เกณฑ์ในการให้คะแนนมหาวิทยาลัย ของ กพร. ตั้วชี้วัดหนึ่งคือ ร้อยละของ นศ. ที่เรียนจบตามเวลาขั้นต่ำของหลักสูตร และใช้ตัวเลขร้อยละ ๗๕ เป็นเกณฑ์ปานกลาง
ผมได้เรียนให้ที่ประชุมสภาฯ มอ. เมื่อวันที่ ๔ ต.ค. ๕๑ ทราบว่า ตัวเลขของสหรัฐอเมริกา ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐
วันที่ ๕ ต.ค. ๕๑ มีโอกาสพักผ่อนอยู่กับบ้าน ก่อนจะออกไปเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ผมค้นในหนังสือ The College Solution พบว่ามีกล่าวถึงเรื่อง graduation rate อยู่หลายตอน ในหน้า ๑๘๕ ระบุว่าอัตราเฉลี่ยของ Graduation Rate ใน ๔ ปี และใน ๖ ปี ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ไว้ดังนี้
Institution Type |
4-Year Grad Rate |
6-Year Gard Rate |
Public university |
28% |
58% |
Private university |
67% |
80% |
Public college |
24% |
47% |
Nonsectarian college |
56% |
66% |
Catholic college |
46% |
60% |
Other Christian college |
51% |
61% |
All institutions |
36% |
58% |
ในหนังสือเล่มเดียวกัน หน้า ๑๘๔ ระบุชื่อมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ใน hall of shame ด้านอัตราจบใน ๔ ปีต่ำอย่างน่าละอาย เช่น San Jose State University (7.1%), Kennesaw State University (8.3%), California State University – Long Beach (10.9%), University of Hawaii at Manoa (11.5%) เป็นต้น
จะเห็นว่า ในสหรัฐอเมริกา อัตราเฉลี่ยที่นักศึกษาหลักสูตร ๔ ปี เรียนจบภายใน ๔ ปี มีเพียง ๓๖% และจบภายใน ๖ ปี ก็เพียง ๕๘%
จึงเกิดคำถามว่า การเรียนจบภายใน ๔ ปี เป็นตัวสะท้อนคุณภาพของการดูแลเอาใจใส่นักศึกษา และคุณภาพการศึกษาแค่ไหน นักศึกษาระดับปริญญาตรีในต่างประเทศจำนวนหนึ่ง ขอลาพักการเรียน ๑ ปี ไปเรียนรู้โลก โดยการแบกเป้เดินทางราคาถูกออกท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้โลก และเพื่อรู้จักตนเอง ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีนักศึกษาที่ทำแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และถ้ามหาวิทยาลัยไทยต้องการยกระดับของ globalization ควรส่งเสริมให้นักศึกษาทำเช่นนี้ ซึ่งจะเพิ่มอัตราเรียนไม่จบภายใน ๔ ปี
จะเห็นว่า คุณภาพของมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องซับซ้อน การวัดด้วยตัวชี้วัดแบบ reductionism มีข้อจำกัด
วิจารณ์ พานิช
๕ ต.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น