ทำไมไม่เปิดประตู


ทำไมเราต้องถึงทำตามกันหรือเดินตามกัน ทั้งที่เราสามารถเลือกเดินไปที่ไหนหรือเข้าออกประตูบานไหนก็ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องตามฟีโรโมนหรือการบงการของหัวหน้าฝูงแต่อย่างใด

ผมเชื่อว่า อาทิตย์หนึ่งๆ เราทุกคนคงเคยเดินผ่านเข้า-ออกประตูศูนย์การค้าหรือห้าง Mega Store ข้ามชาติกันหลายครั้งหลายหน

และผมก็เชื่ออีกว่า ในหลายครั้งหลายหนที่เราเดินเข้าหรือออกของห้างเหล่านั้น เรามักเดินตามคนเดินข้างหน้าเราเพื่อเบียดเสียดกันเดินผ่านเข้าประตูฝั่งที่มีคนเปิดเข้า-ออกกันเพียงบานเดียว ทั้งๆ ที่ทางเข้าทุกทางเข้าจะมีประตูอยู่สองบานหรือมากกว่าสองบาน

เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมคนเราต้องแห่กันไปเดินตามเข้าหรือออกจากประตูที่มีคนผลักเข้าออกกันเพียงบานเดียว ทั้งๆ ที่ประตู (คู่) ที่อยู่ติดกันก็ไม่มีการแปะป้ายบอกว่าเสียหรือห้ามเปิดแต่อย่างใด

ทำไมเราถึงต้องเดินตามๆ กันไปเพื่อเบียดเสียดแย่งกันเข้าออกจากประตูบานนั้น ทั้งๆ ที่เรามีทางเลือกอื่นในการเปิดประตูบานข้างๆ หรือขยับไปเข้าออกจากทางเข้าออกอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน

ทำไมเราต้องถึงทำตามกันหรือเดินตามกัน ทั้งที่เราสามารถเลือกเดินไปที่ไหนหรือเข้าออกประตูบานไหนก็ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องตามฟีโรโมนหรือการบงการของหัวหน้าฝูงแต่อย่างใด

พฤติกรรมแบบนี้แสดงให้เราเห็นชัดเจนว่า คนไทยเราชอบทำตามๆ กันเหมือนถูกสะกดจิตหมู่เพื่อไปลงแขกผจญปัญหาร่วมกันโดยไม่ยอมคิดว่า ตนเองสามารถเลือกที่จะไม่ต้องพบปัญหาได้ถ้าใช้สติคิดเพิ่มขึ้นอีกซักนิดเดียว

ปัญหาในลักษณะเดียวกันนี้ จะเห็นได้จากการขับรถตามๆ กันไปเพื่อหาที่จอดรถในอาคารจอดรถยนต์  หรือแห่ตามกันไปเบียดเสียดเพื่อแย่งกันจับจองที่นั่งในร้านอาหารที่คิดว่าต้องอร่อยแน่ๆ เพราะคนกินเยอะ หรือเห่อกันไป

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเดินไปเข้าประตูด้านที่ซ้ำๆ กันกับคนหมู่มากอื่นๆ เพราะไม่อยากเสียเวลารอเข้ารอออกหรือต้องเสียอารมณ์กับการเบียดเสียดกัน เพราะผมเลือกที่จะเอื้อมมือไปผลักประตูอีกบานที่อยู่ติดกัน

เหตุผลก็คือ การออกแบบประตูเข้าออกอาคารสาธารณะข้างต้นที่มีคนเข้าออกเป็นจำนวนมากตลอดเวลา สถาปนิกจะกำหนดทางเข้าออกให้เป็นประตูบานคู่เสมอเพื่อรองรับผู้ใช้อาคาร และหลายอาคารก็จะมีประตูคู่นี้ถึงสองชุดในตำแหน่งเดียวกัน ในกรณีอาคารที่มีปริมาณ Traffic การเข้าออกมากเป็นพิเศษ เช่น Main Entrance หรือทางเข้าหลัก

ดังนั้น เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องตามไปเข้าหรือออกประตูบานที่คนเข้าออกกันเยอะๆ แม้แต่น้อย เพราะประตูบานนั้นคงไม่หมดอายุการใช้งานลง หรือปิดไม่ให้เข้าออก หรือแม้แต่มีสิทธิหรือส่วนลดพิเศษหยิบยื่นให้จากการเข้าออกประตูบานนั้นซักหน่อย (หรือเข้าไม่ได้ ก็ไม่ตาย)

เพราะแค่เพียงถ้าเราเพียงหยุดคิดและมองให้รอบด้าน และเอามือที่ว่างของเราผลักประตูอีกบานที่ปิดอยู่ เราก็จะผ่านเข้าหรือออกจากอาคารนั้นได้โดยสะดวก ไม่เสียเวลาและเสียอารมณ์กับการแย่งกันเข้าแย่งกันออก และเราก็จะใช้ Facility ของอาคารได้อย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับงบประมาณที่เจ้าของอาคารได้ลงทุนไว้

ตรรกะที่อยู่เบื้องหลังความคิดนี้คือคน เรามีทางเลือกในการใช้ชีวิตหรือประกอบกิจกรรมต่างๆ เสมอ ถ้าเราใช้เวลาคิดและพิจารณาความให้ถี่ถ้วนเสมอก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ตาม

ถ้าเราคิดก่อนทำ เราจะมีความสามารถในการเลือกที่จะหรือไม่ทำเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของเราเสมอ และเราก็จะได้รับแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเกิดจากความต้องการของเราเสมอเช่นกัน

 

หมายเลขบันทึก: 217778เขียนเมื่อ 20 ตุลาคม 2008 16:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2012 12:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • สวัสดีครับ
  • เคยคิดแบบนี้เหมือนกันส่า "ทำไมเราต้องเดินตามรอยเท้าของคนอื่น"
  • แต่ตอนนี้ก็พบสัจธรรมแล้วว่า "เดินตามรอบเท้าคนอื่นบ้าง จะได้ไม่เสียหลัก"
  • แต่บางครั้งก็คิดนอกกรอบเหมือนกัน เหนื่อยแต่ผลที่ได้ก็โอเค
  • ผมคิดว่าแล้วแต่สถานการณ์ครับ คิดมาก เครียดครับ 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท