คำว่า “ดอน” หมายถึง ที่ราบลุ่มน้ำ ที่น้ำได้พัดพาเอาตะกอนต่างๆ มาทับถมกันไว้ ส่วนคำว่า “มูล” หมายถึงพื้นที่ดินทรายที่มาทับถมกัน เกิดเป็นพื้นที่สันดอนขึ้นมาริมลุ่มน้ำ ซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการลดลงของน้ำในฤดูแล้ง “ดอนมูล” จึงเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผักยิ่งนัก ด้วยชัยภูมิที่ตั้งของหมู่บ้านที่เป็นลักษณะของพื้นที่ดอนมูล ที่หน้าน้ำก็จะมีน้ำท่วม หน้าแล้งก็จะเป็นพื้นที่ดินตะกอนทับถมกัน ชาวบ้านที่อพยพกันมาตั้งถิ่นฐานกันที่นี่จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านดอนมูล” และด้วยความที่เป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาใหม่แยกมาจากหมู่บ้านเดิมจึงเรียกกันใหม่ว่า “บ้านดอนมูลพัฒนา” ตั้งอยู่ในตำบลดู่ใต้ อำเภอเมืองน่าน
ที่นี่เป็นพื้นที่ราบลุ่มลำน้ำสมุนที่ไหลมาสบ(บรรจบ)กับแม่น้ำน่าน กลายเป็นมหาสันดอนนทีที่กว้างใหญ่ เป็นที่ราบลุ่มที่เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่จึงเป็นแหล่งปลูกผักที่ใหญ่พื้นที่หนึ่งของจังหวัดน่าน
จากวิถีพออยู่พอกินสู่เกษตรเชิงเดี่ยว
“บ้านดอนมูลพัฒนา” เป็นหมู่บ้านชนบทชานเมืองน่าน ที่มีอาชีพหลักคือการปลูกข้าวและปลูกผัก แต่ดั้งเดิมนั้นชาวบ้านอยู่กันแบบพออยู่พอกิน ปลูกข้าว ปลูกผักพอกินพอใช้ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียง แต่ในยุคของการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้มีนายทุนโรงบ่มใบยาได้เข้าส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านได้ปลูกยาสูบเพื่อขายให้กับโรงบ่มใบยา วิถีการผลิตของชุมชนเริ่มเปลี่ยนไป จากที่พออยู่พอกิน กินสิ่งที่ปลูก ปลูกในสิ่งที่กิน มาเป็นปลูกเพื่อขาย ปลูกในสิ่งที่ไม่ได้กิน การปลูกไม่ได้เพียงเพื่อยังชีพ หากแต่หวังได้ผลิตที่ดี ได้กำไร ได้เงินทอง ดังนั้นเทคโนโลยีการเกษตรจึงถูกส่งเสริมให้ใช้ขึ้นจากนายทุน รวมไปถึงสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ฮอร์โมน ฯลฯ นับแต่นั้นวิถีการเพาะปลูกเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ สิ่งที่เคยทำเอง ใช้เอง กลายไปเป็นการพึ่งคนอื่น พึ่งนายทุน พึ่งคนภายนอก แม้ต่อมาชาวบ้านจะเลิกปลูกยาสูบ แต่การใช้สารเคมีต่างๆ กลายเป็นเรื่องปกติและความเคยชินของชาวบ้านไปแล้ว หลังพบปัญหาวิกฤตการปลูกยาสูบไม่ได้ผลผลิตและกำไรที่ดี เกษตรตำบลจึงได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านหันไปปลูกพืชผักและข้าวแทน เช่น มะเขือยาว, แตงร้าน, กระหล่ำดอก, ข้าวโพด, กระหล่ำปลี, ผักกาด ฯลฯ ซึ่งได้ผลผลิตและกำไรที่ดีกว่าการปลูกยาสูบ และในปี 2532 ได้รวมกันเป็น “กลุ่มเกษตรกรทำสวน” ขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ การใช้สารเคมีต่างๆ ทุกรูปแบบ และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าเข้ามาในหมู่บ้านก็จะได้กลิ่นสารเคมีต่างๆ ที่ชาวบ้านใช้ในการเพาะปลูก นอกจากนี้ผลผลิตที่ปลูกได้ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดเนื่องจากมีสารเคมีตกค้างมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ ดร.พิจิตร รัตตกุล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้มีการตรวจสารเคมีที่เข้ามาจำหน่ายในตลาดไท ทำให้เกษตรกรที่ปลูกผักได้รับผลกระทบสืบเนื่อง เพราะนำไปขายไม่ได้ ราคาตกต่ำ และสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านเริ่มพบคือว่าสุขภาพเริ่มแย่ลง หลายคนป่วยและตายโดยไม่รู้สาเหตุ เป็นมะเร็งกันมากขึ้น เริ่มมีการพูดคุยกันถึงปัญหาเหล่านี้มากขึ้น แต่ยังไม่มีพลังเพียงพอ
จุดเริ่มต้นวิถีสร้างสุข
จนกระทั่งเมื่อราวปี พ.ศ.๒๕๔๑ “ทีมสุขภาพ” ซึ่งได้ผ่านการอบรมกระบวนการแก้ไขปัญหาสุขภาพโดยทีมสุขภาพ (Health Team Problem Solving - HTPS) จากทีมสุขภาพสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน ที่มุ่งเน้นให้รู้จักการวางแผนแก้ไขปัญหาสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จึงได้ริเริ่มดำเนินการพื้นที่นำร่องในบ้านดอนมูลพัฒนา จากการให้ชุมชนวิเคราะห์ปัญหาของชุมชนเอง พบว่า ปัญหาการใช้สารเคมีในการเกษตร เป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งของชุมชนที่ต้องการแก้ไข สถานีอนามัยบ้านดอนมูลจึงได้รณรงค์การลดการใช้สารเคมีในการเกษตร และเจาะเลือดหาสารเคมีที่ตกค้างในเลือดพบว่า เกษตรกรมีสารเคมีตกค้างในเลือดถึงร้อยละ ๗๖ จึงเห็นพ้องกันว่าต้องหาวิธีการลดการใช้สารเคมีในการเกษตร จึงได้พากันไปศึกษาดูงานการทำเกษตรปลอดสารเคมีและการทำน้ำปุ๋ยหมักจากหอยเชอรี่ที่อำเภอท่าวังผา แล้วกลับมารวมกลุ่มทำน้ำปุ๋ยหมักจากหอยเชอรี่ในชุมชน การทำปุ๋ยหมัก การใช้สมุนไพรขับไล่แมลง เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ลองผิด ลองถูกกันเองในกลุ่มเกษตรกร ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้มีการใช้สารเคมีลดลง โดยมีเกษตรประจำตำบลและสถานีอนามัยเป็นพี่เลี้ยง
สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ในปี ๒๕๔๓ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลได้เข้ามาสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง “โรงเรียนเกษตรกร” ขึ้น เริ่มแรกมีสมาชิกจำนวน ๒๙ คน เพื่อให้มีแปลงสาธิตการเกษตร เป็นพื้นที่ทดลองของเกษตรกร และที่สำคัญทำให้เกษตรกรได้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเทคนิคต่างๆ ระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ใครมีปัญหาอะไรในการเพาะปลูกก็นำมาคุยแลกเปลี่ยนกัน ใครมีเทคนิควิธีการดีดีที่ทำแล้วได้ผลก็นำมาบอกกล่าวกัน ส่วนเกษตรตำบลก็สามารถนำวิชาการใหม่ๆ มาแนะนำเกษตรกรได้ ต่อมาได้มีการนำเทคนิคการปรับปรุงดินมาฟื้นฟูคุณภาพของดินที่เสื่อมเนื่องจากการใช้สารเคมี
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเกษตรกรผ่านแปลงสาธิตและโรงเรียนเกษตรกร ทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจและเข้าใจถึงเทคนิควิธีการในการลดการใช้สารเคมีเป็นอันมาก จึงทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้น
ปัญญานำการพัฒนา
ปี ๒๕๔๖ ทีมสุขภาพและแกนนำชุมชนได้ริเริ่มพัฒนาโครงการวิจัยท้องถิ่นเพื่อของบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อให้ชุมชนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้จะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการเป็นเวลานานนับปี แต่แกนนำชุมชนและทีมสุขภาพก็ไม่ย่อท้อ จนได้รับงบประมาณสนับสนุนในการดำเนินการเพื่อพัฒนารูปแบบการปลูกผักปลอดภัยของชุมชน ทำให้ชุมชนได้จัดกิจกรรมการค้นคว้า วิจัย และพัฒนาตนเองในการที่จะให้การปลูกผักปลอดภัยมีความครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้น มีการไปศึกษาดูงานกลุ่มเกษตรกรบ้านแม่ทา กิ่งอำเภอแม่ออน เชียงใหม่ และไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษกลุ่มต่างๆ ทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้เรียนรู้เทคนิควิธีการใหม่ๆ มาปรับใช้ในพื้นที่มากขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนมากยิ่งขึ้น
จนทำให้ชุมชนได้รับการยอมรับและเป็นต้นแบบของชุมชนในการปลูกผักปลอดภัย และการดำเนินงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของจังหวัด ได้รับรางวัลหลายรางวัล
ครอบครัวเข้มแข็ง...ครอบครัวพอเพียง
ปี ๒๕๔๗ มูลนิธิฮักเมืองน่าน ได้ดำเนินการ “โครงการครอบครัวเข้มแข็ง” โดยการสนับสนุนของสถาบันครอบครัวรักลูก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สสส.) ได้คัดเลือกบ้านดอนมูลพัฒนา เป็น ๑ ในพื้นที่ ๑๒ ชุมชน ที่นำร่องดำเนินการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อครอบครัวเข้มแข็ง ทำให้แกนนำชุมชนได้รับการอบรมพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้สร้างครอบครัวเข้มแข็ง และกลับมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้สร้างสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและคนในชุมชน โดยเฉพาะกิจกรรมของเยาวชน เช่น กิจกรรมทุกข์-สุขครอบครัว, ขอบคุณ-ขอโทษ, ลดละเลิกเหล้า, พุทธศาสนาวันอาทิตย์, จินตคณิต, ดนตรีพื้นบ้าน, กีฬาพื้นบ้าน, อาหารพื้นบ้าน, ลดบริโภคนิยม, ธนาคารขยะ ฯลฯ ผลแห่งการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ครอบครัวมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชุมชนมีความรักความสามัคคี เกิดกลุ่มและกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ที่เชื่อมโยงกับวิถีการเกษตรแบบพอเพียงของชุมชน
ธนาคารขยะ...ธนาคารแห่งการแบ่งปัน
จากเวทีการเรียนรู้ครอบครัวเข้มแข็งของพ่อ-แม่-ลูก ในการที่จะช่วยกันลดภาวะโลกร้อน ทำให้กลุ่มเยาวชนสนใจที่จะจัดตั้ง “ธนาคารขยะ” ขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมริเริ่มของกลุ่มเยาวชนเองว่า เป็นผลที่ต่อเนื่องจากการจัดกิจกรรมครอบครัวเข้มแข็ง เนื่องจากชุมชนมีปัญหาเรื่องของการจัดการขยะที่นับวันจะเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดปัญหาขยะล้นเมือง และเกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน จากการที่ได้มีโอกาสเห็นตัวอย่างของการจัดการขยะในรูปของธนาคารขยะจากที่อื่น จึงอยากที่จะนำความคิดนี้มาทำที่ชุมชนของตนเองดูบ้าง ประกอบกับขณะนั้นทางชุมชนได้รับการสนับสนุนให้ดำเนินโครงการเศรษฐกิจพอเพียง จึงได้นำแนวคิดที่จะทำธนาคารขยะเสนอต่อแกนนำผู้ใหญ่ในชุมชน โดยคาดหวังว่าการทำกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการทำให้ช่วยลดขยะ และเยาวชนยังสามารถหารายได้ช่วยพ่อแม่ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนหนังสืออีกด้วยอีกทางหนึ่ง
ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ เริ่มต้นที่กลุ่มเยาวชนของดอนมูลพัฒนา ประมาณ ๒๐ คน ได้มีการนั่งพูดคุยถึงการจัดตั้งธนาคารขยะ โดยการหนุนเสริมของผู้ใหญ่ใจดีในชุมชน คอยเป็นกำลังใจให้คำปรึกษา เอื้อเฟื้อหอประชุมหมู่บ้านให้เป็นสถานที่ในการพบปะพูดคุย และภายหลังได้จัดตั้งให้เป็นที่ทำการธนาคารขยะ ในช่วงแรกธนาคารแห่งนี้ยังไม่ได้มีเงินทุนที่รับซื้อขยะ จึงได้ใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายในหมู่บ้าน และบอกกล่าวกันในที่ประชุมประจำเดือนของหมู่บ้านเพื่อขอรับบริจาคขยะเป็นการสะสมทุนก่อนที่จะทำการเปิดรับซื้อขยะอย่างเป็นทางการ
ธนาคารขยะดอนมูลพัฒนาเปิดทำการทุกวันเสาร์แรกของทุกเดือน โดยเริ่มที่เสาร์แรกของเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ กลุ่มเยาวชนจะมีการแบ่งทีมออกเป็นหลายสายเพื่อเดินเก็บขยะที่แต่ละบ้านจะนำมาใส่ถุงแขวนไว้รอที่หน้าบ้านของตน หลังจากนั้นได้นำขยะที่ได้มารวมกันไว้ที่หอประชุมหมู่บ้าน และจะช่วยกันแยกขยะ และจะนำขยะที่ได้ขายให้กับพ่อค้าเลย จะไม่เก็บขยะไว้นานเนื่องจากสถานที่เก็บคับแคบ ราคาขยะนั้นไม่แน่นอนมีการเปลี่ยนแปลงแล้วแต่พ่อค้าที่รับซื้อ ส่วนขยะที่แยกแล้วแต่ละชนิดจะได้ราคาต่างกัน ผลของความตั้งใจจริงของกลุ่มเยาวชน ทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลดู่ใต้ได้จัดงบประมาณมาสนับสนุนเป็นเงินทุนในการดำเนินงานจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท
ป้าหร่อย (อ.สมพร ศรีทุมมา) พี่เลี้ยงกลุ่มเยาวชนบอกว่า การดำเนินการโครงการธนาคารขยะ ทำให้เยาวชนมีความรับผิดชอบ รู้จักคุณค่าของขยะ คุณค่าของเงิน เด็กๆ ไปที่ไหน เห็นขยะก็จะหยิบกลับมาอย่างไม่อายใคร เพราะนี่คือ “ทองคำ” สำหรับเขา นี่เป็นความภาคภูมิใจของผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย
ดอนมูลพัฒนา...พัฒนาไม่มีสิ้นสุด
แม้ว่าวันนี้ชุมชนและสถานีอนามัยบ้านดอนมูลจะได้รับการเชิดชูเกียรติชมรมและรางวัลเกียรติยศหลายรางวัล แต่การพัฒนาย่อมไม่มีวันสิ้นสุด มีประเด็นและเรื่องราวให้ชุมชนได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเด็นเดิมๆ ก็ต้องทำให้สืบเนื่อง ยั่งยืน ดียิ่งขึ้น มีการขยายงานใหม่ๆ ออกไปอีกหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารปลอดภัย จักรยาน และการสร้างสุขในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ชุมชนได้มีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง สมดังชื่อว่า “บ้านดอนมูลพัฒนา”
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
การสร้างครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็งของบ้านดอนมูลพัฒนาไม่ได้สร้างมาเพียงวันเดียว หรือด้วยคนใด คนหนึ่ง หากแต่มีหลายปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่อง ได้แก่
๑. ผู้นำ การที่ชุมชนมีแกนนำที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ที่ดี เป็นทั้งผู้นำและผู้ปฏิบัติ ทำให้สามารถเชื่อมประสานงานต่างๆ ทั้งในชุมชนและภายนอกชุมชนได้เป็นอย่างดี ผู้นำนี้มีทั้งผู้นำเป็นทางการและผู้นำไม่เป็นทางการ ที่ประสานเป็นทีมเดียวกัน และมีการถ่ายทอดจากความคิดสู่เยาวชนรุ่นใหม่ ทำให้เกิดการพัฒนาแกนนำรุ่นเยาว์ที่มาสานต่อคนรุ่นเก่า
๒. ประเด็นการเรียนรู้ ที่เริ่มจากประเด็นที่เกี่ยวโยงกับวิถีแห่งอาชีพในการปลูกผัก ที่มิเพียงต้องการลดผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น หากแต่ต้องการลดต้นทุนการผลิตลง ทำให้พืชผักปลอดภัยเป็นที่ยอมรับของตลาด ทำให้เป็นที่สนใจของคนในชุมชน เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องในวิถีการทำมาหากินของตนเอง
๓. กระบวนการเรียนรู้ ที่หลากหลาย มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแก้ไขปัญหาสุขภาพ, โครงการวิจัย, โรงเรียนเกษตรกร, โครงการครอบครัวเข้มแข็ง, โครงการธนาคารขยะ ฯลฯ นับเป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ให้กับแกนนำและคนในชุมชน ที่ไม่เพียงเปิดการเรียนรู้ในพื้นที่ชุมชน หากแต่ต้องไปปฏิสัมพันธ์กับองค์กร หน่วยงาน และชุมชนภายนอกที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้และนำมาพัฒนาต่อยอดสิ่งที่ชุมชนมีอยู่แล้ว และขยายงานออกไปจากเดิมมากขึ้น
๔. การหนุนเสริมจากภายใน ได้แก่ ทีมสุขภาพ สถานีอนามัยบ้านดอนมูล, เกษตรตำบล, อบต.ดู่ใต้ นับว่าเป็นแกนหลักสำคัญอีกกลุ่มแกนหนึ่งที่แทบจะแยกไม่ออกจากทีมแกนนำของชุมชน ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนของชุมชนเดินไปได้อย่างต่อเนื่องและมีพลัง
๕. การหนุนเสริมจากภายนอก ได้แก่ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน, สำนักงานเกษตรจังหวัดน่าน, มูลนิธิฮักเมืองน่าน, สสส., สกว., และองค์กรหน่วยงานอื่นๆ อีกหลากหลายที่เข้ามาหนุนเสริมทั้งด้านงบประมาณ, การจัดการ, วิชาการ, และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำให้เกิดการขับเคลื่อนงานของชุมชนเป็นไปต่อเนื่อง
กระบวนการพัฒนาของบ้านดอนมูลพัฒนาแม้ว่าจะผ่านจากจุดวิกฤติของปัญหามาสู่ความยั่งยืนของการพัฒนา หากแต่ยังมีประเด็นที่ต้องช่วยกันคิด สร้าง และหนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้ดำรงต่อไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังต้องทานกระแสของบริโภคนิยมที่ถาถมเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นห้างต่างชาติ โรงแรม และร้านรวงต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาใกล้ๆ ชุมชน ความเป็นเมืองที่คืบคลานเข้ามาทีละน้อยๆ นับเป็นความท้าทายของชุมชนที่จะยืนหยัดวิถีแห่งเกษตรปลอดภัยและชุมชนที่อยู่เกื้อกูลกันเองอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร ท่ามกลางสภาวะเช่นนี้
...............................................................
ขอขอบคุณ
กำนันบุญแต่ง พิมพงาน กำนันตำบลดู่ใต้ (ผู้นำบ้านดอนมูลพัฒนา)
คุณนิตย์ ธิศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษตรกร
อ.สมพร ศรีทุมมา พี่เลี้ยงกลุ่มเยาวชนโครงการธนาคารขยะ
คุณพัฒนพงศ์ คนสูง หัวหน้าสถานีอนามัยบ้านดอนมูล
คุณธนธรณ์ ใจทา นักวิชาการสาธารณสุข สถานีอนามัยบ้านดอนมูล
อีกทั้งแกนนำและสมาชิกชุมชนบ้านดอนมูลพัฒนาทุกคน
ที่ให้ข้อมูลและบอกเล่าเรื่องราวดีดี
ถนัด ใบยา
เล่าเรื่องจากกิจกรรม “ปั่นจักรยานสร้างสุข” ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
แวะเข้ามาทักทายยามเที่ยงค่ะ
..หิวแล้วมองเห็นมะเขือยาวในรถกระบะ..
..เอามาเผาแล้วโขลกกับพริก เกลือ หอม กระเทียม
ปรุงด้วยน้ำปลา ปลาร้า กะปิ..กินกับข้าวเหนียว OK!แล้วมือนี้..
พอเพียง..คำนี้สนับสนุนและส่งเสริมค่ะ
พอเพียง เพราะเพียงพอครับ
เคยมีโอกาศสัมผัสเมืองน่านในฐานะอาสาสมัครคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคงระลึกถึงในความทรงจำของทุกๆคน
เพิ่งมีโอกาศแวะมาอ่านงานเขียนของพี่ถนัด เป็นกำลังใจให้ในการทำงานในทางที่เลือกเดินอย่างมีความสุขนะคะ
ขอบคุณครับ ที่ยังระลึกถึงกัน มีโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมกันด้วยนะครับ
ขอชื่นชมและให้กำลังใจกับชุมชนนี้ให้ต่อสู้กับปัจจัยภายนอกที่กำลังคืบคลานเข้ามา และยืนหยัดการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคมอื่นได้เรียนรู้ว่า สิ่งนี้สามารถทำได้จริงในเมืองไทย
ต้นแบบดีดี น่าเอาอย่างคับ
อยากได้รายละเอียดเตาเผาแกลบของพ่อกำนันแต่ง ขอบคุณครับ
เป็นคนบ้านดอนมูลแต่กำเนิดคะ.......ตอนนี้เรียนอยู่จุฬาฯ ภูมิใจมากที่เกิดที่นั่น....คิดถึงมากๆๆ