ยาต้ม» |
"ยาต้ม" นั้น
นับว่าเป็นการเตรียมยาที่ได้จากพืชสมุนไพรที่มีมาช้านานแล้วเป็นการเอาน้ำมาเป็นตัวละลายตัวยาที่มีอยู่ในพืชสมุนไพรของดีของ
"ยาต้ม"ก็ได้แก่ ออกฤทธิ์เร็ว ดูดซึมได้ง่าย การเตรียมก็ทำง่ายดายและสะดวกมากแต่ก็มีข้อเสีย ได้แก่ รสชาตินั้นเอง รวมทั้งกลิ่นของยาอีกด้วย บางทีก็อาจจะดื่มกินได้อย่างลำบากเพราะรสที่ชวนดื่มสำหรับผู้ที่กินยายากอีกอย่างหนึ่ง"ยาต้ม" ทั้งหลายก็เก็บไว้ไม่ได้นาน มิหนำซ้ำยังขึ้นราได้ง่ายอีกด้วยหากต้องการเก็บเอาไว้นานก็จะต้องใช้สารกันบูดผสมลงไปก็ได้ |
วิธีการเตรียมยาต้ม |
1.
น้ำและภาชนะที่ใช้ต้มยา |
น้ำที่ใช้ต้มยานี้จะต้องเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
ไม่มีรสปริมาณของน้ำที่ใช้ต้มยานั้นต้องขึ้นอยู่กับปริมาณของยาโดยปกติก็จะใส่น้ำให้พอท่วมตัวยาที่มีอยู่ภาชนะที่ใช้ในการต้มยานั้นควรเป็นภาชนะดินเผาหรือหม้อเคลือบก็ใช้ได้เช่นกันไม่ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลห
เช่น เหล็ก เพราะจะทำให้สาร
"แทนนิน"ที่มักพบในพืชสมุนไพรทำปฏิกิริยากับโลหะได้
ซึ่งจะมีผลต่อฤทธิ์ของยาได้ |
2.
การเตรียมยาสมุนไพร |
ยาสมุนไพรที่ใช้ต้มควรหั่นเป็นชิ้นพอดี ถ้าเป็นแก่นก็หั่นเป็นชิ้นเท่าๆกันถ้าเป็นใบใหญ่ เช่น ชุมเห็ดเทศให้หั่นเป็นฝอย แต่ถ้าเป็นใบเล็กเช่น ฟ้าทะลาย กะเพรา ก็ให้ใช้ทั้งใบเลย ขนาดไม่ควรเล็กจนเกินไปเพราะจะทำให้กรองยาต้มยากและเวลาต้ม อาจจะเกิดการไหม้ได้ง่าย |
3.
การต้มยา |
ให้เติมน้ำสะอาดลงไปในตัวยา
คนให้เข้าด้วยกันแช่ทิ้งไว้ 20-30
นาทีก่อนต้มเพื่อให้ยาสมุนไพรดูดซึมน้ำได้เต็มที่(แต่ถ้าเป็นพืชสมุนไพรสดๆ
ก็ไม่ต้องแช่น้ำ ใช้ไฟขนาดกลางต้มจนเดือด ใช้เวลาต้มไปสัก 15 - 20
นาทีก็พอเวลาที่น้ำเดือดจะต้องคอยคนดูแลยาต้มให้ดี
ระวังอย่าให้ยาไหม้ที่ก้นหม้อได้ (ในการต้มยาไทย ส่วนมากจะต้ม 3
เอา 1 คือใส่น้ำลงไป 3 ส่วนของปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วต้มให้น้ำเหลือ
1
ส่วน)ยาต้มควรรับประทานในเวลาท้องว่างส่วนจำนวนครั้งและปริมาณก็ให้เป็นไปตามกำหนดในวิธีใช้ยา หมายเหตุ ยาต้มทั่วไปไม่ควรทิ้งเอาไว้ค้างคืน ต้มแล้วรับประทานให้หมดภายในวันเดียว |
ยาชง
» |
ยาชงเป็นรูปแบบหนึ่งที่เตรียมยาได้ง่าย
สะดวกดี
ส่วนมากเป็นการใช้ยาสมุนไพรแห้งและเติมน้ำร้อนเป็นตัวทำละลายข้อดีของยาชงก็คือ
มีการดูดซึมได้ง่าย
มักจะเป็นยาที่มีกลิ่นหอมและรสชาติก็ดีอีกด้วย |
วิธีการเตรียมยา |
ยาชงส่วนใหญ่เป็นการนำเอาส่วนของพืชสมุนไพรมาใช้ เช่นหญ้าหนวดแมว ใบชุมเห็ดเทศ กลีบรองดอกของดอกกระเจี๊ยบมาล้างให้สะอาดเสียก่อน แล้วจัดการผึ่งลง เอาไว้ให้แห้ง บางชนิดอาจเอามาคั่วหรือปิ้งไฟก็ได้เติมน้ำเดือดลงไปในสมุนไพรนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ก็ใช้ได้อย่าทิ้งยาชงเอาไว้นานเกินไปเพราะจะทำให้สรรพคุณของยาออกฤทธิ์เปลี่ยนแปลงไป กลิ่นรสอาจจะเสียไปอีกด้วย |
ยาลูกกลอน» |
ยาลูกกลอนเป็นยาอัดรูปหนึ่งของยาสมุนไพร
ลักษณะรูปร่างเป็นเม็ดกลมๆอาจทำมาจากผงยาชนิดเดียวกันหรือมีหลายชนิดผสมขอ้ด้วยกันผสมสารบางอย่างที่ทำให้ตัวยาที่เป็นผงเกาะติดกันดีเช่น
น้ำ แป้งละลายน้ำ หรือน้ำผึ้ง
เป็นต้นยาลูกกลอนที่เอาน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมก็ทำมาจากผงยาเอาน้ำผึ้งมาผสมเข้าด้วยกันมีรูปลักษณะเป็นรูปกลมๆ
มีน้ำอยู่น้อย การแตกตัวจึงช้าออกฤทธิ์ได้นานน้ำผึ้งที่ใช้ผสมช่วย
ปรับรสและช่วยบำรุงร่างกายด้วยยานี้มักใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อรังและโรคที่ต้องการบำรุงร่างกายด้วย
แต่มีข้อเสียอยู่ที่ยาลูกกลอนจะต้องใช้น้ำผึ้งเป็นปริมาณมากสักหน่อยและจะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้อีกด้วยราคาต้นทุนจึงสูงกว่าปกติธรรมดาของยาลูกกลอนโดยทั่วไป |
การเตรียมยาลูกกลอนน้ำผึ้ง |
1.ขั้นตอนการเคี่ยวน้ำผึ้ง นับว่าเป็นวิธีการที่สำคัญมาก การเคี่ยวน้ำผึ้งก็มีประโยชน์ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีเป็นการไล่เอาน้ำที่มีอยู่ในน้ำผึ้งออกไปอีกด้วย จึงทำให้ยาลูกกลอนไม่ขึ้นรา การเคี่ยวน้ำผึ้งปฏิบัติได้ดังนี้ -เอาน้ำผึ้งใส่หม้อที่เตรียมไว้ โดยทั่วไปอัตราส่วนระหว่างน้ำผึ้งต่อยาผงที่จะใช้ผสมก็เป็น 1 : 1(โดยน้ำหนัก) การใช้น้ำผึ้งมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของผงยาที่ใช้ด้วย -ช่วงแรกของการเคี่ยวน้ำผึ้งจะต้องใช้ไฟแรง เอาน้ำเดือดปริมาณ1/3 - 1/4 ของน้ำหนักน้ำผึ้งใส่ลงไปด้วย จัดการคนให้เข้ากันดี เคี่ยวไปจนน้ำผึ้งเหนียว ลักษณะของน้ำผึ้งที่เคี่ยวได้ที่แล้วจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่แตกแยกออก จะรวมตัวด้วยกัน หากหยดน้ำผึ้งลงไปในน้ำแล้วน้ำผึ้งยังเหนียวไม่แข็ง ไม่จับกันเป็นก้อน ก็จะต้องเคี่ยวต่อไป แล้วทดลองอีกครั้งจนได้ที่ -เมื่อเคี่ยวน้ำผึ้งจนได้ที่แล้ว ให้ยกลงจากเตาได้ กรองด้วยผ้าขาวบางกวนไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำผึ้งเริ่มเย็น เมื่อเย็นแล้วจึงเอาไปผสมกับยาผงต่อไปอีกตามขั้นตอน 2.การผสมน้ำผึ้งกับยาผง ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะยาจะเป็นเม็ดหรือไม่เป็นเม็ก็ขึ้นอยู่กับการผสมน้ำผึ้งกับผงยานี้แหละ -นำผง ที่ชั่งเตรียมเอาไว้ ใส่ลงไปในกาละมัง ที่แห้งสะอาด -ตวงน้ำผึ้งที่เคี่ยวได้ที่แล้วค่อยๆ เทราดลงไปบนยาผลทีละน้อยๆเอามือที่สะอาดคลุกเคล้า ยาผงให้เข้ากับน้ำผึ้ง เทราดน้ำผึ้งคลุกเคล้ากับยาผงไปเรื่อยๆ จนยาได้ที่ สังเกตได้จากยา ที่คลุกเคล้าทดลองปั้นเป็นเม็ดดูด้วยมือว่าเป็นเม็ดหรือยัง บีบเม็ดยาที่ปั้นดูว่ายานี้แตกร่วนหรือไม่ถ้ายานี้ไม่แตกร่วนเป็นเม็ดเกาะกันดีอยู่แสดงว่ายานี้ได้ที่แล้ว -การปั้นเป็นเม็ดลูกกลอน การปั้นยาลูกกลอนนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน จะต้องปั้นให้กลม และมีขนาดสม่ำเสมอกันด้วย ในการปั้นทำได้โดยค่อยๆ แบ่งยาที่ผสมเอาไว้ มาปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซ.ม. เม็ดยาแห้งดีพอสมควรก็เก็บไว้ใน ขวดที่สะอาด มีฝาปิดอย่างมิดชิดก็ใช้ได้ |
ยาดองเหล้า» |
ยาสมุนไพรอีกประเภทหนึ่งก็คือ
"ยาดองเหล้า" นี่เอง
ตัวยาสมุนไพรจะละลายในน้ำเหล้าที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้ดีมาก |
ยาดองเหล้ามีวิธีการเตรียมดังนี้ |
1. นำเอาพืชสมุนไพรมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเอาไปตากหรืออบจนแห้งดี ใส่ลงไปในขวดโหลหรือไหเทเหล้าลงไปพอท่วมยา คนยานี้วันละ 1 ครั้งก็พอ ทิ้งเอาไว้สัก1 เดือนก็รับประทานได้ 2. วิธีการดองแบบร้อนก็ได้ การดองแบบร้อนทำให้ยาใช้ได้เร็วคือ 1-2 สัปดาห์ก็ใช้ได้แล้ววิธีการดองโดยการดองพอท่วมยา นำภาชนะที่ใส่ยาดองเหล้าเช่น ขวด วางลงในหม้อที่ใส่น้ำเอาไว้ จัดการต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาภาชนะที่ใส่ยาดอกเหล้าขึ้นม ปิดฝาให้สนิท ทิ้งเอาไว้ 1 - 2 สัปดาห์ ก็ใช้ได้ 3. วิธีการที่แนะนำข้างต้นนี้เป็นวิธีการดองเหล้าเอาไว้รับประทานเองรูปแบบของยาอีกแบบหนึ่งได้แก่นำมาพอก เป็นการใช้เหล้าเป็นน้ำกระสายยาโดยการเอาสมุนไพรมาตำให้ละเอียด แล้วเติมเหล้าพอให้ยาเอาฤทธิ์ดีขึ้น แล้วเอายาที่ได้ไปฟอกตามอวัยวะที่ต้องการใส่ 4.ยาดองเหล้าโดยทั่วไปห้ามใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหญิงมีครรภ์ก็ห้ามใช้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจห้ามใช้หมดหรือผู้ที่แพ้เหล้าทั้งหลายมิฉะนั้นจะเกิดอันตรายขึ้นมาได้ |
ไม่มีความเห็น