พระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. ๒๕๔๑
--------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
เป็นปีที่ ๕๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า
ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่า
ด้วยการออกเสียงประชามติ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า “ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๔๑ ”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
“ ผู้มีสิทธิออกเสียง ” หมายความว่า
ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
“ หน่วยออกเสียง ” หมายความว่า
ท้องถิ่นที่กำหนดให้ทำการลงคะแนนออกเสียงประชามติ
“
ที่ออกเสียง ” หมายความว่า
สถานที่ที่กำหนดให้ทำการลงคะแนนออกเสียงประชามติ
“
จังหวัด ” หมายความรวมถึง กรุงเทพมหานคร
“
อำเภอ ” หมายความรวมถึง กิ่งอำเภอและเขต
“ เทศบาล ” หมายความรวมถึง เมืองพัทยา
มาตรา ๔
ในกรณีที่จะดำเนินการจัดทำประชามติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ให้มีการออกประกาศของนายกรัฐมนตรีใน
ราชกิจจานุเบกษา โดยจะต้องมีรายละเอียด ดังนี้
• กำหนดวันออกเสียงประชามติ
• กำหนดเรื่องในการจัดทำประชามติ
ซึ่งจะต้องมีข้อความชัดเจนเพียงพอที่จะขอคำปรึกษาจากผู้มีสิทธิออกเสียงว่าจะลงคะแนนเห็นชอบหรือไม่เห็น
ชอบในเรื่องที่จัดทำประชามติ
มาตรา ๕
เมื่อมีประกาศของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๔
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระและเท่าเทียมกันทั้งผู้ที่เห็นชอบ
และไม่เห็นชอบในเรื่องที่จัดทำประชามติ
รวมทั้งจัดให้มีการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่จัดทำประชามติเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทราบในการดำเนินการตามวรรค
หนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๖
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงของแต่ละจังหวัดและปิดประกาศบัญชีรายชื่อดังกล่าว
พร้อมทั้งประกาศของนายก
รัฐมนตรีตามมาตรา ๔ ไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ
สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
เขตชุมชนหนาแน่นที่เห็น
สมควร
และที่ออกเสียงหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่ออกเสียงไม่น้อยกว่ายี่สิบวันก่อนวันออกเสียงประชามติ
ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการขอเพิ่มชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งและ
การถอนชื่อผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และสมาชิกวุฒิสภามาใช้บังคับการเพิ่มชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
และการถอนชื่อผู้ไม่มีสิทธิออกเสียงโดยอนุโลม
ทั้งนี้โดยให้ยื่นคำร้องของเพิ่มชื่อ
หรือถอนชื่อต่อบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้ง
มาตรา ๗
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหน่วยออกเสียงที่จะพึงมีในแต่ละจังหวัดและกำหนดที่ออกเสียงของหน่วยออกเสียงนั้น
ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงจำนวน
ของผู้มีสิทธิออกเสียงในแต่ละหน่วยออกเสียงและความสะดวกในการเดินทางไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติ
และประกาศให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทราบไม่น้อยกว่ายี่สิบวัน
ก่อนวันออกเสียงประชามติ
ในกรณีจำเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งอาจเปลี่ยนแปลงที่ออกเสียงตามประกาศในวรรคหนึ่งเป็นสถานที่อื่นตามที่เห็นเหมาะสมก็ได้
โดยต้องประกาศการเปลี่ยนแปลงที่ออกเสียงให้ทราบก่อนวันออกเสียงประชามติไม่น้อยกว่าห้าวัน
เว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินจะประกาศการเปลี่ยนแปลงที่ออกเสียงน้อย
กว่าระยะเวลาดังกล่าวก็ได้
มาตรา ๘
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลหนึ่งหรือหลายคนเพื่อทำหน้าที่อำนวยการหรือกำกับดูแลการออกเสียงประชามติในแต่ละจังหวัดได้
ตามที่เห็นสมควร
มาตรา ๙
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งคณะกรรมการประจำที่ออกเสียงแต่ละแห่งไม่น้อยกว่าห้าคน
เพื่อทำหน้าที่ดำเนินการและรักษาความเรียบร้อยใน
การลงคะแนนเพื่ออกเสียงประชามติและการนับคะแนนในที่ออกเสียงนั้นการแต่งตั้งกรรมการประจำที่ออกเสียง
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งผู้มีสิทธิออกเสียง
ในหน่วยออกเสียงนั้นเป็นประธานกรรมการหนึ่งคน
และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสี่คน
ถ้าในวันออกเสียงประชามติมีกรรมการประจำที่ออกเสียงมาปฏิบัติหน้าที่ไม
่ถึงห้าคน
ให้กรรมการที่เหลืออยู่แต่งตั้งผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยออกเนียงนั้นเป็นกรรมการประจำที่ออกเสียงจนครบห้าคน
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่มาปฏิบัติ
หน้าที่หรือไม่อยู่ในที่ออกเสียง
หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการแทนหรือปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าประธาน
กรรมการจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๐
ให้กรรมการประจำที่ออกเสียงมีหน้าที่ดำเนินการและรักษาความเรียบร้อยในที่ออกเสียง
และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้
ในกรณีผู้ใดขัดขวางการออกเสียงประชามติ
ให้กรรมการประจำที่ออกเสียงมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นออกไปจากที่ออกเสียงได้
แต่ต้องไม่ขัดขวางต่อการที่
ี่ผู้มีสิทธิออกเสียงจะใช้สิทธิออกเสียง
มาตรา ๑๑
นอกจากที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลซึ่ง
ได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๘ และคณะกรรมการประจำที่ออกเสียงได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัคิประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้บุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา
๘
และกรรมการประจำที่ออกเสียงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ค่าตอบแทนของบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๘
และกรรมการประจำที่ออกเสียงให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๒
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีหีบบัตรออกเสียงประชามติและบัตรออกเสียงประชามติ
โดยมีลักษณะที่เหมาะสมและอำนวยความสะดวกแ่ก่
่ผู้มีสิทธิออกเสียง
ลักษณะและขนาดของบัตรออกเสียงประชามติและวิธีการลงคะแนนในบัตรออกเสียงประชามติให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศ
กำหนดราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓ ในวันออกเสียงประชามติ ให้เปิดการลงคะแนนออกเสียงประชามติตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกาถึงเวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา
มาตรา ๑๔
ผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงในที่ออกเสียงใดให้ออกเสียงประชามติ
ณ ที่ออกเสียงนั้นให้ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
ออกเสียงประชามติในที่ออกเสียงที่ตนมีสิทธิได้เพียงแห่งเดียว
มาตรา ๑๕
ก่อนเริ่มเปิดให้มีการออกเสียง
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเนียงนับจำนวนบัตรอออกเสียงประชามติทั้งหมดของหน่วยออกเสียงนั้น
และปิด
ประกาศจำนวนบัตรทั้งหมดในที่ออกเสียงไว้ในที่เปิดเผย
และเมื่อถึงเวลาเปิดการลงคะแนนให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงเปิดหีบบัตรออกเสียงประชามต
ิในที่เปิดเผยแสดงให้ผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งอยู่ ณ
ที่ออกเสียงนั้นเห็นว่าเป็นหีบเปล่า
และให้ปิดหีบบัตรออกเสียงประชามติตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
แล้วให้ทำการบันทึกการดำเนินการดังกล่าว
โดยให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่น้อยกว่าสองคนซึ่งอยู่ในที่ออกเสียงในขณะนั้นลงลายมือชื่อในบันทึกนั้นด้วย
เว้นแต่ไม่มี
ผู้มีสิทธิออกเสียงอยู่ในขณะนั้น
มาตรา ๑๖
ในระหว่างเวลาเปิดการลงคะแนน
ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งประสงค์จะลงคะแนนไปแสดงตนต่อกรรมการประจำที่ออกเสียง
โดยแสดงบัตรประจำตัว
ประชาชน หรือ
หลักฐานอื่นใดตามที่กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
เมื่อคณะกรรมการประจำที่ออกเสียงตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงแล้วให้อ่านชื่อและที่อยู่ของผู้นั้นดัง
ๆ ถ้าไม่มีผู้ใดทักท้วง ให้หมายเหตุไว้ใน
บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงโดยให้จดหมายเลขบัตรและสถานที่ออกบัตร
และให้ผู้มีสิทธิออกเสียงลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเป็น
หลักฐานตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
แล้วให้กรรมการประจำที่ออกเสียงมอบบัตรออกเสียงประชามติให้แก่ผู้นั้นเพื่อไปลงคะแนน
ในกรณีที่มีผู้ทักท้วงหรือกรรมการประจำที่ออกเสียงสงสัยว้าผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งมาแสดงตนนั้นไม่ใช่เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงมีอำนาจสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้ถูกทักท้วง
หรือผู้ถูสงสัยเป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้ออกเสียงหรือไม่
และในกรณีที่
คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงวินิจฉัยว่าผู้ถูกทักท้วงหรือผู้ถูกสงสัยไม่ใช่เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงทำบันทึก
คำวินิจฉัย และลงลายมือชื่อไว้ด้วย
และให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการประจำที่ออกเสียงนั้น
มาตรา
๑๗ เมื่อถึงกำหนดเวลาปิดการลงคะแนนออกเสียงประชามติ
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงประกาศปิดการลงคะแนนและงดจ่ายบัตรออกเสียง
ประชามติและให้ทำเครื่องหมายในบัตรที่เหลืออยู่ให้เป็นบัตรที่ใช้ลงคะแนนไม่ได้ตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
และจัดทำรายงานเกี่ยวกับจำนวน
บัตรออกเสียงประชามติทั้งหมด
จำนวนผู้มาแสดงตนและรับบัตรออกเสียงประชามติและจำนวนบัตรที่เหลือ
โดยให้กรรมการประจำที่ออกเสียงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใน
ขณะนั้นทุกคนลงลายมือชื่อไว้และประกาศให้ผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งอยู่ที่นั้นทราบ
มาตรา
๑๘ เมื่อปิดการออกเสียงประชามติแล้ว
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงแต่ละแห่งนับคะแนน ณ ที่ออกเสียงนั้น
โดยเปิดเผยจนแล้วสร็จ
วิธีการนับคะแนน ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๙
บัตรออกเสียงประชามติดังต่อไปนี้ ให้ถือเป็นบัตรเสีย
• บัตรปลอม
•
บัตรที่มิได้ทำเครื่องหมายลงคะแนน
•
บัตรที่ไม่อาจทราบได้ว่าลงคะแนนในทางใด
•
บัตรที่มีลักษณะตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดว่าเป็นบัตรเสีย
ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงสลักหลังในบัตรที่มีลักษณะตามวรรคหนึ่งว่า
“ เสีย ” พร้อมทั้งระบุเหตุผลว่าเป็นบัตรเสียตามอนุมาตราใด แล้ว
ลงลายมือชื่อกำกับไว้ไม่น้อยกว่าสามคน
และห้ามมิให้นับบัตรเสียเป็นคะแนน
มาตรา ๒๐ เมื่อนับคะแนนเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการประจำที่ออกเสียงนำบัตรออกเสียงประชามติของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมดใส่ไว้ในหีบบัตรออกเสียงประชามติ พร้อมทั้งรายงานผลการนับคะแนนแล้วปิดหีบบัตรจัดส่งไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตาวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๒๑
ในการดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้สิทธิ
ออกเสียงประชามติของผู้มีสิทธิซึ่งอยู่นอกเขตจังหวัดที่ตนมีชื่อยู่ในทะเบียนบ้าน
หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเป็นเวลาน้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันออกเสียงประชามติ
หรือผู้ที่อยู่นอราชอาณาจักร รวมทั้งวิธีการนับคะแนน
และแจ้งผลคะแนนการออกเสียงประชามติในกรณีดังกล่าวด้วย
มาตรา ๒๒
เมื่อได้ผลการนับคะแนนออกเสียงประชามติจากที่ออกเสียงทุกแห่งแล้ว
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการออกเสียงประชามติและจำนวน
ผู้มาใช้สิทธิออกเสียง แล้วแจ้งผลไปยังนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
มาตรา ๒๓
เมื่อมีการประกาศผลการออกเสียงประชามติแล้ว
ถ้าผู้มีสิทธิออกเสียงผู้ใดเห็นว่าการออกเสียงประชามติในหน่วยออกเสียงใดเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง
หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านพร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่าการออกเสียงประชามตินั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ภายในสามสิบวันนับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ
มาตรา ๒๔
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน
ถ้าเห็นว่าการออกเสียง
ประชามติในหน่วยออกเสียงใดไม่ถูกต้องหรือมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ให้มีคำสั่งให้ดำเนินการออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยออกเสียงนั้น
เว้นแต่
การออกเสียงประชามติใหม่จะไม่ทำให้ผลการออกเสียงประชามติเปลี่ยนแปลงไปให้มีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านนั้นเสีย
วิธีพิจารณาการคัดค้านการออกเสียงประชามติ
ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา
๒๕ ผู้บังคับบัญชา
หรือนายจ้างผู้ใดขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวหรือไม่ให้ความสะดวกพอสมควรต่อการไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติของผู้ใต้บังคับบัญชา
หรือลูกจ้างแล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๖
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการประจำที่ออกเสียงตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๗
ผู้ใดกระทำการในระหว่างการออกเสียงประชามติ ดังต่อไปนี้
• ออกเสียงประชามติหรือพยายามออกเสียงประชามติ
โดยมิใช่เป็นผู้มีสิทธิออกเสียง
•
ใช้บัตรอื่นที่มิใช่บัตรออกเสียงประชามติตามมาตรา ๑๒
มาออกเสียงประชามติ
•
นำบัตรออกเสียงประชามติออกไปจากที่ออกเสียง
•
ทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตโดยวิธีใดไว้ที่บัตรออกเสียงประชามติ
•
จงใจกระทำการด้วยประการใด ๆ ให้บัตรออกเสียงประชามติชำรุด หรือเสียหาย
หรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำการด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเสีย
ให้เป็นบัตรที่ใช้ได้
•
นำบัตรออกเสียงประชามติใส่ในหีบบัตรออกเสียงประชามติโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรือกระทำการใดในบัญชีรายชื่อ
ผู้มีสิทธิออกเสียง
เพื่อแสดงว่ามีผู้มาแสดงตนเพื่อลงคะแนนออกเสียงโดยผิดไปจากความจริง
หรือกระทำการใดอันเป็นเหตุให้มีบัตรออกเสียง
ประชามติเพิ่มขึ้นจากความจริง
•
กระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อมิให้ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถใช้สิทธิได้หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไป
ณ
ที่ออกเสียงหรือเข้าไป ณ ที่ออกเสียง หรือมิให้ไปถึง ณ
ที่ดังกล่าวภายในกำหนดเวลาที่จะออกเสียงประชามติ
•
ให้เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้
หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
เพื่อจะจูงใจให้
ผู้มีสิทธิออกเสียงนั้นออกเสียงประชามติอย่างใดอย่างหนึ่งหรืองดออกเสียงประชามติ
•
เรียกทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเพื่อจะลงคะแนนออกเสียงประชามติ
หรืองดเว้นไม่ลงคะแนนออกเสียงประชามติ
•
ก่อความวุ่นวายขึ้นในที่ออกเสียง หรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวน
หรือเป็นอุปสรรคแก่การออกเสียงประชามติ
•
เปิด ทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เปลี่ยนสภาพ ทำให้สูญหาย
ทำให้ไร้ประโยชน์
หรือนำไปซึ่งหีบบัตรออกเสียงประชามติหรือบัตรออกเสียงประชามติ
เว้นแต่เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๒๘
กรรมการประจำที่ออกเสียงผู้ใดจงใจนับบัตรออกเสียงประชามติหรือคะแนนในการออกเสียงประชามติให้ผิดไปจากความจริง
หรือรวมคะแนนให้ผิดไป
หรือกระทำด้วยประการใด ๆ
โดยมิได้มีอำนาจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายให้บัตรออกเสียงประชามติชำรุดหรือเสียหาย
หรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำการ
ด้วยประการใด ๆ
แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้หรืออ่านบัตรออกเสียงประชามติให้ผิดไปจากความจริงหรือทำรายงานการออกเสียงประชามติไม่ตรงความเป็นจริง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๒๙ ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งรักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี