“ลืม” อาการแบบนี้ เกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยไหมค่ะ ลืมกระเป๋าสตางค์ ลืมกุญแจบ้าน ลืมเอกสาร ลืมนู่น ลืมนี่สารพัด ลืมได้ง่ายๆ ของหายได้ตลอดเวลา หาเท่าไหรก็ไม่เจอ เพราะเรา “ลืม” จนบางครั้งทำให้เราลืมของสำคัญและของนั้นก็หายไป เสียไป เพราะอาการ “ขี้ลืม” ของเรา แปลกนะ คะ ลืมของ ลืมได้ ลืมง่าย แต่ลืมใครบางคนนี่สิ ลืมยาก ยิ่งคนๆนั้นทำให้เราเสียความรู้สึก เสียใจด้วยแล้วยิ่งไม่ลืม จำได้ จำความทุกข์เหล่านั้นได้ ทั้งที่ไม่อยากจะจำ บางครั้งเรื่องที่เราอยากจำกลับลืม เรื่องที่เราอยากลืมกลับจำนี้ ก็สร้างทุกข์ให้เราได้มหาศาลมานานแสนนาน แล้วเพื่อนๆจะคาดไม่ถึงเลยค่ะว่า แค่ “ลืม” แค่นี้ จะทำให้เราต้องกลายเป็นแบบนี้
“ทำไมเราต้อง ลืม ด้วย” อ่านให้ได้นะคะตอนนี้ ก็แค่ “ลืม” นี่แหละค่ะ ที่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป เคยอยู่สูงก็ลงต่ำ เคยอยู่ต่ำก็ลงต่ำไปอีก เพราะเราลืมสิ่งดีๆที่เราเคยทำไว้ ใช้ชีวิต นั่งๆ นอนๆ จมอยู่กับกองกิเลสตัณหาไปวันๆ สังสารวัฏนี่ยาวไกลนะคะ ถ้าเราจำได้ เราก็คงไม่ต้องเดินทางไกล แบกทุกข์กันอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายกันแบบนี้.....
นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ ๐๓๙ พฤหัสบดีที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๑
จากใจบก.ใกล้ตัว
เราคิดว่าจำอะไรอย่างนั้นได้นี่สุดยอดแล้ว เพราะมนุษย์เรายังจำอะไรอย่างนั้นไม่ได้เลย
แต่ความจริงเกี่ยวกับความจำที่อาจไม่สนุกนัก และนับเป็นเรื่องน่ากลัวของสังสารวัฏก็คือ
ธรรมชาติเองก็เล่นเกม "ลบความทรงจำ" ปล่อยให้เราทำดีทำชั่ว
และรับผลดีผลชั่วอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้มานับชาติไม่ถ้วนอยู่แล้ว
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจำได้ ว่าตัวเองเกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
ทำไมถึงเป็นอย่างที่เป็น และทำไมต้องเจอกับอะไรที่เจอ
ความทรงจำในอดีตชาติของเราถูกลบเลือนไปสิ้นในช่วงแห่งภวังค์ ๙ เดือนในท้องแม่
ถ้าเราจำได้ว่าเคยทำอะไรไว้ เคยถูกลงโทษไว้สาหัสสากรรจ์จนทุกข์ทรมานเพียงไหน
เราคงไม่กล้าอีก... ที่จะคบชู้สู่ชาย ทุจริตฉ้อโกง ทำร้ายหรือทำลายชีวิตใคร ฯลฯ
อย่างน้อยย่อมมีความเข็ดขยาดอย่างแรงกล้า แม้สิ่งยั่วยุตรงหน้าจะล่อใจเพียงใดก็ตาม
เหมือนเด็กที่รู้แล้วว่าการเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟมันเจ็บปวดขนาดไหน แล้วเข็ดที่จะทำอีก
แต่เพราะเราจำไม่ได้ และเราต่างก็ยังดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่รู้
และไม่สนใจกระทั่งที่จะศึกษาเรียนรู้ เราก็ได้แต่เสี่ยงผิดเสี่ยงถูก
ทำอะไรกันไปตามสัญชาตญาณเพื่อสนองกิเลสเฉพาะหน้าเป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเปรยขึ้นมาครั้งหนึ่งนะคะว่า
"ถ้าเราความจำดีนะ... จะหนาว..."
ท่านพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ แล้วก็ทิ้งท้ายไว้ด้วยความเงียบครู่หนึ่งอย่างนั้น
จนทำให้รู้สึกว่าคำว่า "จะหนาว" คำนั้น น่ากลัวและเย็นยะเยือกเกินจินตนาการยิ่งนัก
"ถ้ามองย้อนลงไป... มองย้อนลงไป...ได้นะ จะหนาวจริง ๆ
สังสารวัฏนี้น่ากลัว เพราะมันปิดบังตัวเองได้"
"นรกผ่านมาแล้วทุกคนนะ
เดรัจฉานเป็นมาแล้วนะ เป็นกันมาหมดแล้ว..."
หลวงพ่อท่านต่อท้ายไว้เสียน่าหนาวสันหลัง เคยคิดไหมคะว่า เราเคยทำอะไรไว้บ้าง
แล้วที่คิด ๆ ทำ ๆ อยู่ทุกวันนี้ จะซัดเราไปสู่อัตภาพแบบไหนหลังความตายได้อีก
เดรัจฉาน หรือนรกนั้น ไม่ใช่เรื่องเกินวิสัยเลยนะคะ เราเดิน ๆ กันอยู่แค่ปากเหวนี่เอง
ท่านถึงย้ำนักย้ำหนา ให้เราลุกขึ้นมาเพียรสู้เอาชนะกิเลสแบบยิบตา
เพราะเมื่อไหร่ที่อ่อนแอท้อแท้ถดถอย พลาดท่าเสียทีให้แก่กิเลสแม้สักครั้งหนึ่งแล้ว
มันไม่ใช่ถอยทีหนึ่งแค่ก้าวสองก้าว แต่มันถอยกันไปได้เป็นชาติ ๆ
ท่านเล่าว่าแม้พระอานนท์ก็เคยพลาดมาแล้ว อย่างที่เคยเล่าไว้ในฉบับก่อน ๆ นะคะว่า
เมื่อสมัยก่อนที่จะเป็นพระอานนท์ ท่านเคยทำบุญแล้วอธิษฐานขอให้เกิดมารูปงาม
พอเกิดมารูปงามเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ก็เกิดพลาดพลั้งผิดศีล ไปประพฤติผิดในกามเข้า
แค่นั้นก็เล่นเอาท่านต้องลงไปวนเวียนอยู่ในนรกเสียเป็นเวลานาน
ครั้นพอพ้นขึ้นมา ได้เกิดเป็นวัว ก็ถูกตอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นอีกห้าร้อยชาติ
พอได้มาเกิดเป็นคน ก็ยังไม่สมประกอบอีก ต้องผิดปกติทางเพศอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่
กว่าจะสมประกอบคืนมาได้ คิดดูนะคะไม่รู้กี่ชาติ เพียงแค่พลาดพลั้งไปชั่ววูบเท่านั้นเอง…
ถ้าเป็นมนุษย์กิเลสหนาอย่างเรา ๆ ที่ไม่มีความสามารถระลึกถึงอดีตชาติเช่นนั้นได้
ก็คงรับผลไปอย่างงง ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตัวเองนั่นแหละที่สร้างเหตุแห่งความเป็นเช่นนี้ไว้
แต่แปลกไหมล่ะคะ ในเรื่องที่ควรจะจดจำได้เพื่อใช้เป็นบทเรียน มันกลับลืม
แต่ในเรื่องที่ควรจะลืมเพื่อปล่อยความทุกข์จากสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว มันกลับจำ
"ความจำ" มีศัพท์เทคนิคในทางพุทธศาสนาอยู่คำหนึ่งนะคะ คือคำว่า "สัญญา"
ซึ่งไม่ได้หมายถึงคำมั่นสัญญานะคะ แต่มีความหมายถึง ความจำได้หมายรู้
พระพุทธเจ้าท่านอุปมาเปรียบเทียบ สัญญา หรือความจำนี้ ว่าเหมือนกับ พยับแดด
นึกภาพกันออกไหมคะ... ในวันฟ้าโปร่งยามเที่ยงวัน ท่ามกลางแดดกล้า
เราอาจเห็นแสงแดดจ้าที่ปรากฏในระยะไกล ส่องประกายเต้นอยู่ระยิบระยับวับวาว
ราวกับมีตะคุ่มเงาหรือผืนน้ำให้เห็นอยู่ไหว ๆ เบื้องหน้า
แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สิ่งที่เหมือนปรากฏให้เห็นเมื่อครู่นั้น
กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จับต้องได้สักอย่าง ไม่มีแม้สาระตัวตนใด ๆ
สิ่งที่เห็นเต้นไหว ๆ เหมือนมีชีวิตแกว่งไกวอยู่เบื้องหน้านั้น
เป็นเพียง "ภาพลวงตา"
เช่นกัน เราจำหน้าคนรักในอดีตได้ เห็นภาพที่นั่งอยู่ข้างกัน ฟังเพลงเดียวกัน พูดคุยกัน
เหมือนเขาและเธอปรากฏอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ จนบางทีเหมือนสัมผัสได้ราวกับมีตัวตน
แต่แท้จริงแล้ว ไม่ได้มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีกระทั่งตัวตนอะไรสักอย่าง...
สิ่งที่ใจหลงยึดไว้ว่ามีอยู่ มิได้ปรากฏเป็นแก่นสารสาระอันใดเลย นอกจากความว่างเปล่า
อย่างที่คุณดังตฤณว่าไว้...
สัญญาจะต่างกับพยับแดดที่ตรงไหน
ถ้าหากแค่ "เหมือนมี" แต่แท้จริง ไม่ได้มี
เราต่างหลงเข้าไปปรุงแต่งต่อเติมภาพลวงตานั้นกันแทบทั้งวันและทุกวัน
หลวงพ่อท่านจึงว่า น้อยคนนักในโลกนี้ที่จะ "ตื่น" อย่างแท้จริงทั้งที่ลืมตา
อาจเป็นเรื่องดีที่ธรรมชาติออกแบบมาให้เราจดจำอดีตชาติของตัวเองไม่ได้
เพราะขนาดจำไม่ได้ เรายังหลง "ยึด" บุคคลและเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตนี้ชีวิตเดียว
ไว้เสียเหนียวแน่นลึกล้ำ จนลากพาเอาความทุกข์และน้ำตามาแล้วอย่างประมาณไม่ได้
นับประสาอะไรกับคนและเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตนับล้าน ๆ ชาติที่เราเคยเกี่ยวพัน
เราหลับ ๆ ฝัน ๆ จำ ๆ ลืม ๆ ตื่น ๆ หลับ ๆ กันมาหลายภพหลายชาติแล้ว
หลงนึกว่าสิ่งนั้นมี สิ่งนี้มี แล้วก็ดิ้นรนไขว่คว้า ยึดเอาว่าเป็นตัวเรา ของเรา ตลอดเวลา
ภพต่อภพ ชาติต่อชาติ ไม่เคยจำได้ พร้อมที่จะทำผิดได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เคยเข็ดขยาด
ไม่เคยเห็นว่าทุกอย่างเป็นเพียงของหลอกและมายา ที่เราสมมติยึดถือเอาทั้งสิ้น
สังสารวัฏนั้นมีแต่ความน่ากลัวนะคะ...
ไม่มีอะไรเป็นประกันได้เลยว่า เกิดใหม่เราจะเป็นอย่างไร จะคิดอย่างไร
ไม่ว่าชาตินี้เราจะเป็นคนแสนดี หรือรู้จักจดจำข้อธรรมได้มากมายแค่ไหนก็ตาม
เราเลือกได้นะคะ ที่จะรอเวลาปล่อยให้ชีวิตนี้ดับสิ้นลงและผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง
เพียงเพื่อจะลืม แล้วก็ตื่นมาเดินตุปัดตุเป๋ เล่นเกมเดิม ๆ
ที่เต็มไปด้วยหลุมพรางอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกครั้ง
หรือเลือกที่จะ "ตื่น" จากความฝัน
แล้วหาทางเดินออกจากเกมแห่งความไม่รู้ที่น่ากลัวนี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกค่ะ ที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาทิ้งความยึดมั่นผิด ๆ เช่นนั้นได้
ก็ในเมื่อเวลาเราสะสมความเห็นผิด เราสะสมบ่มเพาะกันมาอย่างที่เรียกว่านับอนันตชาติ
เมื่อเราจะหันมาสะสมความเห็นถูกบ้าง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ในวันสองวันเป็นแน่
แต่ลองเชื่อตามพระพุทธเจ้าเถิดค่ะว่า
หากพากเพียรตามแนวทางของพระพุทธองค์แล้ว
เราย่อม "ตื่น" จากแหล่งพักพิงอันเป็นมายา
มาสู่ที่พึ่งอันปลอดภัยได้วันหนึ่งอย่างแน่นอน
จริงๆด้วยนะคะ
คนเราเนี่ยอะไรดีๆที่ไม่ควรลืมกลับลืมหมด
แต่อะไรที่ไม่ควรจะลืมกับไม่ลืม มันแปลกจริงๆ
ได้แง่คิดอะไรดีๆด้วยนะคะ
สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมทนาครับ
พระธรรมเป็นสิ่งล้ำค่า
พระธรรมเป็นแสงสว่าง
พระธรรมเป็นหนทางที่ประเสริฐ
ขอพระธรรมจงเป็นที่พึ่งของเหล่าประชาตลอดไป
ขอเหล่าประชาจงมีดวงตาภายในเห็นแสงแห่งพระธรรม นำส่องทางชีวิตชั่วนิตย์นิรันดร์
ขอบคุณครับผม อย่างผมนี่ลืมตัวครับ พยายามนึกถึงว่าปัจจุบันกำลังหายใจ กำลังพิมพ์ดีดเคลื่อนไหวนิ้วอยู่ รวมทั้งใช้สมองนึกคิด จิตรับรู้สัมผัส ตามองเห็นรูป ยังคงต้องพยายามต่อไปอีกนานครับ