ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และภาพบรรยากาศที่ได้รับจากการเข้าร่วมฟังสัมมนาในงาน "SET in the City 2008" กันนะค่ะ
สรุป
งานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นที่สยามพารากอน มีการเข้าร่วมของหลายบริษัทการเข้าร่วมในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่นักลงทุนใหม่ ๆ และคนที่เคยลงทุนแล้ว แต่เป็นตัวเลือกเพื่อให้หาสถาบันลงทุนที่ดีและให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุน บริษัทลงทุนที่เข้าร่วมมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ความเสี่ยงในการลงทุนในปัจจุบัน
1. เงินเฟ้อ
2. การเมือง
- ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้จ่ายได้ และประชาชนไม่กล้าที่จะลงทุน
3. ดอกเบี้ย
- ดอกเบี้ยลดลงในประเทศและต่างประเทศ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่นและอเมริกา
จุดประสงค์ในการจัดงาน คือ การเชิญชวนให้คนไทยตื่นตัวใส่ใจบริหารเงินกับหลากหลายทางเลือก เพื่อฝ่าวิกฤตยุคเศรษฐกิจผันผวน โดยมีหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีบริษัทจัดการกองทุนกว่า 100 องค์กร โดยมีการโชว์กระบวนการบริหารเงินเพื่อช่วยคนไทยพบทางเลือกที่เหมาะสมกับสไตล์ที่ต้องการ ทั้งหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ หุ้นดาวเด่น หุ้นปันผล กองทุนรวมหรือเพิ่มความมั่งคั่งอย่างมั่นคงกับพันธบัตร / หุ้นกู้หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้โอกาสสร้างกำไรทั้งภาวะหุ้นขึ้น – หุ้นลง กับฟิวเจอร์และออปชั่นที่นักลงทุนสนใจ
สิ่งที่ได้จาก Aberdeen
โดย คุณ อดิเทพ วรรณพฤคช์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน
คุณ เอื้อศรี แสงสิงค์แก้ว หัวหน้าฝ่ายขาย
คุณ กฤษฎิ์ จุติไมตรี หัวหน้าฝ่ายขาย
ได้พูดเกี่ยวกับเรื่อง LTF กับ RMF
LTF เป็นการลงทุนระยะยาว
- ลงทุน 5 ปี
- เป็นกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์สูงสุดที่รัฐใช้ทำเมื่อใดดอกเบี้ย สามารถได้ลดหย่อนภาษีได้
RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
- ต้องลงทุนทุกปีสม่ำเสมอ ( เว้นได้ปีเดียว )
- สามารถนำมาลดภาษีและเงินก้อนตอนเกษียณ
บริษัท Aberdeen มี 3 กองทุน
- หุ้น (RMF)
- ตราสารหนี้ (RMF)
- ABSC (LTF)
พวกเราทุกคนได้เข้าไปร่วมในงานครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก ได้ทำกิจกรรมรวมกันในงานที่เขาได้จัดขึ้นมา ความรู้ที่เราได้มาจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต
สรุป
งานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นที่สยามพารากอน มีการเข้าร่วมของหลายบริษัทการเข้าร่วมในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่นักลงทุนใหม่ ๆ และคนที่เคยลงทุนแล้ว แต่เป็นตัวเลือกเพื่อให้หาสถาบันลงทุนที่ดีและให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุน บริษัทลงทุนที่เข้าร่วมมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ความเสี่ยงในการลงทุนในปัจจุบัน
จุดประสงค์ในการจัดงาน คือ การเชิญชวนให้คนไทยตื่นตัวใส่ใจบริหารเงินกับหลากหลายทางเลือก เพื่อฝ่าวิกฤตยุคเศรษฐกิจผันผวน โดยมีหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีบริษัทจัดการกองทุนกว่า 100 องค์กร โดยมีการโชว์กระบวนการบริหารเงินเพื่อช่วยคนไทยพบทางเลือกที่เหมาะสมกับสไตล์ที่ต้องการ ทั้งหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ หุ้นดาวเด่น หุ้นปันผล กองทุนรวมหรือเพิ่มความมั่งคั่งอย่างมั่นคงกับพันธบัตร / หุ้นกู้หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้โอกาสสร้างกำไรทั้งภาวะหุ้นขึ้น - หุ้นลง กับฟิวเจอร์และออปชั่นที่นักลงทุนสนใจ
สิ่งที่ได้จาก Aberdeen
โดย คุณ อดิเทพ วรรณพฤคช์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน
คุณ เอื้อศรี แสงสิงค์แก้ว หัวหน้าฝ่ายขาย
คุณ กฤษฎิ์ จุติไมตรี หัวหน้าฝ่ายขาย
ได้พูดเกี่ยวกับเรื่อง LTF กับ RMF
LTF เป็นการลงทุนระยะยาว
RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
บริษัท Aberdeen มี 3 กองทุน
พวกเราทุกคนได้เข้าไปร่วมในงานครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก ได้ทำกิจกรรมรวมกันในงานที่เขาได้จัดขึ้นมา ความรู้ที่เราได้มาจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต
สรุป
งานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นที่สยามพารากอน มีการเข้าร่วมของหลายบริษัทการเข้าร่วมในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่นักลงทุนใหม่ ๆ และคนที่เคยลงทุนแล้ว แต่เป็นตัวเลือกเพื่อให้หาสถาบันลงทุนที่ดีและให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุน บริษัทลงทุนที่เข้าร่วมมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ความเสี่ยงในการลงทุนในปัจจุบัน
1. เงินเฟ้อ
2. การเมือง
- ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้จ่ายได้ และประชาชนไม่กล้าที่จะลงทุน
3. ดอกเบี้ย
- ดอกเบี้ยลดลงในประเทศและต่างประเทศ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่นและอเมริกา
จุดประสงค์ในการจัดงาน คือ การเชิญชวนให้คนไทยตื่นตัวใส่ใจบริหารเงินกับหลากหลายทางเลือก เพื่อฝ่าวิกฤตยุคเศรษฐกิจผันผวน โดยมีหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีบริษัทจัดการกองทุนกว่า 100 องค์กร โดยมีการโชว์กระบวนการบริหารเงินเพื่อช่วยคนไทยพบทางเลือกที่เหมาะสมกับสไตล์ที่ต้องการ ทั้งหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ หุ้นดาวเด่น หุ้นปันผล กองทุนรวมหรือเพิ่มความมั่งคั่งอย่างมั่นคงกับพันธบัตร / หุ้นกู้หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้โอกาสสร้างกำไรทั้งภาวะหุ้นขึ้น – หุ้นลง กับฟิวเจอร์และออปชั่นที่นักลงทุนสนใจ
สิ่งที่ได้จาก Aberdeen
โดย คุณ อดิเทพ วรรณพฤคช์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน
คุณ เอื้อศรี แสงสิงค์แก้ว หัวหน้าฝ่ายขาย
คุณ กฤษฎิ์ จุติไมตรี หัวหน้าฝ่ายขาย
ได้พูดเกี่ยวกับเรื่อง LTF กับ RMF
LTF เป็นการลงทุนระยะยาว
- ลงทุน 5 ปี
- เป็นกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์สูงสุดที่รัฐใช้ทำเมื่อใดดอกเบี้ย สามารถได้ลดหย่อนภาษีได้
RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
- ต้องลงทุนทุกปีสม่ำเสมอ ( เว้นได้ปีเดียว )
- สามารถนำมาลดภาษีและเงินก้อนตอนเกษียณ
บริษัท Aberdeen มี 3 กองทุน
- หุ้น (RMF)
- ตราสารหนี้ (RMF)
- ABSC (LTF)
พวกเราทุกคนได้เข้าไปร่วมในงานครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก ได้ทำกิจกรรมรวมกันในงานที่เขาได้จัดขึ้นมา ความรู้ที่เราได้มาจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต
มีรูปภาพประกอบไปงานแลกเปลี่ยนสัมมนาในงาน SET in the City 2008
สรุป
จากการไปงาน Set in the City ที่สยามพารากอนชั้น 5 ได้หัวเรื่องที่ไปสัมมนาคือ “ลดความเสี่ยง เสี่ยงการขาดทุนด้วย Stock Futures” จากหลักทรัพย์สินเอเชียมาสัมมนาครั้งนี้ โดยมีผู้สัมมนาหรือให้ความรู้คือ ดร.ธีระศักดิ์ ณ ระนอง เป็นที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.สินเอชีย ได้ข้อสรุปดังนี้
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ มี 3 ชนิด
1.ฟิวเจอร์
2.ออปชั่น
3.ออปชั่นบนสัญญาฟิวเจอร์
สินค้าในสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามี ตราสารทุน ตราสารหนี้ และตัวแปรอื่น ๆ ปัจจุบันตลาดอนุพันธ์ (TFEX) มีการซื้อขาย SET 50 Index Futures และ SET 50 Index Options แล้วในอนาคตจะเพิ่มอีก 2 ประเภทคือ Single Stock Futures และ Gold Futures จะแนะนำ Single Stock Futures
Single Stock Futures (ของหุ้นรายตัว) คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นรายตัวที่ตกลงซื้อขายในปัจจุบัน แต่สืบเนื่องไปอนาคต มี Tick Size 0.1 (1 สัญญาเท่ากับ 1,000 บาท)
สูตร ราคา Stock Futures
ราคา Stock Futures = ราคาหุ้น + ต้นทุนในการถือหุ้น – ผลประโยชน์จากการถือหุ้น
โดยที่ ราคาหุ้น หมายถึง ราคาหุ้นอ้างอิง
ต้นทุนในการถือหุ้น คือ ดอกเบี้ย
ผลประโยชน์จากการถือหุ้น คือ เงินปันผล (ที่เกิดในช่วงที่ถือ Stock Futures จนถึงวันที่ครบอายุสัญญา)
ข้อดีและข้อเสียก็คือ
ข้อดี : ลงทุนได้ทั้งยามหุ้นขาขึ้นหรือขาลง ใช้เงินลงทุนเป็นหลักประกันน้อยกว่าซื้อหุ้นโดยตรง ค่าธรรมเนียมต่ำ มีสภาพคล่องดี
ข้อเสีย : มีอายุจำกัด มีความเสี่ยงสูง ไม่ได้รับสิทธิของการเป็นเจ้าของหุ้น
ขั้นตอนการลงทุนใน Stock Futures
1.ออเดอร์ผ่านโบรกเกอร์ เปิดบัญชีซื้อขาย วางเงินประกัน ส่งคำสั่งซื้อขาย
2.สรุปกำไรขาดทุนทุกวัน
3.วางเพิ่มหรือถอนออกเงินประกัน ถอนเงินได้เฉพาะส่วนที่เกิน IM
4.หมั่นตรวจสอบสถานะ
จะมีอายุแค่ 3 เดือนเท่านั้น
และสุดท้ายมีภาพประกอบไปงาน Set in the City ที่สยามพารากอนชั้น 5 หัวเรื่อง “ลดความเสี่ยง เสี่ยงการขาดทุนด้วย Stock Futures” จากหลักทรัพย์สินเอเชียด้วย
สรุปจากการไปงาน Set in the City
จากการไปงาน Set in the City ได้ไปสัมมนาหัวข้อเรื่อง ยิ้มรับเกรียน กับเซียนการเงิน โดยมีผู้สัมมนาคือ 1.คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ 2.คุณอธิป พีชานนท์ และผู้ดำเนินรายการนี้คือ ชนิตา ประสมสุข
ในการสัมมนาครั้งนี้ได้มีผู้ให้ความรู้ 2 คนที่กล่าวมาคือ
1.คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ จะเป็นผู้ถนัดทางด้านหลักทรัพย์ ประเภทหุ้น
2.คุณอธิป พีชานนท์ จะเป็นผู้ถนัดทางด้านหลักทรัพย์
ซึ่งพอสรุปในตารางได้ดังนี้
คำถาม |
สภาพตลาด ณ ปัจจุบัน |
คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ |
มองว่าดัชนีลงไปค่อนข้างมาก เกิดจากชาวต่างชาติขายหุ้นออกไป จึงมองว่าเป็นโอกาสดี เพราะสภาพตลาดปัจจุบันราคาหุ้นค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริง สภาพหุ้นปัจจุบันมีมูลค่าแค่ 0.8 เท่าของความเป็นจริง ปัญหาปีนี้ต่างจากปี 2540 เพราะเกิดจากต่างชาติมองว่าปีหน้าจะลำบาก เราควรจะลงทุนระยะยาวจะดีกว่า เพื่อหวังเงินปันผล |
คุณอธิป พีชานนท์ |
ตอนต้นปีนั้นดูดีค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตการแฮมเบอร์เกอร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดวิกฤตในไตรมาสที่ 3 |
คำถาม |
กลยุทธในการสร้างเงินควรทำอย่างไร |
คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ |
เราควรหาความรู้ในการลงทุนทุนเสียก่อน หาได้จากหนังสือที่วางขายอยู่มากมาย หรือไปหาความรู้จากเว็บไซต์ได้ เวลานี้นักลงทุนการรับซื้อหุ้นไว้ และไม่ว่าเป็นต้องรับขาย ควรเก็บไว้ยาว ๆ เพื่อหวังเงินปันผลทุก ๆ ปี |
คุณอธิป พีชานนท์ |
อสังหาริมทรัพย์เป็นการออมประเภทหนึ่ง เวลาเราเลือกซื้อเราต้องเลือกซื้อที่ทำเลดี ๆ กำไรมาก ๆ เราควรจะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 10-50 % ของการลงทุนทั้งหมด เวลาเราขาย เราควรดูว่ากำไรมากกว่า 6 % หรือไม่ ถ้ามากกว่าก็ควรจะขาย อสังหาริมทรัพย์ไม่มีทางที่จะซื้อถูกกว่าปัจจุบัน แต่มีปัญหาที่สภาพคล่องเท่านั้น |
คำถาม |
เวลาเลือกซื้อจะต้องดูอย่างไร |
คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ |
1.ธุรกิจบริษัทดีหรือไม่ 2.เจ้าของดีและมีจรรยาบรรณ 3.ผลประกอบการที่ผ่านมาดีหรือไม่ 4.แนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร 5.ต้องถามโบรกเกอร์ว่า P/Ratio เป็นอย่างไร |
คุณอธิป พีชานนท์ |
1.ดูที่อยู่อาศัยว่าเป็นคนอื่นทำอยู่เยอะหรือไม่ 2.ดูทำเลว่าทันสมัยหรือไม่ เช่นโครงการรัฐบาลมีรถไฟฟ้ามาหรือไม่ เป็นต้น 3.แนวโน้มการขยายตัวของภาคเอกชน 4.ดูเป้าหมายหรือว่าผู้เช่าต้องการแบบไหน 5.เราต้องมีความรู้เกี่ยวกับที่นั่น ๆ ด้วย |
สรุปอีกทีว่าการจะลงทุนอะไรก็แล้วแต่ ควรศึกษาก่อนที่จะลงทุนเท่านั้น และที่สำคัญคนวัยเกรียนจะต้องมีรากฐานทางธุรกิจและฐานะของตัวเองดีด้วย จะได้ไม่ลำบากลูกหลานที่ต้องมาเลี้ยงดูตัวของคนวัยเกรียนเอง สามารถเลี้ยงตัวเองได้มีความสุข ด้วยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน
สุดท้ายนี้ก็มีรูปภาพประกอบงาน Set in the City นี้ด้วยของกลุ่มที่ 6
งาน SET IN THE CITY
สถานที่จัดงาน Royal Paragon Hall
หัวข้อสัมนา เรื่อง แนวโน้มหุ้นไทยปี 2009
โดยมุมมองนักลงทุน
ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้
กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธนาคาร เจ.พี.มอร์แกน และ บล.เจพีมอร์แกน
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย)
พูดคุยเรื่องต่างดังต่อไปนี้
การเมือง รัฐบาลต้องสร้างความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุนโดยทีมเศรษฐกิจของภาครัฐ ต้องเข้ามาร่วมมือสร้างความน่าเชื่อถือและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ส่วนมากภาครัฐบาลมีนโยบายที่ดีแต่ไม่สามารถที่จะนำมาพึงปฎิบัติได้อย่างจริง และยิ่งในปัจจุบันภาครัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนต่างๆในเรื่องของการเมือง เพราะ นักลงทุนกลัวความเสี่ยงที่มักจะมีผลมาจากการเมือง
ต่างชาติ เริ่มเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่วุ่นวายภายในประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกล้าที่จะเสี่ยงมาลงทุนในประเทศไทย คือ ภาคเอกชนที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
สิ่งที่นักลงทุนต้องการ อยากเห็นการเมืองที่ชัดเจน คือ รัฐบาลที่เข้มแข็งไม่เปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีบ่อยจนจำชื่อไม่ได้
อุตสาหกรรมที่น่าสนใจ กลุ่มพลังงาน เพราะ มีความเสี่ยงน้อยมากแล้วยังประชาชนต้องการตลอด เช่น น้ำมัน เพราะ มีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ธนาคารพาณิชย์ต่างๆที่ให้ผลตอบแทนได้ดี
สิ่งที่ชาวต่างชาติสนใจ แบงค์ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เช่น SCB การไฟฟ้า การประปา ปตท-สผ โรงกลั่น ปิโตรเคมี เป็นต้น
ประธานาธิบดีคนใหม่ โอบาม่า ที่จะผลมีต่อชาวโลก
สรุป จากการได้เข้าร่วมสัมมนา เรื่อง แนวโน้มหุ้นไทย 2009ทำให้สมาชิกในกลุ่ม B T - Generation ได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องของผลกระทบต่างๆที่เป็นตัวแปรที่สำคัญในการทำให้ หุ้นหรือระบบเศรษฐกิจเจริญเติบโต โดยมุมมองของนักลงทุนจาก 3 สถาบัน นอกจากความรู้ที่ได้รับแล้วยังได้รับรู้การทำงานร่วมกันในกลุ่ม นอกสถานที่ตลอดจนเปิดทัศนคติใหม่ให้แก่ตนเอง
<div><embed src="http://widget-4d.slide.com/widgets/themepic.swf" type="application/x-shockwave-flash" quality="high" scale="noscale" salign="l" wmode="transparent" flashvars="cy=h5&il=1&channel=3386706919783641677&site=widget-4d.slide.com" style="width:450px;height:375px" name="flashticker" align="middle"/><div style="width:450px;text-align:left;"><a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641677&map=A" target="_blank"><img src="http://widget-4d.slide.com/z1/3386706919783641677/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide1.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641677&map=B" target="_blank"><img src="http://widget-4d.slide.com/z2/3386706919783641677/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide4.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641677&map=G" target="_blank"><img src="http://widget-4d.slide.com/z4/3386706919783641677/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide42.gif" border="0" ismap="ismap" /></a></div></div>
<div><embed src="http://widget-81.slide.com/widgets/themepic.swf" type="application/x-shockwave-flash" quality="high" scale="noscale" salign="l" wmode="transparent" flashvars="cy=h5&il=1&channel=3386706919783641729&site=widget-81.slide.com" style="width:450px;height:375px" name="flashticker" align="middle"/><div style="width:450px;text-align:left;"><a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641729&map=A" target="_blank"><img src="http://widget-81.slide.com/z1/3386706919783641729/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide1.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641729&map=B" target="_blank"><img src="http://widget-81.slide.com/z2/3386706919783641729/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide4.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=h5&at=un&id=3386706919783641729&map=G" target="_blank"><img src="http://widget-81.slide.com/z4/3386706919783641729/h5_t016_v000_s0un_f00/images/xslide42.gif" border="0" ismap="ismap" /></a></div></div>
งาน SET IN THE CITY
สถานที่จัดงาน Royal Paragon Hall
หัวข้อสัมมนา เรื่อง แนวโน้มหุ้นไทยปี 2009
โดยมุมมองนักลงทุน
· คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร
ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้
· คุณวรภัค ธันยาวงศ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธนาคาร เจ.พี.มอร์แกน และ บล.เจพีมอร์แกน
· คุณอนุสรา วิไลพิชญ์
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย)
พูดคุยเรื่องต่างดังต่อไปนี้
การเมือง รัฐบาลต้องสร้างความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุนโดยทีมเศรษฐกิจของภาครัฐ ต้องเข้ามาร่วมมือสร้างความน่าเชื่อถือและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ส่วนมากภาครัฐบาลมีนโยบายที่ดีแต่ไม่สามารถที่จะนำมาพึงปฎิบัติได้อย่างจริง และยิ่งในปัจจุบันภาครัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนต่างๆในเรื่องของการเมือง เพราะ นักลงทุนกลัวความเสี่ยงที่มักจะมีผลมาจากการเมือง
ต่างชาติ เริ่มเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่วุ่นวายภายในประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกล้าที่จะเสี่ยงมาลงทุนในประเทศไทย คือ ภาคเอกชนที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
สิ่งที่นักลงทุนต้องการ อยากเห็นการเมืองที่ชัดเจน คือ รัฐบาลที่เข้มแข็งไม่เปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีบ่อยจนจำชื่อไม่ได้
อุตสาหกรรมที่น่าสนใจ กลุ่มพลังงาน เพราะ มีความเสี่ยงน้อยมากแล้วยังประชาชนต้องการตลอด เช่น น้ำมัน เพราะ มีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ธนาคารพาณิชย์ต่างๆที่ให้ผลตอบแทนได้ดี
สิ่งที่ชาวต่างชาติสนใจ แบงค์ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เช่น SCB การไฟฟ้า การประปา ปตท-สผ โรงกลั่น ปิโตรเคมี เป็นต้น
ประธานาธิบดีคนใหม่ โอบาม่า ที่จะผลมีต่อชาวโลก
· โอบาม่าไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจจะแค่แก้จากหนักเป็นแค่เบาได้
· วิกฤตเศรษฐกิจถีงแม้อาจจะแค่ ผ่อนคลายลงแต่ดีกว่าไม่ดีขึ้นเลย
สรุป จากการได้เข้าร่วมสัมมนา เรื่อง แนวโน้มหุ้นไทย 2009ทำให้สมาชิกในกลุ่ม B T - Generation ได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องของผลกระทบต่างๆที่เป็นตัวแปรที่สำคัญในการทำให้ หุ้นหรือระบบเศรษฐกิจเจริญเติบโต โดยมุมมองของนักลงทุนจาก 3 สถาบัน นอกจากความรู้ที่ได้รับแล้วยังได้รับรู้การทำงานร่วมกันในกลุ่ม นอกสถานที่ตลอดจนเปิดทัศนคติใหม่ให้แก่ตนเอง
สุดท้ายนี้มีรูปภาพประกอบ
สรุปการไปฟังสัมมนางาน Set in the City
เรื่อง ผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยประจำปี 2551
โดย คุณชาญชัย จารุวัสตร์
( ผู้อำนวยการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย )
เริ่มดำเนินโครงการในปี 2544 และทำการสำรวจมาแล้วรวม 5 ครั้ง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดทำผลสำรวจนี้ก็เพื่อวัดและติดตามผลการพัฒนา CG ของบริษัทจดทะเบียนไทยโดยรวม และเพื่อนเป็นข้อมูลสำหรับองกรค์กำกับดูแลในการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบด้านการกำกับดูแลกิจการ ซึ่งนอกจากนี้ยังจัดทำ Company Report สำหรับบริษัทที่ต้องการทราบผลของบริษัทเป็นการเฉพาะ และยังได้ใช้เป็นเกณฑ์เบื้องต้นใรการคัดเลือก SET AWARDS และ Board of the Year Awards
วิธีการสำรวจ
- รายงานปะจำปี
- หนังสือนัดประชุมและรายงานประชุมผู้ถือหุ้น
- ข้อมุลอื่นๆที่เปิดเผยต่อสาธารณชน เช่น เว็บไซต์ ข้อบังคับบริษัท
- ฐานข้อมูลการเปรียบเทียบปรับ/ลงโทษจาก ตลท. และ ก.ล.ต.
- ข้อมูลบางส่วนจากการประเมิน AGM ของ ก.ล.ต. และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
หลักเกณฑ์การสำรวจ
อิงหลักการ OECD และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วิเคราะห์จุดอ่อน : SET 100
วิเคราะห์จุดอ่อน : Medium Cap./Small Cap.
ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการสำรวจ
บทสรุป
..................
ลงทุนช่วงตลาดผันผวน
ตลาดหุ้นทั่วโลกคาดว่าจะปรับตัวลงต่อเพราะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถ่อยยาวนาน ดัชนีหุ้นไทยคาดว่าจะซื้อขายในรอบ 350 - 500 จุดจากปัจจุบันถึงช่วงไตรมาส 1ปีข้างหน้าไทยยังเป็นลักษณะการเก็งกำไรโดยการซื้อและขายหุ้นตามการแกว่งไกวของดัชนีในระยะสั้นมากกว่าพื้นฐานหุ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐ:จะอยู่ภาวะอึมครึมไปอีก 2-3ปี ดัชนีน่าจะทรงตัว ตลาดหุ้น
จีน:แม้ว่าเศรษฐกิจจะชลอตัว แต่เชื่อว่าประเทศจีนจะมีแรงขับเคลื่อนแข็งแร่งกว่าประเทศอื่นเมื่อเปรียบกัน
สรุปก็คือ : การที่หุ้นขายใกล้เคียงกรอบด้านล่างของ pER บ่งชี้ให้เห็นว่าภาวะการซื้อขายยังคงยำแย่ ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดของนักเก็งกำไร ซึ่งนักลงทุนจะซื้อหุ้นตามการแกว่งตัวของดัชนีในระยะสั้นมากกว่า แนะให้เก็งกำไรตามการแกว่งตัวในกรอบ 350-500 จุด นับแต่ปัจจุบันถึงไตรมาส 1ปีหน้า
1 ขายหุ้นออกไปก่อนเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสด (มากกว่า80%)หากดัชนีปรับตัวในกรอบ 350-400จุดจากข่าวร้ายและความเสี่ยงนอกประเทศ
2 ทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่มีความว่องไวต่อดัชนีสูงบางตัวหากตลาดปรับตัวลงแรง และคาดว่าใกล้ถึงจุดต่ำสุด โดยการการลดสัดส่วนการถือครองเงินสดเช่นเหลือ 20%
3 ขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ ในทุกระดับที่ดัชนีฟื้นตัวเช่น 20-25 จุดก็ขายหุ้นออกไปราว 20% ไปจนใกล้ระดับ 500 จุดเป็นต้น