การดำเนินงานของกลุ่มที่ทำอย่างมีเพื่อน
มีพี่เลี้ยงเป็นปัจจัยสำคัญที่ให้กลุ่มสามารถมีความคึกคัก
ของการทดลองและเรียนรู้ จนเกิดความรู้ใหม่
ได้องค์ความรู้ที่นำไปประยุกต์ใช้ได้เป็นการเฉพาะของแต่ละคน
ซึ่งปลูกพืชต่างกัน เพราะบ้างทำสวน บ้างทำถั่ว บ้างปลูกข้าวโพด
เป็นต้น แต่ความรู้ร่วมที่พวกเขาได้คือเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์
และเห็นว่าเป็นทางเลือกทางรอดของเกษตรกรในพื้นที่ที่เคยเสื่อมสภาพมาก่อนอย่างนี้
องค์ความรู้เรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน
การฟื้นสภาพดินจึงเป็นองค์ความรู้หลักที่พวกเขานำมาใช้อย่างเข้มข้น
ผ่านการทดลองร่วมกันในแปลงทดลองซึ่งเป็นของทุกคน
(แปลงทดลองนี้เช่าจากที่ดินของวัดซึ่งก็สนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่ม
และในเร็ว ๆ
นี้จะขยายแปลงทดลองออกไปในพื้นที่ใหม่ซึ่งวัดจัดสรรให้เช่าในราคาถูกจำนวน
40 ไร่ )
การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้มแข็งของกลุ่ม
มีความถือและเชื่อมั่นในความรู้ที่ได้และ
พร้อมปฎิบัติเพื่อให้เห็นผลทั้งในแปลงทดลองและส่วนตัว
จากนั้นนำผลมาคุยกันเมื่อมาทำกิจกรรมกลุ่มทุกวันศุกร์
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันริมคันคลอง ริมแปลงผัก
และในเวทีประชุมร่วมกัน
ซึ่งจะเห็นว่าการเรียนรู้ของกลุ่มเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้การทำกิจกรรมกลุ่มแต่ละครั้งมีสมาชิกมาร่วมอย่างเหนียวแน่นและจำนวนมากขึ้นก็คือ
แกนนำกลุ่ม ที่มีความคิดก้าวหน้า
ทุกครั้งจะมีการเสนอความคิดในเรื่องต่าง ๆ
ที่จะทำให้กลุ่มพัฒนาและอยู่ได้แบบที่เรียกว่า
ทุกคนอยู่รอดได้รับผลประโยชน์เหมือน ๆ กัน
เช่น การเสนอเรื่องการสร้างตลาด
ก็มีการไปสำรวจแหล่งรับซื้อซึ่งก็มีช่องทางจำหน่ายอยู่หลายแหล่งทั้งที่ตลาด
ม.ธรรมชาติ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท และตลาดในชุมชนเองแล้ว
ยังมีเป้าหมายทำผักอินทรีย์ส่งออกซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ทำได้
และเป็นการทำในลักษณะของการรวมกลุ่ม
อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่าตลาดหลักที่มั่นคงก็ยังคงเป็นตลาดภายในซึ่งยังมีความต้องการอีกมาก
นอกจากนี้ยังมีการช่วยคิดกันว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้กลุ่มเป็นตัวอย่างของการทำเกษตรอินทรีย์ครบวงจรให้ได้
ไม่ใช่แค่คิดแต่ยังมีการเสนอขอรับความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องซึ่งก็ได้รับการตอบสนองพอสมควร
และพวกเขาก็พยายามทำให้เกิดผลที่จะขยายต่อไปยังที่อื่นได้
ปัญหา/ความต้องการของเขาตอนนี้ คือ
ทำอย่างไรจะสามารถนำต้นข้าวโพดที่หักฟักแล้วไปแปรรูปเป็นปุ๋ยในดินหรือเพิ่มมูลค่า
ไม่ต้องปล่อยทิ้งเปล่าเป็นอาหารสัตว์
และอีกความต้องการคือ
ต้องการทุนสนับสนุนเป็นกองกลางสำหรับกลุ่มในการมาทำกิจกรรมร่วมกัน
เช่น ค่าน้ำ ค่าอาหาร หรืออาจจะพาสมาชิกไปดูงานที่อื่นได้บ้าง
เพราะตอนนี้ผู้รับภาระค่าใช้จ่ายคือ
ผู้ใหญ่เทียมที่นำเงินเดือนมาเป็นค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของโรงเรียนเกษตรกรแห่งนี้ คือ การมีผู้นำ
มีแกนนำที่ดี เป็นนักพัฒนาที่น่าจะเรียกได้ว่า เป็นการนำ
“การจัดการความรู้” มาเป็นกลยุทธ์ในการสร้างกลุ่มอย่างไม่รู้ตัว
เพราะไม่หักด้ามพร้าด้วยเขา ไม่ขัดแย้งกับคนอื่น แต่ทำให้ดู
สร้างวิธีการดึงดูดคนเข้ามาร่วมด้วย “ใจ” ก่อน
และใช้การทดลอง(แปลงทดลอง)กระตุ้นให้คนได้แสดงความรู้ ความคิดออกมา
จนเกิดการยอมรับกันในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรที่ทำ
อีกทั้งยังเป็นผู้ประสานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อหาปัจจัยสนับสนุนกิจกรรมกลุ่มให้ดำเนินการต่อไป
โดยมีเป้าหมายจะเป็นตัวอย่างการทำเกษตรอินทรีย์ครบวงจรและตรวจสอบได้
ขาย “คุณภาพ”ทั้งกระบวนการผลิตและผลผลิต
กระตุ้นให้เกิดโครงสร้างการบริหารจัดการกลุ่มที่ดีและมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
สร้างกระแสความเชื่อที่ว่าอาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่ยั่งยืนและมั่นคง
หากรู้จักจัดการ เป็นอาชีพที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ควรมองข้าม
เพราะอิสระและไม่ต้องเป็น “ลูกจ้าง”ใคร
“ต่อให้เรียนมาสูงแค่ไหน แต่ยังต้องไปเป็นลูกจ้างเขา กินเงินเดือน
มันก็ไม่อิสระ และไม่แน่นอน แต่อาชีพเกษตรเราเป็นนายตัวเอง
เรามีที่ดิน เรามีความรู้ ซึ่งก็สามารถทำให้มันเพิ่มพูนขึ้นมาได้”
สมาชิกเกษตรอาวุโสกล่าวในที่สุด
นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มเติบโตและเข้มแข็งคือการเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงอย่างไม่เป็นทางการของ
พี่อ้อย หรือคุณสิริกาญจน์ โภคทรัพย์
สำนักงานเกษตรหนองเสือ
ที่ยังคงติดตามและแวะเวียนมาร่วมกิจกรรมของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
“มาเห็นแล้วมันชื่นใจ และเราก็ให้เขาเป็นตัวอย่างกับกลุ่มอื่น ๆ
ที่กำลังจะเริ่มต้น
ซึ่งในพื้นที่ก็มีโครงการจะขยายเปิดโรงเรียนเกษตรกรขึ้นอีกหลายแห่ง
บางครั้งก็พาคนที่มี “ใจ” อยากจะเปลี่ยนแปลงมาดูกลุ่มนี้
แล้วให้เขาไปขยายผล
เพราะการเปิดโรงเรียนเกษตรกรเราเน้นว่าเกษตรกรต้องมีใจพร้อมจะเปลี่ยนแปลงด้วย”
พี่อ้อย กล่าวในที่สุด
โรงเรียนเกษตรกรแห่งนี้เป็นตัวอย่างความสำเร็จของการฟื้นสภาพดินเสื่อมให้กลายเป็นดินดีที่สามารถสร้างอาชีพเกษตรทางเลือกควบคู่ไปด้วยได้
และยังก่อผลกระทบในแง่ดีอีกหลายด้านที่นำไปสู่ชุมชนอยู่ดี
มีสุขได้
จึงไม่แปลกที่โรงเรียนเกษตรกรแห่งนี้จะมีคนแวะเวียนมาร่วมเรียนรู้อยู่เสมอ
และเกือบทุกครั้งจะมีทั้งเจ้าหน้าที่เกษตรและที่ดินปทุมฯ
(ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร)ซึ่งยังคงติดตามและชื่นชมผลงานของกลุ่ม
รวมทั้งการสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดความรู้ขึ้นไปอีก
(บางครั้งไม่อาจสนับสนุนเป็นโครงการหรืองบประมาณต่อได้เพราะติดเงื่อนไขว่าช่วยเหลือไปแล้วจะไม่มีการช่วยซ้ำในกลุ่มเดิม
จึงพยายามประสานไปยังหน่วยงานอื่นที่พอจะเข้ามาสนับสนุนได้
เช่นการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เป็นต้น) น
ข้อคิดเห็นต่อ โรงเรียนเกษตรกร กลุ่มนี้ คือ
พวกเขาไม่กลัวว่าจะขาดความรู้หรือมีความรู้ไม่พอ
เพราะเขารู้ว่าสามารถหาความรู้นั้นได้อยู่แล้ว
ปัญหาของเขาคือการจัดการและความเกรงใจผู้นำที่ยังคิดว่าการชักชวนให้เพื่อนสมาชิกมาทำกิจกรรมนั้นเป็นการเสียสละเวลาที่มีค่าของแต่ละคนซึ่งพวกเขาไม่ควรต้องเสียค่าใช้จ่ายใด
ๆ ทั้งที่จริงอาจเป็นความเข้าใจผิด
เพราะพวกเขามาร่วมก็ด้วยเห็นประโยชน์
และหากจะมีการทำกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมหรือการบริหารจัดการที่จะทำให้สามารถหาเงินกองกลางสำหรับเป็นค่าใช่จ่ายในการทำกิจกรรมกลุ่มได้
ก็คิดว่าสมาชิกของกลุ่มนี้น่าจะยินดี
ซึ่งเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาจะสามารถหาทางจัดการกับปัญหานี้ได้
โดยไม่จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากใครอีก.
การถ่ายทอดความรู้ของสมาชิกวัย 82 ปีกับเกษตรรุ่นกลาง |
เหนื่อยนักพักก่อน เวทีเรียนรู้ข้างแปลง |
ไม่มีความเห็น