เดือนมีนาคม 2549 เก็บข้อมูลภาคสนาม (ครั้งที่4)
เก็บข้อมูลที่พื้นที่ภาคสนามอำเภอกุดชุม
และตัวจังหวัดยโสธร(ในส่วนของหน่วยงานราชการ)
พบปัญหาที่เกิดขึ้น - การเข้าไม่ถึงตัวผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร
อาจเนื่องเพราะหน้าห้องแนะนำให้ไปที่ ท้องถิ่นจังหวัด
ซึ่งอยู่ภายในตึกเดียวกันแทน จากนั้น เดินทางไปที่สหกรณ์จังหวัดยโสธร
เพื่อสัมภาษณ์เก็บข้อมูล ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ได้ขอให้คณะสังคมฯ
มช.ออกหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้
ทำให้การเก็บข้อมูลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในส่วนของสหกรณ์จังหวัด
ที่อำเภอกุดชุม - นายอำเภอไม่สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดได้มากนัก
เนื่องเพราะย้ายเข้ามารับราชการตำแหน่งนายอำเภอที่นี่ใหม่
แต่ก็เรียกเกษตรอำเภอระดับหัวหน้ามาให้รายละเอียดลักษณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างอำเภอกับโรงสีข้าวฯ
ซึ่งได้ข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติมมากขึ้น
ที่โรงพยาบาลอำเภอกุดชุม - ผู้อำนวยการโรงพยาบาล
แนะให้คุยสัมภาษณ์กับเภสัชกรระดับ7ของโรงพยาบาลซึ่งดูแลด้านสมุนไพร
ทั้งการผลิต การอบ การบรรจุภัณฑ์
ทำให้ทราบลักษณะความสัมพันธ์เกี่ยวกับงานของโรงพยาบาลและเครือข่ายของโรงสีข้าวฯ
การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วมในชุมชนพบว่า
ประเพณีเก่าก่อนโดยเฉพาะในภาคอีสาน
ยังคงเป็นตัวยึดเหนี่ยวให้คนเข้ามามีส่วนร่วมกัน
การเข้ามามีส่วนร่วมใน"งานบุญ" ทำให้สังเกตได้ชัดว่า
เมื่อมีกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้นภายในชุชนและเป็นสิ่งสร้างสรรค์
ผู้คนจะให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างดี
เป็นองค์ประกอบหนึ่งของความเข้มแข็งของกิจกรรมโรงสีฯ
การสัมภาษณ์ สหกรณืจังหวัดทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น
ทางสหกรณ์จังหวัดต้องการทราบข้อมูลในส่วนที่เราลงพื้นที่ชุมชนด้วย
แต่ข้อมูลบางอย่างบอกสหกรณ์จังหวัดไปอาจมีผลกระทบด้านลบต่อทางโรงสีฯ
จึงต้องบอกเพียงบางส่วน ทั้งนี้เพราะข้อมูลเชิงลึกที่พบ
ชาวบ้านเล่ามาทั้งหมดแล้วบอกให้เราเก็บเป็นความลับไม่ให้เผยแพร่ก็มี
ด้านความเป็นนโยบายสาธารณะ - -
ทางอำเภอกุดชุมเองได้จัดกิจกรรมทางด้านการเกษตรอินทรีย์มาแล้วหลายปีโดยเอากลุ่มโรงสีข้าวชมรมรักษ์ธรรมชาตินี้เป็นกลุ่มนำร่อง
สหกรณ์จังหวัดเองก็ให้ความเห็นว่า
กลุ่มเครือข่ายและกิจกรรมของทางโรงสีข้าวฯ สร้างให้ชุมชนเข้มแข็ง
มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
หากกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะจะเป็นสิ่งที่ดีที่น่านำไปใช้เป็นแบบอย่างกับกลุ่มอื่นๆ
แต่ทั้งนี้...จากการสังเกตเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการบางส่วน(ขณะสัมภาษณ์)
มองออกว่าเขาไม่ต้องการให้ชาวบ้านมีอำนาจต่อรองมากนัก
การติดยึดกับเจ้ายศเจ้าอย่างคงมีอยู่สูง
ซึ่งแสดงออกให้เห็นเล็กน้อย
โอ มสช.
เขียนเมื่อ 20 เมษายน 2006 10:43 น. ()
ไม่แน่ใจว่า เคยให้ข้อมูลเรื่องที่มสช.
มีการให้ทุนกับโครงการโครงการนโยบายสาธารณะเพื่อความปลอดภัยด้านอาหารและเศรษฐกิจการค้าที่ยั่งยืน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์
http://www.hppthai.org/subject/show_subject.php?id=51%20&PHPSESSID=ab1b745aabb600a1539625021299e109
ที่อยากแนะนำคือคุณธวัชชัย โตสิตระกูล
พี่เขาทำงานเรื่องเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดยโสธรด้วย
หากได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องที่ทำอยู่กับพี่เขาก็จะทำให้เราเห็นภาพที่เชื่อมโยง
ลองติดต่อพูดคุยกับพี่เขาก่อนในระหว่างที่กำลังเขียนเล่มน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
ติดต่อที่
สหกรณ์กรีนเนท จำกัด (Green
Net Cooperative)
มูลนิธิสายใยแผ่นดิน (Earth Net
Foundation)
183 อาคารรีเจนท์เฮาส์
ถนนราชดำริ, ปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ : 651-9055-6, 651-9073
โทรสาร: 651-9072
website : http://www.easywebtime.com/es2014gon/index.html
ถ้ามีความคืบหน้ายังไง ก็เขียนมาเล่าให้เพื่อนๆ อ่านด้วยนะคะ
อนุสรณ์ งอมสงัด
เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2006 14:29 น. ()
คุณธวัชชัย โตสิตระกูล เป็นกรรมการของโรงสีข้าวชมรมรักษ์ธรรมชาติ
หากแต่ไม่ค่อยอยู่ในพื้นที่ ผมลงพื้นที่ทั้ง 4
ครั้งไม่เจอและไม่ได้สัมภาษณ์ อาจเพราะเวลาไม่ตรงกัน
.....
วัตถุประสงค์ของวิทยานิพนธ์ เพื่อศึกษาลักษณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
กับ โรงสีข้าวฯ
ในการนี้จึงได้ทำการสัมภาษณ์ทั้งฝั่งของหน่วยงานราชการและองค์กรชุมชนคือโรงสีข้าวฯ
ซึ่งการสัมภาษณ์ทั้งหมดที่ได้จะนำมาประมวลผล
จากความรู้ตามหลักวิชาที่เรียน
และขั้นตอนสุดท้ายคือการกำหนดออกมาเป็นนโยบายสาธารณะท้องถิ่น
ซึ่งเป็นผลรวมสุดท้ายของการศึกษาตามกรอบแนวคิดที่ได้วางไว้และนำเสนอในโครงร่างวิทยานิพนธ์
.....
เมื่อวาน (25 เมษายน 2549) รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ
รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง
จัดเสวนาเกี่ยวกับธรรมาภิบาลกับการจัดการปัญหาในท้องถิ่น
ซึ่งได้กล่าวถึงนโยบายสาธารณะท้องถิ่น
เป็นประโยชน์และต่อยอดความรู้ในการเพิ่มเติมเนื้อหาของวิทยานิพนธ์ได้มาก
วันหน้าจะเขียนถึง
การลงพื้นที่ภาคสนามแต่ละครั้งลงไว้ให้อ่านครับ
อนุสรณ์
เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2006 14:31 น. ()
พฤษภาคม 2549
การเขียนวิทยานิพนธ์เริ่มเข้าสู่ 70 % ของDraft ที่ 1
เพื่อเสนอให้ประธานควบคุมวิทยานิพนธ์อ่านวิทยานิพนธ์เพื่อเสนอแนะเพิ่มเติมเนื้อหา
การเขียนวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ได้ปรับรูปการเขียนใหม่
จากการอ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของรุ่นที่ผ่านมาจะมีฟอร์มคล้ายกัน
มีการเรียงลำดับในการเขียนแบบเดียวกัน
แต่ยังไม่แตกยอดของการเขียนที่แตกต่างออกไป
คณะรัฐศาสตร์ มช.
จากการประชุมสภาอาจารย์ให้ทบทวนรูปแบบการเขียนวิทยานิพนธ์ใหม่
ทำให้ข้าพเจ้าต้องถอดรื้อการเขียนจากฟอร์มตามแบบรุ่นก่อนๆ
ได้หันมาเขียนในรูปแบบของการผสมผสาน
พฤษภาคม 2549
ทำให้ข้าพเจ้าสับสนทางการเขียนมากขึ้นกว่าเดิมในการเรียบเรียงข้อมูลและผลการศึกษาที่จะมาเขียน
สาเหตุของความสับสนอาจเป็นเพราะการจัดเก็บเอกสารไม่เป็นหมวดหมู่
หนังสืออ่านประกอบค่อนข้างเยอะแต่ไม่เป็นระเบียบในการจัดเก็บ
ทำให้เวลาจะนำมาทำงานนั้นหายากเพราะกองรวมกัน
อีกทั้งเอกสารที่เป็นกระดาษจากการถ่ายเอกสารเป็นสิ่งที่หายากเพราะซ้อนทับกัน
ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าพเจ้าไปหาซื้อแฟ้มมาถึง 5 แฟ้มใหญ่ๆ
เพื่อจัดหมวดหมู่เอกสาร(ไม่ให้รกห้องด้วย)ให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการนำออกมาใช้
พฤษภาคม 2549 อีกนั่นแหละ - ข้าพเจ้าต้องน้ำหนักตัวลดลง 2
กิโลกรัมจากที่ไม่มีให้ลดแล้ว
การออกกำลังกายแทบจะไม่มีเวลาเพราะมัวแต่อ่านๆๆ เขียนๆๆ
เวลากลางคืนเป็นเวลาอันสงบไม่มีเสียงรบกวนจากรถที่วิ่งเส้นทางหน้าหอพัก
ทำให้ข้าพเจ้าใช้เวลานั้นในการทำงาน และใช้เวลากลางวันเป็นเวลานอน
โลกของข้าพเจ้าเลยกลับด้าน ... ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า
นี่แค่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาไทย
ถ้าหากเขียนเป็นภาษาอื่นคงวุ่นวายมากกว่านี้หลายเท่าตัว
อนุสรณ์
เขียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2006 15:02 น. ()
วันนี้วันวิสาขบูชา วันสำคัญทางศาสนาของโลก -
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หยุดการทำงานเขียนวิทยานิพนธ์ นอนตอน 05.30 น.
ตื่นอีกทีตอน 09.30 น. กระแตออกมาวิ่งเหยาะๆบนต้นลิ้นจี่หน้าห้องพัก
ตกบ่ายแดดร้อนแทบจะไม่อยากออกไปไหน
พอถึงเย็นฝนก็ตั้งเค้ามาเยี่ยมเยือนถึงที่ อากาศเป็นใจ ----
ให้เราง่วง
...ลวงเลยมาจนถึงวันนี้
งานวิทยานิพนธ์เริ่มจะเข้าเค้าเข้ารอยกับเขาซะที
เริ่มจากระบบการเขียนที่ปั่นป่วนกวนประสาทในตอนแรก
มาปรับใหม่ใส่แฟ้มแยกหมวดหมู่ ค่อยสะดวกต่อการเรียกใช้
แต่สิ่งที่กังวลในระยะแรกอีกสิ่งหนึ่งเห็นจะเป็นการถอดคำสัมภาษณ์
ซึ่งลำบากในการถอดมาก บางคนสั้น บางคนยาว
บางคนเข้าป่าเข้าพงไม่เข้ากับงานแต่ก็ต้องจับประเด็นแล้วถอดคำสัมภาษณ์เพื่อบรรจุลงในงานในการเรียบเรียง
...
การลงพื้นที่เก็บข้อมูล -
เราจะพบอาการดีใจของคนแก่ที่เราเข้าไปสัมภาษณ์
นั่นละคือการระบายประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน
รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของครอบครัวเขาให้เราฟัง
สนุกเหมือนนิยายและจับประเด็นเวลาถอดคำสัมภาษณ์แทบทำเอาเราหลับ
พื้นที่ที่ลงเก็บข้อมูลภาคสนามเป็นพื้นที่ภาคอีสาน ----
ก่อนอื่นออกตัวอีกครั้ง การทำวิจัยครั้งนี้เป็นเชิงคุณภาพเน้นๆ
การสัมภาษณ์และการสังเกตจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญคือสนุกครับ
การกินการอยู่และลักษณะพื้นเพทางประเพณีจะมีความสนุกปนอยู่ทุกรูขุมขน
(อันที่จริงข้าพเจ้าก็คนภาคอีสาน)
ข้าพเจ้าลงพื้นที่ 4 ครั้ง
เพื่อนรุ่นพี่ที่ลงไปเป็นผู้ช่วยนักวิจัยเก็บข้อมูลช่วยกล่าวแซวข้าพเจ้าว่า
หากมีการลงพื้นที่ตรงนี้เป็นครั้งที่ 5
คงไม่ต้องซื้อหาอาหารเพราะเดินไปบ้านหลังไหนเขารู้จักเราแล้ว