จากบทความของท่านอาจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ในฐานะผู้ฟ้องคดี คงแทบไม่เหลืออะไรที่จะให้ข้อพิจารณาเพิ่มเติมอีก เพราะท่านเป็นอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ความรู้ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อให้ผู้เขียน (ที่นำเสนอข่าวมาเล่าสู่กันฟังในตอนที่แล้ว) ได้รู้สึกว่าทำงานค้นคว้ามาบ้าง จึงขอให้เป็นข้อสังเกตเพิ่มเติมสำหรับความพิเศษของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ดังนี้
1. อำนาจศาล คดีผู้บริโภคยังอยู่ในอำนาจศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั่วไป ไม่มีการจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นใหม่
2. คดีแพ่ง พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น จะนำไปใช้กับคดีอาญาไม่ได้ แม้ว่าคดีอาญานั้นจะมีข้อพิพาทส่วนแพ่งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการบริโภคสินค้าหรือบริการอยู่ด้วย
3. ผู้วินิจฉัยว่าเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ กรณีมีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด ตามมาตรา 8
4. เขตอำนาจศาล ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภค ตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้เพียงแห่งเดียว ในขณะที่ผู้บริโภคก็ยังคงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลย (ผู้ประกอบการ) มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้เช่นเดิม
5. ผู้บริโภค ผู้บริโภคตามพระราชบัญญัตินี้ กำหนดไว้ใน มาตรา 3 “ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้เสียหายตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย”
เมื่อพิจารณา พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ซึ่งให้คำนิยามว่า
"ผู้บริโภค" หมายความว่า ผู้ซื้อหรือได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
6. ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค กฎหมายไม่ได้นิยามไว้ ซึ่ง
ท่านชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “คำอธิบายพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค พ.ศ. 2551” ว่า “เป็นที่เข้าใจได้ว่าจะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้บุคคลนั้นมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4 ฉบับ คือ มาตรา 19 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 ซึ่งโดยสรุปแล้ว ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคมีด้วยกัน 3 องค์กร คือ
ก. คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
ข. สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
ค. มูลนิธิที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
7. การฟ้องคดีโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้บริโภคมีสิทธิฟ้องคดีโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ได้ทำนิติกรรมตามแบบที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 10
8. อายุความ ก็ขยายขึ้นสำหรับกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภคหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย ตามมาตรา 13
9. อายุความสะดุดหยุดลง ถ้ามีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหายที่พึงจ่ายระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค ให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ไม่นับในระหว่างนั้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้บอกเลิกการเจรจา ตามมาตรา 14
10. ยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ในการดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงให้แก่ผู้บริโภค ไม่ว่าผู้บริโภคจะอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ จำเลย หรือผู้ร้องสอด แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด ตามมาตรา 18 ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลอาจจะสั่งให้ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภครับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้เสียไปได้เหมือนกัน
11. อำนาจศาลในการวินิจฉัยเกินคำขอบังคับ ศาลมีอำนาจที่จะวินิจฉัยหรือกำหนดวิธีการบังคับเกินกว่าคำขอบังคับของโจทก์ได้ ตามมาตรา 39
“ในคดีที่ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคเป็นโจทก์ ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ถูกต้องหรือวิธีการบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขเยียวยาความเสียหายตามฟ้อง ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องหรือกำหนดวิธีการบังคับให้เหมาะสมได้ แม้จะเกินกว่าที่ปรากฏในคำขอบังคับของโจทก์ก็ตาม แต่ข้อที่ศาลยกขึ้นวินิจฉัยนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่คู่ความยกขึ้นมาว่ากล่าวกันแล้วโดยชอบ”
ในความเป็นจริง ยังมีความพิเศษของพระราชบัญญัติฉบับนี้ อีกทั้งรายละเอียดเพิ่มเติมอีกมากมาย หากท่านผู้รู้ท่านใดประสงค์จะเพิ่มเติมข้อมูล และแลกเปลี่ยนเป็นความรู้
เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป (อย่างเรา ๆ ) ก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง
ผู้เขียนเพียงนำเสนอในเบื้องต้นเท่าที่อ่านกฎหมายฉบับนี้ ประกอบกับคำอธิบาย
พระราชบัญญัติฉบับนี้โดยท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ดังได้กล่าว
มาแล้ว และเห็นว่ามีประโยชน์ใกล้ตัวกับเราในฐานะเป็นผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ และบาง
ท่านเป็นผู้ประกอบการก็ควรที่จะทราบไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อการเตรียมพร้อมกับการ
เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันมิให้ตกเป็นจำเลยเพราะ
ความไม่รู้เท่าทัน "กฎหมายวันนี้"
จึงหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อย
มองย้อนไปก่อนกฎหมายนี้ออกมา ผู้บริโภคเสียเปรียบมากเลย
ดีจัง มีกฎหมายใหม่ จะได้ไม่ต้องทุบรถโชว์กันอีก
ตามมาเรียนรู้คะ
ต้องขอขอบคุณแทนผุ้บริโภค และพวกเราทุกคนนะคะ
สวัสดีครับ
เพิ่มเติม "พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ฉบับนี้ยังบัญญัติให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดค่าเสียหายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทนจากผู้ประกอบที่กระทำไม่สุจริตมากยิ่งขึ้น โดยแม้ว่าผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้บริโภคจะเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนน้อย แต่หากศาลเห็นว่าความเสียหายนั้นน้อยเกินไปและผู้ประกอบการกระทำไม่สุจริตศาลสามารถกำหนดค่าเสียหายเพิ่มขึ้นอีกได้ ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายที่เกินกว่าความเป็นจริงนั้นถือได้ว่ามีความแตกต่างไปจากหลักกฎหมายทั่วไปในระบบประมวลเรื่องค่าเสียหาย ซึ่งโดยหลักศาลจะกำหนดให้ได้ตามความเสียหายที่แท้จริงเท่านั้น ทำให้เห็นได้ว่า หลักเกณฑ์ของการกำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ฉบับนี้นั้นได้มีพัฒนาการแนวความคิดของการกำหนดค่าเสียหายในทางแพ่งในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะลงโทษหรือยับยั้งป้องปรามจำเลยซึ่งลักษณะคล้ายกับการลงโทษในทางอาญา ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีอยู่ในกฎหมายของประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี (common law) และพระราช บัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 มาตรา 13 (3) พระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 มาตรา 11 โดยได้นำเอาหลักเกณฑ์การกำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษมาบัญญัติไว้เช่นเดียวกัน"
ขอบพระคุณมากค่ะ ท่านอาจารย์ ดร. เมธี สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านค่ะ