เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (11 กันยายน 2551) ผมในฐานะที่ดำรงตำแหน่งรองคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มีโอกาสไปร่วมประชุมที่ประชุมคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ / ครุศาสตร์ (กลุ่ม 16 มหาวิทยาลัยของทบวงมหาวิทยาลัยเดิม) ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
วาระการประชุมมีหลายเรื่อง แต่ประเด็นที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องการแบ่งหน่วยงานใหม่ในคณะศึกษาศาสตร์ ของหลายมหาวิทยาลัยที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งในมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้ว เช่น คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า และมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ออกนอกระบบ เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากคณบดีของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ทำให้ทราบว่า ส่วนใหญ่พยายามปรับโครงสร้างเดิมของคณะที่เดิมมีจำนวนหลายภาควิชา (บางมหาวิทยาลัยมีมากกว่า 10 ภาควิชา) ให้เหลือจำนวนน้อยที่สุด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการให้มีจำนวน 2 - 4 ภาควิชา แต่สิ่งที่มหาวิทยาลัยประสบปัญหาคือ การได้รับการต่อต้านจากคณาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณาจารย์ของภาควิชาที่ถูกยุบหรือถูกนำไปรวมกัน บางสาขาวิชาโดยเนื้อหาไม่สามารถรวมกับสาขาอื่นได้ ดังนั้นทางคณะจึงต้องมีการทบทวนจัดระบบใหม่เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปได้และเป็นที่พอใจของคณาจารย์ โดยการปรับโยกย้าย รวม หรือเพิ่มสาขาวิชาที่เหมาะสมในแต่ละภาควิชา ทำให้บางภาควิชามีสาขาวิชาย่อยๆเป็นจำนวนมาก ในบางมหาวิทยาลัยมีภาควิชาเพียง 4 ภาควิชา แต่มีสาขาวิชารวมกันถึง 24 สาขาวิชา เป็นต้น ทำไปทำมาดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าเดิม โดยสรุปดูเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังต้องการมีต้นสังกัด (ภาควิชาหรือสาขาวิชา)เป็นของตนเองอยู่ดี
ในบางมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนจากระบบการบริหารงานภาควิชามาเป็นการบริหารงานโดยคณะกรรมการบริหารหลักสูตร (ซึ่งมีจำนวนมากมายตามหลักสูตรที่คณะเปิดสอน) ปัญหาที่ตามมาคือคณาจารย์จะแยกกันอยู่ตามหลักสูตรของตน ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ขาดความร่วมมือกันทางวิชาการ ในลักษณะต่างคนต่างอยู่ สุดท้ายทางคณะต้องกลับมาบริหารงานในลักษณะของภาควิชาและสาขาวิชา
ดูเหมือนแต่ละระบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยในตัวของมันเอง ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรครับ
ลืมไป...อาจารย์บำรุงครับ ผมส่งรูปไปใหอาจารย์ดู อยู่ที่บันทึกแรกของอาจารย์ครับ ลองเข้าไปดูนะครับ ถ้าไม่หล่อก็ต่อว่ามาได้ครับผม
สวัสดีครับท่านอดีตหัวหน้านักศึกษา....ดีใจจังที่พี่เริ่มเขียนบันทึกที่มีประโยชน์ให้น้องๆ อ่านกันแล้ว...ยังไงก็ไปเยี่ยมบล็อกของพวกเราบ้างนะครับ
ในส่วนของทหารบก...เฮ้อ...ยังคงเป็นแบบว่า "ต้องสามารถปฏิบัติการได้ในสภาพขาดแคลน" "อาวุธก็เก่า คนก็แก่" พี่บำอาจจะสงสัยในสิ่งที่ผมว่ามา ตอนนี้ผมไม่บอกพี่หรอก เดี๋ยวเขียนบล็อกใหม่เป็นเรื่องเป็นราวเลยดีกว่า เพื่อนๆ จะได้อ่านกันหลายๆ คน
งั้นขอตัวไปเขียนบล็อกต่อเลยนะครับ แล้วจะมาคุยใหม่ครับพี่ สวัสดีครับ
ขอบคุณน้องแพน คุณบุญทำ น้องปรินซ์ ที่เข้ามาทักทายและแสดงความเห็นในบลอกของพี่บำ ขอบคุณครับ
ขอบคุณบุญทำที่บอกบลอกที่จะไปอวยพรวันเกิดของป๋าอู๋ครับ
น้องแพนชวนไปเล่นอะไรเอ่ย
สวัสดี พีบำรุงที่ใจดีของน้องๆๆ เข้ามาหาความรู้จากพี่ สมกับเป็นนักวิชาการเขียนได้น่าสนใจคะ ( ถ้ามีความรู้ที่ต้องพิมพ์ดีดเยอะๆๆๆๆๆ ขอให้ติดต่อน้องบุญทำ น้องชายพี่และทหารอากาศขนาดยักษ์ นะคะ เอิ้ก....เอิ้ก....)
ขอบคุณคนคลังผู้น่ารัก (น้องวันดี) ที่เข้ามาเยี่ยมชมบลอกของพี่ สบายดีนะครับ ถ้าต้องพิมพ์อะไรเยอะๆคงต้องพึ่งน้องทำ แต่ไม่ทราบจะมีเวลาหรือเปล่าเห็นเขียนบลอกโต้ตอบกับน้องแพนทั้งวันทั้งคืน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
สวัสดีครับพี่บำ....
น้องป้อมเข้ามารายงานตัวครับ
สงสัยมานานใครหนอขุนคลัง?
เพิ่งรู้ว่าเป็นพี่ตุ๊เอง สวัสดีครับพี่ตุ๊ สบายดีนะครับ
ต้องเตรียมตัวไปสัตหีบแล้ว ผบ.ทร.จะไปเยี่ยมอำลาชีวิตราชการ เนื่องในโอกาสเกษียรอายุ ว่างๆจะเข้ามาเยี่ยมใหม่
น้องป้อมครับ
ช่วยพี่หนูนาประกาศอีกที เนื่องจากป้าๆ หลายท่านบ่นมาว่าของพี่หนูนาเล็กไปหน่อย มองไม่ค่อยเห็น (หมายถึงตัวหนังสือน่ะ)
· ประกาศจากโลกร้อนค่ะ มีข่าวว่าจะมีเพื่อน ๆ จะมาร่วมงานกันมากพอสมควร ขณะนี้ เราจึงได้เปลี่ยนจากบ้านแสนรัก เป็น “ห้องอาหารไทยอีสาน” แล้ว เนื่องจาก ห้องบ้านแสนรักที่จองไว้น้อยเกินไป พอจองเพิ่มก็เต็มหมด เราได้จองไทยอีสานเมื่อเช้านี้ โดยอู๋เป็นผู้ติดต่อจองในนาม สจว.103 เริ่มงานตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป วันที่ 25 ก.ย.เหมือนเดิม ****ไทยอีสาน ไปยังไง ก็คือ ถ้ามาจากถนนงามวงศ์วาน ผ่านหน้า ม.เกษตร ให้ลงอุโมงค์
· พอโผล่ ให้วิ่งต่อจนข้ามสะพานแรกให้ชิดซ้าย (ชิดซ้ายเยอะๆ) แล้ว เลี้ยวเข้าร้าน ไทยอีสาน ถ้ามาจากถนนพหลโยธิน พอถึงแยกเกษตรศาสตร์ ให้เลี้ยวขวา เข้านวมินทร์ จนข้ามสะพานแรกให้ชิดซ้าย (ชิดซ้ายเยอะๆ) แล้ว เลี้ยวเข้าร้าน ไทยอีสาน
หวัดดีครับ พี่บำผมขอรายงานตัวต่อท่านประธานกลุ่มมาเลเซียด้วยคนนะครับ รักและเคารพพี่บำเสมอ