ปีใหม่ใกล้เข้ามา ปีเก่ากำลังจะลาไป เป็นยังไงบ้างค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง สุขหรือทุกข์มากกว่ากันค่ะ ลองทบทวนชีวิตตัวเองก่อนก้าวเข้าสู่ปีใหม่สักนิด เรียนรู้ความสำเร็จ พร้อมยอมรับความผิดพลาด ไม่มีคำว่าสายค่ะ สำหรับคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง
เพื่อนๆคนไหน ยังลังเลสงสัยอยู่ ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ ขอให้ปีใหม่นี้ เป็นปีเริ่มต้นแห่งการ “รู้” นะคะ รู้ตัว คือ รู้กาย รู้ใจ รู้ปัจจุบัน ด้วยใจที่เป็นกลางนะคะ
ขออวยพรให้เพื่อนๆ ทุกคน “รู้” ตัวเองมากขึ้นทุกวันนะคะ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรอดเร็วค่ะ
ดูแล้ว รู้ไหมค่ะว่า ตอนนี้เพื่อนๆ กำลังมีความสุขหรือความทุกข์กับชีวิตกันแน่ ?
ฉบับที่ ๐๕๗ พฤหัสบดีที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
สวัสดีค่ะ ธันวาคมแล้ว... เผลอแผล็บเดียว
เราก็ก้าวย่างเข้ามาสู่เดือน ๑๒ เดือนสุดท้ายของปีกันแล้วนะคะ
และจุดที่กาลเวลาเดินมาบรรจบครบขวบปีครั้งหนึ่ง
ก็มักเป็นจุดที่ทำให้ใครหลายคน นึกทบทวนถึงภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่ไหลผ่านเข้ามาในชีวิตเมื่อวันวานกันขึ้นมาอีกครั้ง
หันมามองชีวิตตัวเองในช่วงสามร้อยหกสิบกว่าวันที่ผ่านมาจนถึงวันนี้...
มีทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความสุขใจ ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวพันกับบุคคลต่าง ๆ
ได้ร่วมกิจการงานบุญ ได้เที่ยวกับครอบครัว ได้คุยสนุกกับเพื่อน ได้ของชิ้นใหม่ ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ก็ยังจำได้ถึงน้ำตา เสียงสะอื้นไห้ ความเศร้า ความเสียใจ ที่ประดังประเด
ผ่านเหตุการณ์ความทุกข์อันเป็นเสมือนมรสุมใหญ่ ที่ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตบ่อยนัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นความสุข หรือความทุกข์
เมื่อยืนทบทวนอยู่ตรงจุดอันเป็นปัจจุบันวันนี้
ก็พบว่าทั้งสุขและทุกข์นั้น ต่างก็เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ
มันต่างก็ผ่านเข้ามาชั่วคราว อยู่ตรงนั้นชั่วคราว แล้วมันก็จะผ่านไป
ผ่านมา ผ่านไป... ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...
ทุกอย่างล้วนเป็นเหมือนภาพความฝัน
ที่เคยเห็นจริงเห็นจังราวกับมีตัวมีตนให้หยิบจับสัมผัส และยึดถือเอาไว้ได้นั้น
ครั้นก้มหน้าแบมือลงดูวันนี้ ก็กลับมีแต่ความว่างเปล่า
คว้าอะไรเป็นแก่นสารสาระไว้ไม่ได้จริงสักอย่างเดียว
แต่แม้รู้อย่างนี้แล้ว เราต่างก็ยังมืดบอด
ยังคงวิ่งไล่คว้าหาความสุข ดิ้นรนหนีความทุกข์
อยู่กับภาพลวงตาแบบนี้กันอยู่ตลอดชีวิต
ความสุข... มีแต่คนอยากได้ แต่มันก็มักจะสั้นเกินไปเสมอ
ความทุกข์... ไม่มีใครอยากได้ และแม้จะเกิดขึ้นสั้นเพียงใด
ก็มักจะดูยาวนานเกินไปเสมอ
แต่แม้ความทุกข์จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้
และไม่เคยมีใครหลีกหนีมันพ้น
แต่โดยส่วนตัว วันนี้ก็รู้สึก "ขอบคุณความทุกข์" ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ในอาการดิ้นรนเต็มกำลังของใจ ในสภาวะที่อึดอัดคับข้องเต็มที่นั้น
ถึงจุดหนึ่ง ใจมันกลับยอมศิโรราบให้กับกฎของเหตุและผลของธรรมชาติ
ได้เห็นถึงความจริง ว่าเราไม่มีอำนาจบังคับสิ่งใด ๆ ในโลก แม้แต่ใจของเราเอง
ได้เห็นและเข้าใจตามถึงความจริงอย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนว่า
ยิ่งดิ้นรนหาความสุข ยิ่งไม่มีความสุข
ยิ่งดิ้นรนหาความสุข ยิ่งได้ความทุกข์
แต่ถ้ารู้ทุกข์ไปด้วยใจเป็นกลาง จนหมดความดิ้นรน
ความสุขจะเกิดขึ้นเอง
นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริงของธรรมชาติ
แบบฝึกหัดที่ยาก มักจะทำให้เราต้องอดทนและพากเพียรมากขึ้น
แต่เมื่อผ่านบททดสอบนั้นไปได้ ประสบการณ์นั้นก็มักทำให้เราเติบโตขึ้นเสมอนะคะ
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว
ปีที่ผ่านมา แม้จะเป็นปีที่ทุกข์ร้าย ๆ ผ่านมาเยี่ยมเยือน
แต่ก็กลับเหมือนเป็นอีกปีหนึ่งของจุดเปลี่ยน ที่ทำให้รู้จัก "ความสุข" มากขึ้นด้วย : )
แปลกดีนะคะ... ยิ่งเรา "รู้ทุกข์" มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเป็นอิสระจากทุกข์มากเท่านั้น
อีกไม่นาน สิ้นปีนี้ก็กำลังจะผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี
ใครที่มีเวลา ก็ลองทบทวนชีวิตตัวเองดูกันสักนิดนะคะ
ว่าเราได้ใช้ ๓๖๖ วันที่ผ่านมา
ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่ศักยภาพของมนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีแล้วหรือยัง
ความสุขแบบไหน เป็นความสุขแบบภาพลวงตา
ความสุขแบบไหน เป็นความสุขที่แท้จริง
และเรา... กำลังเดินก้าวเท้าเข้าหาและเริงร่ากับความสุขแบบไหนอยู่กันแน่?
ชีวิตหนึ่ง ๆ ไม่ได้ยาวนานอย่างที่เราคิดหรอกนะคะ
วันนี้ วันพรุ่ง จะล้มหมอนนอนเสื่อ หรือลงโลงเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ได้
ปีหน้าเราจะยังได้ฉลองปีใหม่กับเขาอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ในขณะที่โลกของเราก็วิกฤติและเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน ทุกวัน
ถ้าวันนี้ คุณผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้สดับตรับฟังคำสอน
และรู้จักเส้นทางอันเป็นทางลัดสู่ทางพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าแล้ว
อย่ามัวเดินเล่นกันอยู่เลยนะคะ
เร่งตักตวงโอกาสในชีวิตนี้
ของการเกิดเป็นมนุษย์ ผู้พบพุทธศาสนา และศรัทธาในคำสอน
พาตัวเองให้เดินเข้าใกล้ "ความสุขที่แท้จริง" ที่สุดเท่าที่จะทำได้
ศึกษาหลักให้เข้าใจ เป็นผู้หนักแน่นในเส้นทาง
และอย่าสักแต่ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรม แต่เอาเข้าจริงแล้วทำเรื่อย ๆ แบบลอยชาย
ลองเหลือบตาดูเข็มทิศกับหลักกิโลข้างทางไปด้วยเป็นระยะ
ว่าเรายังเดินถูกทางอยู่หรือไม่ และวันนี้เรามาได้ถึงไหนแล้ว
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ท่านเคยตั้งคำถามเป็นแนวทางไว้ให้ผู้ฝึกปฏิบัติเจริญภาวนาทั้งหลาย
ได้ใช้ลองตอบตัวเองกันดูเป็นระยะอยู่นะคะว่า
สามเดือนที่แล้ว กับสามเดือนนี้ เรามีพัฒนาการอะไรบ้าง?
ดีขึ้นตรงไหน เพราะอะไร - แย่ลงตรงไหน เพราะอะไร
ท่านตั้งคำถามให้เราได้ลองตอบเพื่อตรวจสอบตัวเอง
อาจจะเป็นเพียงพัฒนาการเล็ก ๆ เช่น รักษาศีลได้ดีขึ้น จิตใจมีกำลังขึ้น
มีความพอใจในการปฏิบัติมากขึ้น รู้ตัวได้บ่อยขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หรือแม้แต่มีความเข้าใจธรรมะมากขึ้น
หรือฝึก ๆ ไป ปฏิบัติไปแล้ว อาจจะรู้สึกว่ากลับแย่ลงก็ได้ ก็ไม่เป็นไร
ขอแค่ให้รู้ตามจริง และรู้ว่าเพราะอะไร เท่านั้นเอง
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเองทุกคนนะคะ
หากเราฝึกเจริญภาวนาอย่างใส่ใจ อย่างต่อเนื่อง และอย่างไม่ทอดธุระเสียแล้ว
เราย่อมเห็นพัฒนาการที่สัมผัสได้ถึงจิตถึงใจ ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
ไม่ว่าปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ คุณผู้อ่านจะสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน
อย่างน้อยก็ขอให้สุขและทุกข์ที่ผ่านมากับปีที่กำลังจะจากไปนี้
ได้เป็นเครื่องเตือนสติเราอีกครั้งหนึ่งนะคะว่า
ความสุขหายวับไปได้ทุกเมื่อ
ความทุกข์วิ่งปุบปับมาหาเราได้ทุกเมื่อ
และความเสื่อม กับความตาย ก็รอเราอยู่ข้างหน้าทุกเมื่อเช่นกัน
ขอเพียง "อย่าประมาท" กับวันนี้ และวันพรุ่งนี้
เพราะกิเลสไม่เคยปราณีใคร และวิบากแห่งกรรมก็ยุติธรรมเสมอ
หาที่พี่งที่แท้จริงให้ตัวเองไว้เสียแต่วันนี้เถิดนะคะ
ก่อนที่วันหน้าจะไม่มีแม้แต่เงาของพระพุทธเจ้าให้เราเดินตามอีกต่อไป
ไม่มีความเห็น