จิตเจ้าเอย...อยู่ที่ใด


เราจึงเห็นคนไข้ ถูกพันธนาการเพื่อส่งตัวบำบัดกันเป็ประจำ เหมือนโหดร้ายทารุณ แต่แท้จริงแล้ว นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่จะกระทำ

      ถามหาดวงจิตสำนึกของคนหลายๆคน อาจตอบไม่ได้ว่าขณะนี้ อยู่ที่ใด เหมือนผู้เขียนกำลังจะเล่าเรื่อง การนำคนไข้จิตเวช ส่งรักษาที่โรงพยาบาลรายนี้ ต่อจากบันทึกที่แล้ว

 หลังจากประสานงาน ตำรวจ รถจาก อบต.เพื่อนำส่ง และหมู่ญาติแล้ว ก็ได้ไปพบคนไข้ ที่บ้านแม่ เขากำลังนั่งตักข้าวใส่ปาก มองทุกคนด้วยสายตาเครียดขึ้ง ผู้เขียนเข้าไปโอภาปราศัย ด้วยคำดี สอบถามสารทุกข์สุขดิบ เขาก็ตอบว่าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร แต่พอถามว่า ยังกินยาบำรุงอยู่หรือเปล่า เท่านั้นเอง คนไข้ก็มีอาการโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ว่าพวกหมอชอบบังคับให้เขากินยา และหมอก็ตั้งใจจะฆ่าเขาด้วย ที่ให้ยาชนิดหนึ่งมา(คนไข้เคยเจ็บคอ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แล้วหมอจ่ายยาชนิดหนึ่ง ที่กินแก้อักเสบ และยังใช้เหน็บช่องคลอดเพื่อใช้รักษาอาการตกขาวด้วย เข้าใจว่าหมอคงอธิบายแล้ว แต่อาจไม่เข้าใจ พอมาถึงบ้าน เขาอ่านออกว่า ใช้เหน็บช่องคลอดด้วย เท่านั้นเอง ก็เป็นเรื่องใหญ๋่) ทำให้เกิดการเข้าใจผิด แม้ต่อมา เขาได้นำยามาที่สถานีอนามัย อธิบายแล้ว เขาก็ไม่ยอม โกรธไม่หาย และไม่กินยาอีกเลย ญาติต้องแอบเอายา รักษาโรคทางจิตประสาท คลุกข้าวให้กิน แต่ ก็ทำไม่ได้ครบถ้วน ตามการรักษา อาการจึงกำเริบมาก

  เมื่อเขาโกรธ เสียงดัง และฉุนเฉียว จึงตัดสินใจ จะขอกำลังตำรวจ ช่วยกันควบคุมเขาไปโรงพยาบาล

พอเห็นตำรวจ เขาก็เสียงอ่อนลง และยอมคุยด้วยดี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีการทักทายพูดคุย ตำรวจเองก็ไม่รู้ตัวว่า กำลังหลงกล เพราะในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็คว้ากางเกงยีน ที่ภรรยาวางไว้ให้บนโต๊ะ แล้วสรุปอย่างรวดเร็วว่า "งั้นผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ" พร้อมทั้งลุกขึ้น และออกวิ่งอย่างรวดเร็ว เข้าป่าข้างบ้านไป เห็นศีรษะไหวๆ แม้ญาติจะวิ่งตามก็ไม่ทัน

  น้าติ๊ดกลับสู่ดโหมดแห่งโลกของตัวเองไปแล้ว ไม่เชื่อ ไม่ฟังเหตุผล และไม่ยินยอมใดๆทั้งสิ้น

คนมีปัญหาทางจิต จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่เรายากจะเข้าใจ รวมถึงเวลาที่มีต่อกัน เราจึงเห็นคนไข้ ถูกพันธนาการเพื่อส่งตัวบำบัดกันเป็นประจำ เหมือนโหดร้ายทารุณ แต่แท้จริงแล้ว นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่จะกระทำ

  ถ้าผู้เขียนมีเวทมนต์คาถา เรียกจิตที่หลุดลอยของเขากลับมาได้ ก็คงไม่คิดที่จะใช้วิธีที่กล่าวมากับเขาเหมือนกัน

  ตลอดทั้งคืน ต่างก็ตามหาน้าติ๊ดไม่เจอ บางครั้งก็โทษกัน ว่าทำไมจึงหลงเชื่อเขาอีก ไม่ยอมจับตัวตั้งแต่ครั้งแรก บางครั้งก็กล่าวถึงอย่างเป็นห่วง กลัวจะหิวข้าว กลัวจะเหน็บหนาว ในยามค่ำคืน และภัยต่างๆ แต่ที่ทำได้คือการรอ...รอ...และรอ...

      และแล้ว สี่นาฬิกา เช้ามืดวันรุ่งขึ้น น้าติ๊ดก็เดินกลับมาถึงบ้าน ด้วยอาการอ่อนเพลีย เข้าบ้านได้ก็ขอข้าวปลากิน ด้วยความหิว....และวันนี้แหละ เป็นวันที่น้าติ๊ดจะได้พบแพทย์ดังใจหมาย แต่การพาน้าติ๊ดไปหาหมอจิตเวช ช่างเชื่องช้า ยาวนาน กว่าทุกวัน เพราะมีเหตุการณ์ที่น่าระทึกยิ่งกว่าเดิมอีก

 ติดตามอ่านบันทึกหน้า คืนนี้ค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 226436เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2008 20:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน 2012 21:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • บางครั้งสิ่งเหล่านี้ ประหนึ่งเป็นสิ่งลึกลับแต่ท้าทายในการเรียนรู้
  • ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ครับ
  • ผมเจอคนไข้แบบนี้
  • เป็นคนใกล้ตัว
  • แงๆๆ
  • ต้องใช้จิตวิทยา
  • ใช้พลังกาย พลังใจ ทั้งขู่และปลอบกว่าจะได้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม
  • เศร้าๆๆ
  • สวัสดีค่ะ พี่รุ่ง
  • บางครั้งบางคราว อะไรๆๆก็ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎี
  • การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไวพริบ และประสบการณ์เท่านั้นที่จะช่วยเราได้
  • เอาใจช่วยค่ะ

สวัสดีค่ะคุณศักดิ์พงษ์ หอมหวล

ชีวิตต้องเรียนรู้ไปตลอดเลยค่ะ

โดยเฉพาะเรียนรู้คน

ปมชีวิตของคน

เมื่อต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง

จึงต้องตั้งสติให้ดี

ขอบคุณที่มากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันค่ะ

สวัสดีค่ะคุณขจิต ฝอยทอง ที่ปรึกษา ฯลฯ

ญาติน้าติ๊ด ก็มีความรู้สึกเหมือนอาจารยืค่ะ

แต่บันทึกหน้า ตามไปอ่านนะคะ

ยังมีคนไม่เข้าใจญาติอีกมากมาย

เป็นปัญหาโลกแตก ที่ไม่รู้จบค่ะ

สวัสดีค่ะคุณpa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]

ประสบการณ์ที่เล่าไว้นี้

ไม่ตรงตามทฤษฎีเลย

เป็นการเรียนรู้ใหม่ๆ

การนำมาเล่าจึงไม่ได้เพื่อหาคนผิด

แต่อยากถ่ายทอดให้ป็นความรู้เอาไว้

ไม่แน่สักวัน หลายคนอาจต้องมีส่วนเกี่ยวพันก็เป็นได้

คิดถึงนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท