การทบทวนหลักคิดของครอบครัวและการตั้งเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงของครอบครัว ยังเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง เพราะเราเชื่อว่า “เป้าหมายกำหนดชีวิต” และความคิดกำหนดวิถีปฏิบัติ ดังคำกล่าวที่ว่า “เพียงแค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนไป” มีหลายคนมีความคิดปิ๊งแว๊บเข้ามาแล้วสามารถเปลี่ยนตัวเองให้ยิ่งใหญ่ได้ มีหลายคนเพียงแค่ปรับความคิดมุมมองของชีวิตก็สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้
เช่นกันงานครอบครัวเข้มแข็งที่ผ่านมา มีเรื่องราวดีดี กิจกรรมดีดีเกิดขึ้นอย่างหลากหลาย สร้างความปิติให้หลายคน แต่อีกหลายๆ คน มองเห็น รับรู้ แล้วผ่านเลยไป เพียงแค่ เออ....ก็ดี แต่....เอาไว้ก่อน....ฉันทำอยู่แล้ว....เป็นเรื่องพื้นๆ และอีกสารพัดเหตุผลที่เอามายกอ้าง
แต่ในความเป็นจริงของชีวิตและครอบครัวในมุมของสังคม เราก็ยังพบอยู่เสมอๆ ว่า....
เรามีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราก็มีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน
เราได้กินข้าวร่วมกันในครอบครัวน้อยลง ทั้งๆ ที่มีข้าวปลาอาหารให้กินอย่างบริบูรณ์
เราได้ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวน้อยลง ทั้งๆ ที่เรามีกิจกรรมสังสรรค์ทางสังคมมากมาย
เรามีการพูดคุยกันในครอบครัวน้อยลง แม้จะมีโลกสื่อสารผ่านมือถือ อินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมโยงโลกใบนี้ให้เล็กลงเท่ารูเข็ม
เราดูห่างเหินกัน ทั้งๆ ที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ในบ้านอันหรูหราใหญ่โต
เรารักกันและกัน เรารักครอบครัว แต่เรากลับแสดงคำพูดและท่าทางที่ทำร้ายคนที่เรารักและคนรอบข้างเราอยู่เสมอมา
เราบอกว่ารักครอบครัว แต่เรากลับทำร้ายครอบครัว ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
เราอยากกอดคนที่เรารัก กอดพ่อ กอดแม่ กอดลูก แต่เราก็เขินอายเกินไปที่จะเข้าไปโอบกอดคนที่เรารักเหล่านี้
นี่เป็นความเปราะบางท่ามกลางการผุกร่อนของครอบครัว ท่ามกลางกระแสบริโภคนิยมที่กัดกินตัวเราวันละนิดๆ
กระบวนการเรียนรู้เรื่องครอบครัวเข้มแข็ง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนในครอบครัวได้ได้คิด และนำไปสู่การคิดได้ร่วมกัน เกิดการปรับเปลี่ยนตัวเอง เป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ของครอบครัวและชุมชน เพื่อหวังนำพาครอบครัวและชุมชนไปสู่ความเข้มแข็ง ด้วยเราเชื่อว่า “เริ่มเปลี่ยนตัวเองก่อน แล้วครอบครัวเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนตาม” มิใช่รอเปลี่ยนแปลงคนอื่น และนี่จะเป็นการเปลี่ยนจากจุดเล็กๆ แต่สะเทือนสังคมใหญ่ได้ในอนาคต หากเราร่วมด้วยช่วยกัน
ไม่มีความเห็น