จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน


"นี้แหละคือความหมายแห่งชีวิต"

         ดิฉันได้รับรายงานประจำปี 2548 จากคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชอบใจปกในด้านหลังของรายงาน ที่ไม่ละเลยให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่ได้นำบทความดีๆ มาลงไว้ด้วย เป็นบทความของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่อง คุณภาพแห่งชีวิตปฏิทินแห่งความหวัง : จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เป็นบทความที่เหมือนกับว่าประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งเขียนบอกความต้องการพื้นฐานของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายซึ่งก็ดูไม่ซับซ้อนยุ่งยากอะไร (แต่ทำไมเมื่อรวมกันเป็นหลายล้านคนถึงได้ยุ่งยากเพียงนี้) ลองอ่านดูซิคะ

         เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก
         ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง
         ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ
ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์
         ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้รู้คุณธรรมแห่งชีวิต ถ้าผมสติปัญญาเรียนชั้นสูงๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวยหรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น
         เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม
         บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
          ผมต้องการให้ชาติของผม  ได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม
          ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ราคายุติธรรม
           ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่
ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่นๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ
ดูโทรทัศน์ ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก
           ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก
           ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว มีสวนสาธารณะที่เขียวชะอุ่ม สามารถมีบทบาท และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่างๆ เที่ยวงานวัน งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร
           ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม  เรื่องอะไรที่ผมเองไม่ได้ หรือได้แต่ของไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน
           เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวม
ตามอัตภาพ
           ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตา
ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ
           เมียผมก็ต้องการโอกาสต่างๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว
           เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา
           เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือ
ตายเพราะการเมืองเป็นพิษ
           เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง
          ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่างฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป
          นี่แหละคือความหมายของชีวิต นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน

 

ที่มา  ป๋วย อึ๊งภากรณ์ : ประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดสำหรับหนุ่มสาว. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2538. หน้า 101-104.   
 

 

หมายเลขบันทึก: 21299เขียนเมื่อ 28 มีนาคม 2006 11:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 21:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • ขอขอบคุณท่านอาจารย์มาลินีที่นำเรื่องดีๆ มาถ่ายทอดอีกครั้งหนึ่ง
  • อ่านแล้วให้ข้อคิดดีๆ ครับ ชีวิตคนก็เท่านี้
  • ผมผ่านข้อต้นๆ มาแล้วครับ สุดท้ายเงินทองทรัพย์สมบัติผมก็เอาติดตัวไปไม่ได้เมื่อเวลาตาย
  • พอผมหมดหนี้ปี 2552 ผมจะหาทรัพย์แต่พอประทังชีวิตเท่านั้น เหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตร การดำรงชีวิตของครอบครัว ส่วนที่เหลืออีกก็จะช่วยเหลือสังคมประเทศชาติครับ

ถึงเวลา ลาโลกไป ใจคิดถึง

 เฝ้าคะนึง ถึงความดี ไม่รู้หาย

  คนดีจาก โลกนี้ไป รักไม่คลาย

    คนเสียหาย ชีวีอยู่ " สู้ต่อไป "

ดิฉันพร้อมสู้ เคียงคู่ กัลยาณมิตร ทุกๆท่าน

ถึงวันนี้ยังอยู่  ไม่รู้พรุ่งนี้   อาจจากไป

ทุกขณะที่ทำได้  ก็จะทำ  ทำต่อไป..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท