จากกรณีที่กระทรวงการคลังประสบปัญหาสภาพคล่อง รายรับไม่พอกับรายจ่าย
จนดุลเงินสดติดลบวันละ 800 ล้านบาท วานนี้ (28
มี.ค.)นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รักษาการนายกรัฐมนตรีได้กำชับนายทนง พิทยะ รักษาการรมว.คลัง
ดูแลเงินคงคลังอย่างใกล้ชิด
ให้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการทุกแห่งว่ามีหน่วยงานใด
เบิกจ่ายเงินแล้วนำไปฝากสถาบันการเงินเพื่อหวังรายได้จากดอกเบี้ย
หากตรวจพบผู้บริหารระดับสูงแต่ละแห่งจะต้องรับผิดชอบทันที
เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม
เพราะเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ
“ในที่ประชุม ครม. ไม่ได้หารือถึงสาเหตุเงินคงคลังเหลือน้อย
เพราะ รมว.คลังแจงรายละเอียดอย่างชัดเจน ซึ่งก็ไม่น่าเป็นห่วง
และนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้คลังดูแลอย่างใกล้ชิด
รวมถึงตรวจสอบหน่วยงานราชการที่เบิกเงินไปแล้วไม่ได้ใช้ตามที่ขอเบิกจ่ายด้วย
หากพบว่ามีการกระทำดังกล่าวผู้บริหารระดับของหน่วยงานต้องรับผิดชอบ”
ทั้งนี้ เงินคงคลังในปัจจุบันเหลือเพียง 4 หมื่นล้านบาท
ซึ่งนายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า
สำนักงบฯ
เป็นห่วงกับการกระทำของหน่วยงานราชการบางแห่งกรณีที่เบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมาก
แล้วนำเงินส่วนหนึ่ง
ฝากกับสถาบันการเงินเพื่อหวังรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ดังนั้นอยากให้กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับแผนการเบิกจ่ายใหม่
โดยมีมาตรการตรวจสอบการนำเงินไปใช้อย่างเข้มงวด
ให้อนุมัติรายจ่ายตามความเป็นจริงและควรเป็นรายงวด
นายวราเทพ รัตนากร รักษาการ รมช.คลัง
กล่าวชี้แจงกรณีที่ระบุว่าการที่รัฐบาลค้างจ่ายเงินผู้รับเหมา
ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหลายหมื่นล้านบาท
เพราะเงินคงคลังไม่เพียงพอนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เนื่องจากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินั้นใช้เงินกู้จากต่างประเทศจึงไม่เกี่ยวข้องกับฐานะเงินคงคลังแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าผู้รับเหมาทั่วประเทศส่งงานไป 6
เดือนแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน
ในทางปฏิบัติกรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินให้กับส่วนราชการหรือจ่ายตรงให้กับผู้รับจ้างภายในระยะเวลา
3–7 วัน การกล่าวอ้างเรื่องดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้
“สำหรับงบประมาณการเลือกตั้ง 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 2 เมษายน 2549
หรืออาจใช้มากกว่านั้นหากการเลือกตั้งยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อเงินคงคลัง
ขอชี้แจงว่าเงินจำนวนดังกล่าวใช้เงินงบกลางของปี 2549
และมีเงินรายได้แผ่นดินรองรับไว้แล้ว
ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ปรับแผนการใช้จ่ายเงินให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย
จึงไม่ส่งผลกระทบต่อเงินคงคลัง” นายวราเทพ กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า
กระทรวงการคลังได้สั่งให้กรมบัญชีกลางหาแนวทางแก้ไขเรื่องนี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยในเบื้องต้นได้ตรวจสอบว่าหน่วยงานใดที่มีเงินฝากอยู่ในธนาคารเป็นจำนวนมากให้นำเงินส่วนนั้นออกมาใช้ก่อนเพื่อแก้ปัญหาในระยะสั้นแล้วจึงหาแนวทางแก้ไขปัญหาเม็ดเงินส่วนนี้ในภายหลัง
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น
ทางกรมบัญชีกลางต้องมาดูว่าหน่วยงานที่เบิกเงินแล้ว
ไปฝากในธนาคาร
แล้วไม่สามารถดึงกลับมาใช้ก่อนได้มีข้อขัดข้องทางกฎหมายเรื่องใด
หากจำเป็นต้องแก้กฎหมาย ในส่วนนี้ก็คงต้องทำ เช่น
กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
ที่มีเม็ดเงินฝากไว้ที่ธนาคารเป็นจำนวนมาก
แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และไม่สามารถดึงกลับเข้ามาโยกให้หน่วยงานอื่นใช้ก่อนได้
และยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีเงินฝากไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์
จึงต้องหาทางแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถดึงเงินเหล่านี้มาใช้ได้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว
“ระบบการจัดการด้านการเงินการคลังอิเล็กทรอนิกส์ หรือ GFMIS
ทำให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวดเร็วขึ้น
แต่เบิกไปแล้วควรจะนำไปใช้จ่ายไม่ใช่เบิกไปฝากแบงก์
ที่บอกว่าขาดกระแสเงินสดนั้นมันก็จริงส่วนหนึ่ง
เพราะเม็ดเงินไปจมที่แบงก์หมดถ้าจะพูดจริง ๆ
เงินมันมีเหลือมากแต่ดึงกลับมาใช้ไม่ได้
ถ้าจะดึงกลับมาใช้ให้ได้ต้องแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถดึงกลับมาให้หน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้ก่อน
ผลในระยะยาว จะทำให้การเบิกจ่าย
มีประสิทธิภาพมากขึ้นและไม่เกิดปัญหาขาดกระแสเงินสดรับขึ้นอีก”
แหล่งข่าวกล่าว
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.
เห็นชอบการปรับปฏิทิน งบประมาณรายจ่ายปี 50
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
เนื่องมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ เกิดความล่าช้า
โดยคาดว่าดำเนินการได้เดือน พ.ย. แต่ช่วงเดือน ต.ค.
สามารถใช้เงินของปีงบประมาณ 49 ก่อนเพราะยังมีเหลือ
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.
ยังเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบประมาณ 49
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยขยายเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินจากธนาคารออมสิน
5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดคืนวันที่ 26 เม.ย. 49 ออกไปก่อน
เพื่อรักษาระดับเงินสดให้เพียงพอกับการเบิกจ่ายงบประมาณ
เนื่องจากระหว่างเดือน เม.ย.–พ.ค.นี้
คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายในอัตราที่สูง
ในขณะที่รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี
จะนำส่งคลังได้ในสัปดาห์แรกของเดือน มิ.ย.
จึงทำให้เงินคงคลังไม่เพียงพอที่จะรองรับธุรกรรมรายจ่ายของรัฐบาล
“ตั๋วสัญญาใช้เงินที่คลังทำกับออมสิน 5,000 ล้านบาทมีอายุ 6 ปี
ดอกเบี้ย 2 % ต่อปี ซึ่งการขยายเวลาชำระคืนออกไป
จะทำให้วงเงินรวมภายใต้แผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก
2.6 แสนล้านบาท เป็น 2.65 แสนล้านบาท
แต่ก็จะทำให้การบริหารเงินสดรับและจ่าย
ของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันการณ์มากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
1.32 แสนล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 1.93 แสนล้านบาท
จากเดิมที่กำหนดวิธีการรีไฟแนนซ์ ยืดหนี้หรือสว็อปว่า
แต่ละประเภท เป็นเงินเท่าไร
เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นข้อจำกัดในทางปฎิบัติและขาดความคล่องตัวในการบริหาร
ผู้จัดการรายวัน 29 มีนาคม 2549
ไม่มีความเห็น