรมมา

เหมือนบ้าใบ้ไร้ตามาก่อนเก่า
กองขยะคุ้ยสิ้นด้วยชินชา

วันวันเศร้าเฝ้าออกแรงแสวงหา
ทั้งโรยล้าหน้าหม่นก็ทนไป

พระเอาตามาประทานแก่คนบอด
พระปรานีที่สุดนี้มีเกินใคร

รักษารอดตลอดสายจนหายไข้
จะจดจำพระองค์ไว้ไม่ลืมเลือน

พนมปั้นอัญชลีนี้พอหรือ
พระคุณใหญ่ต่อให้คืนเป็นดาวเดือน

สองมือไหว้ช่างง่ายดายอะไรเหมือน
เสมอเลื่อนหนี้สินด้วยดินดาน

ถ้าร้อนใจใคร่บูชาตถาคต
เข้าจับใจให้รู้ดูนานนาน

พระสั่งสอนให้สลดในสังขาร
กระทั่งผลาญอุปาทานจนลาญเรียง

จึงเอาใจใสแล้วเป็นแก้วเก้า
พระสอนมาข้านี้มีพอเพียง

มาขานกล่าวบูชาให้เต็มเสียง
จะลำเลียงถวายองค์พระทรงธรรม

 

               (ประพันธ์โดย: คุณดังตฤณ)

http://dungtrin.com/mag/?60.editor

 

หมายเลขบันทึก: 237641เขียนเมื่อ 26 มกราคม 2009 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 04:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท