ตอนเช้า ขณะเดินตรวจเยี่ยมคนไข้ก่อนรับเวร ซักถามอาการและพูดคุยกับคนไข้แล้ว และหันไปถามนักศึกษา ว่า คนไข้เป็นอย่างไรบ้าง เด็กๆ ก็บอกว่า สัญญาณชีพปกติค่ะ ชีพจร 80 หายใจ 20 ความดัน 120/80 ไม่มีไข้ แต่เรามองแล้ว หน้าตาคนไข้มีมีความสุขเลย ดูยุ่งเหยิง ทุกข์กังวลใจ ก็คิดในใจ วันนี้มีประเด็นในเด็กๆ ได้เรียนรู้ร่วมกันแล้ว
หลังรับเวร ก็นั่งประชุมปรึกษาก่อนให้การพยาบาลร่วมกับนักศึกษาอีกครั้ง แล้วเปิดประเด็นเรื่อง สัญญาณชีพให้อภิปรายกัน ถามเขาว่า vital signs หมายถึงอะไร และการที่ vital signs ปกติ แสดงว่า ไม่มีอะไรหน้าห่วงใช่ไหม งั้นเรามามองคนไข้ของพวกเราแต่ละคนกัน แล้วเราคิดว่าอย่างไร มีอะไรที่บอกถึงสัญญาณชีวิตบ้าง แล้วคนไข้กับพวกเราสัญญาณชีพปกติเหมือนกัน แต่ทำไมการแสดงออกของสีหน้าต่างกัน อะไรที่ต่าง
นักศึกษา เลยได้ขอสรุปกันว่า ที่ผ่านมาเขามักจะมองสัญญาณชีพ และตัดสินกันเพียงตัวเลข ปกติหรือผิดปกติ แต่สัญญาณชีพควรครอบคลุมถึงสัญาณชีวิตอย่างองค์รวม ที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวาและความสุขในการมีชีวิต ถ้าประเมินสัญญาณชีพแบบองค์รวม คะแนนของคนไข้อาจจะติดลบก็ได้
โจทย์สัปดาห์นี้จึงเป็น ทำอย่างไรในการกู้สัญญาณชีวิตของคนไข้กลับคืนมา ทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไข้
เด็กๆ นักศึกษา จึง คิดกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน นอกเหนือจากแผนการพยาบาลเดิมๆ ที่วางเอาไว้ เริ่มจากชวนคนไข้สระผม อ่านหนังสือให้คนไข้ฟัง ฟังคนไข้เล่าเรื่องทางบ้าน ความสุขที่ผ่านมาของคนไข้ ค้นหาคุณค่าและความดีในตัวคนไข้ ชื่นชมในคุณค่าจากการฟังเรื่องเล่าของคนไข้แต่ละคน และแล้ว เราก็ได้เห็นความสดชื่นผ่านแววตาที่สดใสของคนไข้แต่ละคน
ตอนเย็นช่วงการสะท้อนคิดหลังให้การพยาบาล เด็กๆ นักศึกษาดูมีความสุขที่จะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากผลงานของตัวเอง ด้วยดวงตาเป็นประกายมีความสุข
เป็นอีก 1 วันที่ดี และมีความสุข เดินตัวเบากลับบ้าน
สวัสดีค่ะ
- ตามมาดูเรื่องเล่าดีๆ น่าดีใจแทนผู้ป่วยค่ะ ที่มีคนมองแบบองค์รวม มากกว่าตัวเลข
ขอบคุณค่ะ
หนูพึ่งรู้นะคะ ว่าพี่ๆจะแอบสังเกตพวกหนูเวลาทำงานด้วย
หนูประทับใจค่ะ ในข้อความที่พี่เขียน นศ.พยบ.สปร.นว.
ได้ข้อคิดที่ดีมากค่ะ ขออนุญาตินำไปใช้กับสมาชิกที่ทำงานนะคะ