ลุยเดี่ยวเที่ยวสิงคโปร์(2)


ได้ฤกษ์เดินทางซะที

เช้า7พฤศจิกายนเป็นวันออกเดินทางวันแรก...ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ไปหาของกินและของใส่บาตร..นึกอฐิษฐานส่งกระแสจิตชวนแม่ไปเที่ยวด้วยกัน...ฉันซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ตกับสายการบินแอร์เอเชียซึ่งสามารถจ่ายค่าตั๋วผ่านบัตรเครดิตแบบออนไลน์ได้.ราคาตั๋วนี้รวมค่าโหลดกระเป๋าก่อนเวลา,ภาษีสนามบินทั้งขาไปและกลับเอาไว้แล้วบางคนจะซื้อประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมในช่วงระหว่างการเดินทางก็ได้(แต่ฉันไม่ซื้อเพราะมีอยู่แล้ว)...มีตั๋วอยู่ในมือตั้งแต่หลายวันก่อน..วันเดินทางจริงก็แค่พยายามไปให้ถึงสนามบินและเคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราซื้อตั๋วเอาไว้นั่นแหละ..ซึ่งมีหนังสือแจ้งมาพร้อมกับตั๋วว่าสายการบินแอร์เอเชียเราต้องรีบมาเช็คอินก่อนหน้าเวลาบินจริง2ชั่วโมงและไม่มีอาหารเสริฟบนเครื่องคุณต้องซื้อเอากับพนักงานบริการซึ่งราคาก็ไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป...ฉันซื้อตั๋วเที่ยว11.45และไปถึงสิงคโปร์ประมาณ15.45ดังนั้นจึงต้องไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่9.30ไปหาเคาน์เตอร์และดูช่องที่จะเช็คอินเอากระเป๋าขึ้นเครื่อง..

ตอนขาไปนี้มีน้าน้อย,พี่กล่ำและเพ็ญมาส่ง..ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันสักเล็กน้อยและจะได้ใช้รูปนี่อธิบายให้น้าทองอินทร์ได้รู้ว่าญาติที่เมืองไทยเป็นอย่างไรกันบ้าง

เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกแบบคนเดียวของฉัน..ตื่นเต้นแต่รู้สึกท้าทายไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างแต่เชื่อมั่นว่าคงพอเอาตัวรอดได้เพราะจากคู่มือและการหาข้อมูลเบื้องต้นที่สิงคโปร์หากคุณใช้ภาษาอังกฤษได้บ้างก็จะสามารถสื่อสารกับคนที่นั่นได้สบายๆ..เอกสารแนะนำที่กินที่อยู่ของการท่องเที่ยวสิงคโปร์มีทั้งภาษาอังกฤษ,จีนและญี่ปุนซึ่งเราสามารถไปขอคำแนะนำได้ตั้งแต่ในบริเวณสนามบินและจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ...

จากคู่มือแนะนำการเที่ยวแบบแบกเป้มาสิงคโปร์ทำให้ฉันพอจะกะแผนการเที่ยวเอาไว้ในใจว่าควรไปที่ใดบ้างโดยที่ที่กะจะไปคือSentosa,Merlionที่หน้าโรงแรมFullerton,ไหว้พระและซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆแถวลิตเติ้ลอินเดียกับไชน่าทาวน์(ไม่ได้คิดถึงออร์ชาดเพราะว่าของแบรนด์เนมไม่ถูกกับอิฉัน)ส่วนของกินก็Listเอาไว้ว่ามีไก่สะเต๊ะกับข้าวมันไก่ไหหลำแล้วก็จะลองหาชาชัก(Tea tarik)และขนมปังสังขยา(Kaya toast)เวอร์ชั่นสิงคโปร์กินพอเป็นประสบการณ์..นี่เป็นแผนที่คิดในใจก่อนจะไปเหยียบเมืองสิงคโปร์

ก่อนขึ้นเครื่องหลังจากผ่านด่านศุลกากร-ตรวจคนเข้าเมือง(ซึ่งจุดที่เจอเจ้าหน้าที่ศก.ใจดีมากไม่ว่าอะไรแม้ฉันจะเขียนใบขาเข้าขาออกผิด(ที่ถูกควรเขียนเป็นภาษาอังกฤษและปีเป็นคศ.)ต้องเสียเวลาเขียนใหม่ก็ตาม ซึ่งถ้ามาเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์เจ้าหน้าที่บริษัททัวร์เขาจะช่วยเขียนหรือแนะนำการเขียนให้กับเรา..แต่ในเมื่อมาเองก็เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องถามและหัดทำด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่ยุ่งยากมากเกินไปเลย

มีเวลาเหลือเกือบชั่วโมงระหว่างรอประตูเปิดก็แวะเดินดูร้านขายของภายในสนามบิน..การแต่งร้านค้าสวยและราคาก็พอซื้อหาได้..ราคาน้ำหอมหรือเครื่องสำอางค์บางยี่ห้อบางรุ่นราคาดิวตี้ฟรีในไทยถูกกว่าที่ดิวตี้ฟรีสิงคโปร์..แต่อย่างที่บอกว่าทัวร์นี้ไปแบบคนไม่ค่อยมีตังค์เพราะฉนั้นก็ได้แต่วินโดว์ช็อปปิ้ง(กลัวกลับจากเที่ยวแล้วจะเป็นหนี้หัวโต)..ของที่น่าซื้อติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนหรือคนรู้จักที่สิงคโปร์ไม่ใช่น้ำหอมหรือเครื่องสำอางค์แพงๆหากแต่เป็นพวกขนมหรือผลไม้อบแห้งจากเมืองไทย(ยกเว้นทุเรียน-เขาห้ามไม่ให้ติดไป)..เพราะผลไม้บ้านเขาราคาค่อนข้างแพงแถมรสชาดยังอ่อนกว่าบ้านเรา...หรืออย่างพวกงานหัตถศิลป์ที่ดีไซน์ดีๆก็จะเป็นของขวัญของฝากที่คนสิงคโปร์ชื่นชอบและชื่นชมไม่น้อยเลย..

ฉันได้ซื้อผ้าคลุมเตียงลายไทยๆกับผ้าไหมไทยคลุมไหล่ไปฝากเพื่อนและภรรยาของเขา..ส่วนญาติทางเมืองจีนซื้อผ้าพันคอที่เป็นผ้าไหม,ที่ติดตู้เย็นลายชาวเขาน่ารักและขนมไทยอบแห้งและบรรจุกล่องอย่างดีไปฝาก..ซึ่งเป็นของที่ซื้อเตรียมไว้จากด้านนอกสนามบิน..มาดูราคาเปรียบเทียบกันแล้วแพงกว่ากันไม่มากแต่แพ็คเก็จของขนมที่ขายข้างในสนามบินจะดูสวยกว่า..แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน...

ของกินภายในบริเวณอาคารสนามบินด้านในราคาแพงกว่าข้างนอกสอง-สามเท่า..ยกตัวอย่างกรีนทรีของร้านเดลี่ควีนส์ไซต์ขนาดเล็ก ปกติจะราคา19บาทแต่ถ้าซื้อข้างในจะราคา49บาท,โชคดีที่ซื้อข้าวเหนียวหมูฝอยกับหิ้วขวดน้ำมาจากที่บ้านจึงไม่ต้องเปลืองสตางค์ค่าอาหารและเครื่องดื่ม..แต่น้ำต้องกินให้หมดก่อนผ่านด่านที่จะขึ้นเครื่อง

เนื่องจากแอร์เอเชียไม่มีการกำหนดที่นั่งดังนั้นจึงต้องอาศัยความไวในการเข้าคิวรอขึ้นเครื่อง(แต่เขามีกรณีพิเศษให้ผู้สูงอายุ/65ปีขึ้นไปได้ขึ้นไปนั่งก่อน)..โชคดีอีกแล้วได้ที่นั่งใกล้ช่วงปีกประตูทางออกด้านขวา..ทำให้มองเห็นวิวและปีกเครื่องบิน..ตื่นเต้นดีจังที่จะได้ขึ้นเครื่องแล้ว..เพื่อนร่วมแถวที่นั่งเป็นสามีภรรยาชาวเยอรมันเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อจะทรานซิสเครื่องต่อไปยังออสเตรเลีย(ที่รู้เพราะเห็นเขาเขียนใบผ่านแดนขาเข้า-ออกของสิงคโปร์)นั่งแบบไม่ได้คุยกับใครและไม่มีใครคุยด้วยนอกจากฟังเสียงแอร์โฮสเตสเข็นรถขายของมาสอบถามเท่านั้น..อีกสักหนึ่งก็มาถึงสิงคโปร์

ลงจากเครื่องมองหาห้องน้ำและจุดตรวจคนเข้าเมืองก่อนที่จะไปรับกระเป๋า..ระหว่างทางที่จะไปตรวจคนเข้าเมืองมีจุดให้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรีคนละไม่เกิน15นาที..ก็เลยแวะเช็คเมล์และดูข่าวสารบ้านเมืองไทยสักเล็กน้อย...เจอตม.สิงคโปร์ก็ไม่มีปัญหาอะไรมองหน้าเราเทียบกับหนังสือเดินทางสักครู่ถามไถ่2-3คำถามก่อนแสตมป์ตราประทับให้ผ่านออกไป

รับกระเป๋าเดินเก้ๆกังๆไม่ถึงนาทีสายตาก็เหลือบไปเห็นคนโบกมือให้..น้าทองอินทร์และครอบครัว3-4คนมารอรับเรานี่เอง...ทักทายไซมอน(เจ้าบ่าว/ว่าที่น้องเขย)และเมี่ยวมิน(เจ้าสาว/ลูกสาวน้าทองอินทร์)..น้าดูเหมือนเดิมที่เคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อน..เพิ่งเคยเห็นน้าสะใภ้เป็นครั้งแรก..เขาแสดงความตื่นเต้นและดีใจที่ในที่สุดเราก็ได้มาเจอกัน...ฉันพูดภาษาจีนไม่ได้ในขณะที่ญาติก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษเลย..อาศัยไซมอนช่วยพูดอังกฤษสลับจีนให้กับเรา..น้าจะให้หาของกินที่สนามบินแต่ว่าหิวน้ำมากกว่าเลยไปหาเครื่องดื่มจากฟูดคอร์ท..คนสิงคโปร์ชอบกินชามะนาวมากกว่ากินน้ำอัดลม..ราคาน้ำกระป๋องในสนามบินจะแพงกว่า1เท่าตัวเมื่อซื้อที่ข้างนอกแต่ถ้าไม่อยากซื้อเขามีจุดบริการน้ำเปล่าฟรีเหมือนกัน..

.

ไซมอนมารับฉันแล้วเขาพาไปที่แฟลตครอบครัวน้องสาวน้าสะใภ้ที่Plasir ris(เรียกแบบไทยๆว่าปลาสลิด)เป็นเหมือนแฟลตเมืองทองแต่ดูเป็นระเบียบและสะอาดกว่า..ขนาดของห้องประมาณ104ตรม.มี3ห้องนอน1ครัว2ห้องน้ำและ1ห้องรับแขกมีคนอยู่รวมกัน10คน..ไซมอนจะรีบไปทำงานแล้วสัก1ทุ่มเลิกงานแล้วจะมารับพาไปดูตึกซันเท็ก(น้ำพุแห่งโชคลาภ)..หาอาหารกินและไปดูmerlion(ฉันฟังเสียงเรียกเป็นมาลายันซะงั้น)ช่วงระหว่างถูกปล่อยเดี่ยวให้อยู่กับญาตินี่..เป็นอะไรที่ทั้งซึ้งและขำ.มีญาติข้างน้าสะใภ้อยู่คนหนึ่งพอจะคุย/เข้าใจภาษาอังกฤษได้จึงต้องไหว้วานเขาช่วยแปลให้หน่อยว่าเราพูดกันว่าอะไร..ซึ่งเป็นการสนทนาที่มึนงงพอสมควร ภาษาอังกฤษแบบสิงค์กริซปะทะกับภาษาอังกฤษแบบทิงกริซสลับกับภาษาจีนแบบไม่ปะติดปะต่อแต่ก็พอสื่อกันได้บ้าง.น้าทองอินทร์ถามถึงแม่ของฉันว่าสบายดีไหมก็เลยเล่าให้ฟังว่าแม่ตายแล้วน้าพยักหน้ารับทราบแต่เจ้าเมี่ยวมินร้องไห้มีน้ำตาไหลออกมาและทำท่าเหมือนจะปลอบ..ฉันจึงต้องบอกกับคนช่วยแปลว่าไม่เป็นไรอย่าเสียใจแม่ฉันไปสบายดีแล้วไม่ได้ทรมานอะไร..เป็นคำพูดที่ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆและหลังจากพูดไปแล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองลดความหม่นหมองในใจลงไปได้มากและเข้าใจว่าเพราะอะไรฉันถึงต้องเดินทางมาหาและร่วมงานแต่งลูกสาวของน้าอินทร์ในครั้งนี้...

หมายเลขบันทึก: 222760เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2008 01:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท