ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย 11


รู้ไว้ใช่ว่า

ทำไมเกย์ต้องสีม่วง

สีม่วงเป็นสี 2 วรรณะ คือเป็นได้ทั้งร้อนและเย็น
สีม่วงเป็นสีที่บอกถึงความไม่แน่นอน เป็นสีที่ให้ควารู้สึกเศร้าและร่าเริงได้ในสีเดียวกัน
นอกจากเกย์ใช้สีม่วง แล้วสีม่วงก็เป็นสีแม่ม้ายด้วย
จริง ๆ แล้วสีของเกย์คือสีรุ้ง เพราะบุคคลที่เป็นเกย์จะแสดงถึงหลากอารมณ์กว่าหญิงชาย แต่เนื่องด้วยที่หลาย ๆ คนเข้าใจว่า ทำไมเกย์ต้องเป็นสีม่วง เพราะสีม่วงเป็นสีของแม่ม่าย หรือความเป็นโสด ซึ่งคนในสมัยก่อนก็จะคิดว่าคนเป็นเกย์ไม่มีคู่ จึงทำให้คนสมัยก่อนให้สีม่วงแก่เกย์คะ.

 

ความหมายของเลขประจำตัวประชาชนทั้ง 13 หลัก

--------------------------------------------------------------------------------


หลักที่ 1 หมายถึงประเภทบุคคลซึ่งมี 8 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
ประเภทที่ 2 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
ประเภทที่ 3 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
ประเภทที่ 5 ได้แก่ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ
ประเภทที่ 6 ได้แก่ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฏหมาย แต่จะอยู่ในลักษณะชั่วคราว
ประเภทที่ 7 ได้แก่ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย
ประเภทที่ 8 ได้แก่ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฏหมาย คือ ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว คนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย


หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลข สำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัด หลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอ หรือเทศบาล


หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ ของสูติบัตร แล้วแต่กรณี


หลักที่ 11 และ 12 หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท หรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่ม แล้วแต่กรณี


หลักที่ 13 คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก

เมื่ออ่านจบแล้วทุกท่านก็ควักบัตรประชาชนมาดูกันทุกคนเลย

ที่มาของ "ไอศกรีม"
จากการค้นคว้าย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์มีหลายตำนานระบุถึงถิ่นกำเนิดของไอศกรีม ตำนานแรกย้อนหลังไปสมัยศตวรรษที่ 1 จักรพรรดิเนโรห์ แห่งอาณาจักรโรมันได้พระราชทานเลี้ยงไอศกรีมแก่เหล่าทหารที่อยู่ในกองทัพ โดยทรงออกคำสั่งให้ทาสไปขุดน้ำแข็งจากภูเขานำมาผสมเข้ากับน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งต่อมาเรียกไอศกรีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบ็ทหรือซอร์เบท์

อีกตำนานที่แพร่หลายมากกว่ามาจากฝั่งตะวันออกบอกว่ากลุ่มชนที่เป็นต้นกำเนิดไอศกรีมที่เก่าแก่ที่สุดคือ คนจีนโดยรู้จักการนำหิมะมาผสมกับน้ำผลไม้เมื่อราว 4 พันปีมาแล้ว ซึ่งไอศกรีมจะดูเหมือนนมขุ่นๆ แช่แข็ง ไม่ได้เป็นครีมนุ่มๆ อย่างทุกวันนี้ เนื่องจากตอนนั้นประเทศจีนเพิ่งจะเริ่มมีการรีดนมจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม นมจึงจัดเป็น อาหารที่มีราคาแพง พวกชนชั้นสูงจะนำนมไปหมกไว้ในหิมะเพื่อถนอมอาหารจนกลายเป็นนมแช่แข็ง หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนาทำน้ำผลไม้แช่แข็งรับประทานกัน พอถึงต้นศตวรรษที่ 13 ขนมแช่แข็งสารพัดชนิดก็มีวางขาย เข็นขายกันตามถนนและทุกซอกซอยทั่วกรุงปักกิ่ง ว่ากันว่าเป็นที่มาของน้ำแข็งใสในปัจจุบัน

จนปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โคโปโลซึ่งเดินทางไปใช้ชีวิตในจีนนาน 16-17 ปี ได้นำสูตรนี้กลับมาแพร่หลายในอิตาลีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คนตะวันตกรู้จักการนำน้ำแข็งและเกลือมาเป็นส่วนผสมเพื่อทำให้เกิดความเย็น คนอิตาเลียนจึงถือว่าตนเป็นต้นตำรับไอศกรีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง เรียกว่าเจลาติน

จากนั้นไอศกรีมเดินทางไปถึงฝรั่งเศส ในงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรส ระหว่างแคเธอรีน เดอ เมดิซี แห่งเวนิส กับว่าที่กษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 แห่งฝรั่งเศสในปี1533 ซึ่งนอกจากจะเสิร์ฟของหวานแช่แข็งหลากรสแล้ว ยังมีการเสิร์ฟของหวานกึ่งแช่แข็งที่ทำจากครีมข้นหวานซึ่งมีลักษณะคล้ายไอศกรีมในปัจจุบัน

หลังจากที่หมอชาวสเปนในกรุงโรมคนหนึ่งได้พบเทคนิคพิเศษที่ว่า อุณหภูมิของ ส่วนผสมในการทำไอศกรีมแช่แข็งจะลดลงถึงจุด เยือกแข็งได้อย่างรวดเร็วขึ้น หากเติมดินประสิวลงในหิมะหรือน้ำแข็งที่อยู่รอบถัง เมื่อนั้นชาวฟลอเรนซ์จึงเป็นผู้ริเริ่มผลิตของหวานแช่แข็งที่ทำจากครีมล้วนๆ ชนิดแรกของโลก

ไอศกรีมเดินทางไปอังกฤษ จากบันทึกพบว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงรับสั่งให้พ่อครัวทำไอศกรีมให้เสวยและให้เก็บเป็นความลับด้วย


ไอศกรีมข้ามไปอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันมาก ขนาดที่ว่า ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ลงทุนถึง 200 ดอลลาร์ซื้อเครื่องปั่นไอศกรีมไปทำกินเองในหน้าร้อน จากบันทึกพบว่า มีการเรียกขานคำว่า ไอศกรีม เป็นครั้งแรกในปี 1673 ตอนนั้นหน้าตาของไอศกรีมจัดเป็นประเภทเดียวกับไอซ์ทีหรือชาเย็น กับไอซ์คอฟฟี หรือกาแฟเย็น จึงตั้งชื่อคล้ายๆ กันแม้ว่าต่อมาหน้าตาของไอศกรีมจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็ตาม

ร้านไอศกรีมร้านแรกเปิดที่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐในปี 1776 ในปี 1782 มีบันทึกว่าในงานเลี้ยงฟิลาเดลเฟียปาร์ตี้ ซึ่งเจ้าภาพคือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่การก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐอเมริกา โดยมีการทำไอศกรีมเสิร์ฟแขกผู้มีเกียรติให้หวานชื่นใจกันทั่วงาน

สำหรับต้นกำเนิดไอศกรีมซันเดย์นั้น มีหลายตำนานด้วยกัน ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับ ซันเดย์ หรือวันอาทิตย์แทบทั้งสิ้น เรื่องแรกเกิดขึ้นในยุควิคตอเรียน ในสหรัฐอเมริกา มาจากคำบอกเล่าของ จอร์จ กิฟฟี่คนดังแห่งรัฐวิสคอนซิน ระบุว่า เดิมทีการดื่มโซดาวันอาทิตย์ อันเป็นวันประกอบพิธีทางศาสนาและพักผ่อนของชาวคริสต์เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม กระทั่งหลายเมืองออกกฎหมายห้ามจำหน่ายโซดาในวันอาทิตย์ เจ้าของร้านขายยาต่างๆ ในเอแวนสตัน อิลลินอยส์ จึงได้บรรจุไอศกรีมและน้ำหวานไว้เป็นรายชื่อของถูกกฎหมายที่มีจำหน่ายในวันอาทิตย์เพื่อเป็นทางเลือกแก่ลูกค้า โดยในวันอาทิตย์ที่อเมริกันชนชาวคริสต์ส่วนใหญ่ไปเข้าโบสถ์ ในวันนี้ผู้คนจะแต่งตัวสวยงามเมื่อเสร็จพิธีในโบสถ์แล้วก็จะชักชวนกันไปหาของหวานกินกัน ซึ่งไอศกรีมเป็นของหวานชนิดแรกๆ ที่ได้รับเลือก
อย่างไรก็ตามต่อมาคำว่า “Sunday” ได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ “Sundae” สาเหตุจากการที่ในหมู่คริสต์ศาสนิกชนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้นำในแวดวงศาสนาได้ออกมาโจมตีว่าการนำคำว่า “Sunday” มาใช้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากวันอาทิตย์เป็นวันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งการนำวันดังกล่าวมาตั้งเป็นชื่อของหวานเป็นสิ่งไม่บังควร เป็นที่มาของไอศกรีมซันเดย์ที่สะกดว่า Sundae ของไอศกรีม

อีกเรื่องเล่าว่า ร้านขายยาชื่อ แพลตต์แอนด์โคต์ โดยนายเชสเตอร์ แพลตต์ เจ้าของร้านซึ่งปกติตักไอศกรีมขายแบบธรรมดา แล้วจู่ๆ ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง เกิดไอเดียตักไอศกรีมใส่ถ้วยแชมเปญแล้วนำเอาน้ำเชอรี่ราดลงบนก้อนไอศกรีมและประดับด้วยผลเชอรี่แช่อิ่มบนยอดดูสวยงามน่ารับประทาน โดยตั้งชื่อเมนูพิเศษนี้ว่า Cherry Sunday โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า เพราะปิ๊งไอเดียในวันนี้และวางขายในวันอาทิตย์ เรียกร้องความสนใจจากลูกค้าขาประจำและขาจรได้เป็นอย่างดี


ในปี 1812 นางดอลลี่ เมดิสัน ได้คิดค้นเครื่องโรยหน้าไอศกรีมสารพัดอย่างเพื่อเสิร์ฟเป็นของหวานในงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว

กระทั่งในปี 1843 นางแนนซี่ จอห์นสัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ได้คิดค้นเครื่องผลิตไอศกรีมแบบมือเขย่าขึ้น ซึ่งเธอสามารถขายสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นี้ด้วยราคา 200 เหรียญสหรัฐ อีก 7 ปีต่อมา จาค็อบ ฟัสเซลล์ ผู้รับซื้อนมได้เปิดธุรกิจไอศกรีมขึ้นเป็นเจ้าแรก


ว่ากันว่าไอศกรีมโคนเกิดขึ้นในงานออกร้าน เซ็นต์หลุยส์ แฟร์ในรัฐมิสซูรี่ เมื่อปี 1904 เมื่อนายอาร์โนลด์ ฟอร์นาโช คนขายไอศกรีมเกิดขาดแคลนกระดาษ สำหรับ ใส่ไอศกรีมขึ้นมาเลยไปคว้าเอาแผ่นวอฟเฟิลจากร้านขายวอฟเฟิลของนาย เออร์เนสต์ แฮมไว ที่อยู่ข้างๆ มาม้วนเป็นกรวย แล้วใช้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุไอศกรีมเป็นอันว่า ได้มีการม้วนแผ่นวอฟเฟิลทำเป็นโคนเรื่อยๆ แต่นายอิตาโล มาร์ชิโอนี่ ชาวอิตาเลียน อ้างว่าตนเองเป็นผู้คิดค้นไอศกรีมโคนขึ้นเป็นเจ้าแรกตั้งแต่ปี 1896


จนถึงปี 1912 เฟรเดอริก บรุคแมน นักประดิษฐ์จากรัฐโอเรกอน ได้จดลิขสิทธิ์เครื่องจักรผลิตไอศกรีมขึ้น
ในสหรัฐมีการนำเข้าน้ำแข็งแห้งหรือคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง ในปี 1930 เพื่อใช้เก็บรักษาไอศกรีม
ไอศกรีมโซดาถือกำเนิดขึ้นเมื่อ โรเบิร์ต เอ็ม. กรีน ผู้จำหน่ายโซดาในฟิลาเดเฟีย คิดค้นส่วนผสมระหว่างน้ำโซดา ครีม น้ำหวาน ในปี 1929 วิลเลียม เดรเยอร์ผู้ผลิตไอศกรีม และคู่หู โจเซฟ เอดี้ ผู้ผลิตลูกกวาด เป็นผู้ริเริ่มไอศกรีมยี่ห้อ ร็อกกี้ โร้ด เป็นเจ้าแรกของโลก

ส่วนวิปป์ครีมที่ประดับสวยอยู่บนหน้าไอศกรีมนั้น เกิดมาจากความขี้เกียจตีครีม ของนายชาร์ล โกทซ์ นักเคมีชั้นยอดแห่งมหาวิทยาลัย อิลลินอยส์ ผู้คลุกคลีในกิจการไอศกรีมจึงทำให้เขาค้นพบวิธีการทำให้ไอศกรีมอิ่มตัวด้วยการใช้ก๊าซไนตรัสออกไซด์หรือก๊าซหัวเราะ

ในเมืองไทยไอศกรีมเข้ามาช่วงไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าคงมาหลังสมัย ร.5 ซึ่งมีการผลิตนํ้าแข็งกินเอง ไอศกรีมตอนนั้น ทำจากนํ้าหวานหรือนํ้าผลไม้นำไปปั่นเย็นจนแข็ง ไม่มีนมหรือครีมผสมด้วย เรียกว่า "ไอติม" ใช้แรงคนในการปั่น โดยมีหม้อทองเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 50-60 ซม.สูง 30 ซม.ภายในมีรูคล้ายลังถึงสำหรับเสียบกระบอกโลหะทรงกลมขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ภายในบรรจุนํ้าผลไม้หรือนํ้าหวาน กระบอกนี้คือแม่พิมพ์ที่ทำให้ไอติมเป็นแท่ง
การปั่นต้องใช้มือจับหูหม้อทองเหลืองทั้ง 2 ข้าง และแกว่งหรือหมุนไปมาในถังไม้ที่ใส่นํ้าแข็งผสมเกลือ หลังจากปั่นได้ 1/2 - 1 ชม.ไอของความเย็นจะเริ่มเกาะรอบนอกของกระบอกนํ้าหวานข้างในจะเริ่มแข็งตัว ช่วงนี้เองที่ต้องเสียบไม้เข้าไป ตรงกลางเพื่อ เอาไว้จับกินหมุนต่อไปอีกจนไอติมแข็งตัว จึงเอากระบอกโลหะไปจุ่มในนํ้าอุ่นเพื่อ ให้ดึงไอติมออกจากกระบอกง่ายขึ้น นำไปใส่กระติกเร่ขาย ปัจจุบันมีพ่อค้าฟื้นการทำไอติมแบบนี้ออกขายด้วย

ต่อมาบริษัทป๊อบผู้ผลิตไอศกรีมตราเป็ด ซึ่งเป็นผู้ผลิตไอศกรีมรายแรกของเมืองไทย ได้สั่งซื้อเครื่องทำไอศกรีมจากต่างประเทศ มาผลิตไอศกรีมได้ครั้งละมาก ๆ เน้นความสะอาดและคุณภาพ ทำให้ไอศกรีมเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
ไอศกรีมตราเป็ดยุคแรก ๆ ยังเป็นไอติมหวานเย็น ต่อมาจึงดัดแปลงรสชาติใหม่ ๆ เป็น เป็นรสระกำ เฉาก๊วย ลอดช่อง โอเลี้ยง ข้าวเหนียวแดง ถั่วดำ ฯลฯ พร้อมกับนำสูตรใส่นมจากต่างประเทศใส่ถ้วย ทำให้เนื้อไอศกรีมละเอียดและเนียน คนจึงนิยมกินไอศกรีมใส่นมหรือครีมกันมาก ส่วนไอศกรีมที่เป็นผลงานโลโก้ของไทยคือ ไอติมกะทิ

โดยใช้กะทิสดผสมนํ้าตาล ใส่แทนนมและครีม ที่อาจจะเป็นไปได้มากว่าไอศกรีมกะทิมีต้นกำเนิดจากเมืองไทยเป็นแห่งแรก และไม่ต้องใช้กระบอกทำเป็นแท่ง แต่ใช้ตักใส่ถ้วยเป็นลูกๆ ซึ่งมีคำเรียกขานใหม่ว่า "ไอติมตัก" ต่อมาจึงมีการตักใส่ถ้วยกรอบ และขนมปังผ่ากลาง จุดเด่นของไอศกรีมกะทิคือดัดแปลงให้มีรสชาติต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น เติมลอดช่อง เม็ดแมงลัก ข้าวโพด ขนุน ทุเรียน และเผือก เป็นต้น

บริษัทป๊อปลงทุนทำเป็นรถซาเล้งเพิ่มขึ้น มาจึงได้รับความนิยมเพราะคนขายไม่ต้องซื้อรถเอง โดยไอติมตราเป็ดเป็นยุคแรก ๆ ที่เริ่มพัฒนามาใช้รถสามล้อถีบ คนขายถือ Duck Call เสียงดังคล้ายเป็ด เพื่อเรียกลูกค้า นับตั้งแต่นั้นมาสามล้อถีบก็กลายเป็นทั้งสัญลักษณ์ และกลยุทธ์ในการขายไอศกรีม หลายยี่ห้อ เช่น โฟร์โมสต์ ครีโม วอลล์ ฯลฯ

ไอติมเหล่านี้มีลูกเล่นกับลูกค้าหลายรูปแบบ บางคนอาจจะเคยกินไอติมที่ปลายไม้ป้ายสีแดง แล้วนำไปแลกได้ฟรีอีก 1 แท่ง ขณะที่ไอติมป๊อปใช้วิธีสลักคำว่าฟรีบนไม้ ใครพบคำนี้นำมาแลกฟรี 1 แท่ง บางยี่ห้อใช้วิธีทายไม้สั้นไม้ยาว กำถั่ว โยนหัวโยนก้อย เหล่านี้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผลดีมาก

ซาเล้งขายไอติมซึ่งมีทั้งแบบแท่งและถ้วยครองตลาดอยู่นาน ขณะที่ร้านขายไอศกรีมยังไม่มีใครทำ กระทั่งปี 2520 "ศาลาโฟร์โมสต์" จึงเกิดขึ้น และเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นมาก เด็กมัธยมสมัยนั้นเลิกเรียนหรือดูหนังเสร็จ ต้องนัดกันไป ที่ศาลาโฟร์โมสต์ ไม่กี่ปีหลังจากนั้น การแข่งขันก็เริ่มรุนแรงขึ้น ไอศกรีมลิขสิทธิ์ต่างประเทศ เข้ามาเมืองไทยอย่างมากมาย เช่น สเวนเซ่นส์,บาสกิ้น - รอบบิ้น และแดรี่ควีน เป็นต้น


ในทางการค้าปัจจุบันมีการจัดกลุ่มไอศกรีมไว้หลายประเภทเช่น Plain Ice Cream ไอศกรีม ที่ประกอบด้วยสารให้สีและกลิ่นในปริมาณน้อยกว่า 5% ของส่วนผสมทั้งหมด ,Chocolate มีส่วนผสมของโกโก้หรือชอกโกแลต, Fruit ไอศกรีมประกอบด้วย ผลไม้หรือกลิ่นผลไม้,Nut ไอศกรีมที่ผสมผลไม้เนื้อแข็ง เช่นอัลมอนด์ วอลนัท ถั่วลิสง ฯลฯ, Frozen Custard, French Ice Cream และ French Custard Ice Cream ไอศกรีมที่มีส่วนผสมของไข่แดงไม่น้อยกว่า 1.4 % ของนํ้าหนักผลิตภัณฑ์,

Fruit Sherbet ไอศกรีมทำจากนํ้าผลไม้ นํ้าตาลและนม ,Confection ไอศกรีมที่มี ลูกกวาดผสม เช่น Chocolate Chip, Neapolitan ไอศกรีม 2 รสในถ้วยเดียวกัน,Soft Serve Ice Cream หรือ Ice Milk ไอศกรีมที่ไข จากเครื่องปั่นไอศกรีมโดยตรงไม่ใช้การตัก และ Rainbow Ice Cream ไอศกรีมที่ไขจากเครื่องปั่นเช่นเดียวกัน แต่มีสีต่าง ๆ 6 สีขึ้นไป


ไอศกรีมเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ทำ ที่สำคัญเหมาะกับเด็กที่กำลัง เจริญเติบโตหรือคนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ปัจจุบันมีการผลิตไอศกรีมภูมิปัญญาไทยจากผลไม้ และสมุนไพรของไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางอย่างไม่นึกว่าจะทำได้ เช่น กล้วยเล็บมือนาง น้อยหน่า มะขาม เสาวรส หรือไอศกรีมดอกไม้ เช่นดอกกุหลาย ดอกเก๊กฮวย และดอกกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น

ที่มา THINK EARTH

โครงการ THINK EARTH ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 โดย ดร.พรเทพ พรประภา ผู้อำนวยการโครงการ THINK EARTH และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการ จำกัด ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของบิดา คือ ดร.ถาวร พรประภา ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามกลการ จำกัด ที่ว่า "เมื่อหากำไรมาได้ ต้องคืนกลับสู่สังคม" ด้วยความคิดบวกกับความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมข้อนี้ และความรักหวงแหนในสิ่งแวดล้อม ดร.พรเทพ พรประภา จึงได้จัดทำโครงการคืนกำไรสู่สังคมในด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในนามของ โครงการ THINK EARTH หรือ "คืนชีวิต .. คิดห่วงใยในผืนโลก" ขึ้น

ความหมายของคำว่า THINK นั้นคือ ความคิด กระบวนการคิด การสั่งสมองค์ความรู้ ตลอดจนการเกิดจิตสำนึกที่ดี ส่วนคำว่า EARTH นั้น มีความหมายแยกตามตัวอักษร หมายถึง

E-Environment สิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่ทำคือ การรณรงค์ให้หน่วยงานต่าง ๆ เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และแหล่งธรรมชาติ
A-Animals สัตว์ป่า คือ การรณรงค์ไม่ให้ล่า เลี้ยง หรือบริโภคสัตว์ป่า
R-Rivers แหล่งน้ำ คือ การรณรงค์ให้ผู้ที่อยู่อาศัยตามแนวแม่น้ำลำคลอง ช่วยกันรักษาแหล่งน้ำให้ปราศจากมลพิษและสิ่งปฏิกูล รวมไปถึงการดูแลทะเลด้วย
T-Trees ต้นไม้ คือ การรณรงค์ไม่ให้ตัดไม้ทำลายป่า และการร่วมมือกันปลูกต้นไม้ทั่วประเทศ เน้นการปลูกต้นไม้ขึ้นในจิตใจคนไทย
H-Humans มนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เพราะมนุษย์เป็นตัวการสำคัญในการทำลายล้างแหล่งธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

 

โรงสีทำไมต้องมีปล่องควัน

ควันถูกปล่อยออกมาอย่างสม่ำเสมอ ควันสีดำจากการเผาไหม้เปลือกข้าว แกลบหยาบคลุกน้ำมันเตา เผาต้มน้ำเพิ่มความร้อนในหม้อต้มความดันไอขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ไอน้ำร้อนความดันแรงสูงไปขับเคลื่อนเครื่องจักรไอน้ำให้ดำเนินงานการสีขัดข้าวเปลือกให้แกะรำออกจนได้ข้าวสารขาวเม็ดสวย

ดาวเทียมใช้พลังงานอะไร

ดาวเทียมต้องใช้กำลังไฟฟ้าเพื่อทำให้วิทยุและเครื่องมือทำงาน ถ้าหากไม่ต้องเคลื่อนไหวไปไกล ดาวเทียมสามารถบรรทุกแบตเตอรี่ของตนเองได้ แต่ปกติดาวเทียมจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์เหนือบรรยากาศแสงอาทิตย์ส่องสว่างจ้ากว่าบนโลก

เมื่อมันอยู่ในวงโคจรดาวเทียมจะกางแพงสุริยะออก ซึ่งทำจากเซลล์สุริยะเหมือนกับที่อยู่ในนาฬิกาและเครื่องคิดเลข ถ้าหากต้องการกำลังมากกว่านี้ ดาวเทียมสามารถนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโรงงานกำลังขนาดเล็กเหล่านี้จะเปลี่ยนความร้อนจากเศษกัมมันตรังสีเป็นไฟฟ้า

นักวิทยาศาสตร์บนพื้นดินใช้วิทยุสองทางเพื่อให้คำสั่งแก่ดาวเทียมแต่ละดวงดาวเทียมมีหนวดกุ้งส่งและรับสัญญาวิทยุเพื่อทำงานที่ถูกต้อง หนวดกุ้งต้องชี้ไปที่วิทยุซึ่งอยู่บนพื้นดิน เครื่องมือของมันต้องชี้ไปในทางที่ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน

ดาวเทียมส่วนใหญ่มีกล้องบอกตำแหน่งของวัตถุ กล้องบอกตำแหน่งวัตถุที่เชื่อมวิทยุของดาวเทียมจะบอกว่าเมื่อไรที่ดาวเทียมหมุนไปในทางผิด

เครื่องบอกความช้าเร็วของยานจะบอกถ้าดาวเทียมเคลื่อนไหวเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป บางครั้งมีการใช้สัญญาณไฟจากวิทยุจากการติดตามสัญญาณจากสองจุดนักวิทยาศาสตร์สามารถบอกว่าดาวเทียมอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะหรือไม่ ถ้าต้องการให้ดาวเทียมเคลื่อนที่ก็จะยิ่งเครื่องยนต์จรวดขนาดเล็ก

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ความรู้
หมายเลขบันทึก: 218920เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 16:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 21:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท