(เล่าต่อจากเรื่องพระนางสามาวดี)
“นางมาคันทิยาเป็นคนสวยมากกกก...
ใครๆก็มาขอ แต่พ่อไม่ให้ บอกว่า ยังไม่เหมาะกับลูกสาว
เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นพราหมณ์พ่อของมาคันทิยาในข่ายพระญาณ ทราบว่าวันนี้ถ้าหากพระพุทธเจ้าไปโปรด พราหมณ์กับเมียจะได้เป็นอนาคามี พระพุทธเจ้าเลยเสด็จไปโปรด พอพราหมณ์เห็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ บอกยกลูกสาวให้เลย แล้วบอกพระพุทธเจ้าให้รอ แกจะไปตามลูกสาวมา ก็รีบไปบอกเมีย แต่งตัวลูกสาวให้ดีแล้วพามา
พระพุทธเจ้าทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ แล้วเสด็จไปประทับที่อื่น ปกติรอยพระบาทที่พระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้นี่ หากทรงพระประสงค์ให้ใครเห็น คนนั้นก็จะเห็นนะ รอยพระบาทจะไม่ลบไปด้วย ไม่ว่าจะลมพัด ฝนตกหรือช้างเหยียบก็ตาม
ทีนี้พราหมณ์ก็เที่ยวตามหาพระพุทธเจ้า ฝ่ายเมียมาดูรอยพระบาทแล้วว่า นี่ไม่ใช่รอยเท้าของผู้ข้องในกามารมณ์”
“รอยเท้าเป็นยังไง” การะเกดถาม ดังฝันตอบว่า
คนเจ้าราคะ รอยเท้าเว้ากลาง
คนเจ้าโทสะ รอยเท้าหนักส้น
คนเจ้าโมหะ หนักปลายนิ้วเท้ารอยเท้า เช่นนี้เป็นรอยเท้าของคนไม่มีกิเลส”
“ใช่” ศิริมาลย์ต่อ “เมียก็บอกพราหมณ์ แต่พราหมณ์ไม่ฟัง เดินหาพระพุทธเจ้าจนพบพระพุทธเจ้าก็เล่าประวัติของท่านตั้งแต่มีความสุขมายังไงจนเสด็จออกผนวช ถูกนางตัณหา ราคา อรดี ๓ คน ลูกสาวแสนสวยของพญามารมายั่วยวน แต่พระองค์ไม่สนพระทัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์เอย เราไม่ได้พึงพอใจ เพราะได้เห็นนางตัณหา ราคา อรดี แล้วจะมาพอใจลูกสาวท่านทำไม นางเป็นผู้เต็มไปด้วยมูตรและกรีส ( ปัสสาวะ อุจจาระ) เราไม่ปรารถนาจะแตะต้องธิดาของท่านแม้ด้วยเท้า”
โหย โกรธแย่ซี” การะเกดคราง “ใช่ ผูกอาฆาตเลยล่ะ
นางมาคันทิยาผูกเจ็บพระพุทธเจ้าว่าจะแก้แค้นเลยทีเดียว แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจนพราหมณ์กับเมียได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ทั้งสองคนเลยพาลูกสาวไปฝากอาชื่อ จูฬมาคันทิยา ฝากแล้วก็ออกบวช ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์”
“แหม ดีจังเลย” การะเกดชื่นชม
“ของเรายังอีกไกล” ดังฝันว่า
ต้นเทียนพยักหน้า “ก็เลยรีบนั่งทำบุญทำทานอยู่นี่ไง”
การะเกดถามว่า “แล้วทำไมถึงต้องมีเรื่องนางมาคันทิยามาเกี่ยวด้วยล่ะ เล่าเรื่องสามาวดีแท้ๆ” “เกี่ยวมากเลยล่ะ” ดังฝันว่า
ต้นเทียนจึงเล่าว่า “อาของมาคันทิยา เป็นปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน พอหลานมาอยู่ด้วย เลยทูลเกล้าถวายเลย พระเจ้าอุเทนทรงให้เป็นอัครมเหสีอีกองค์หนึ่งโปรดปรานมากเลย”
ศิริมาลย์บอกว่า “นี่แหละเป็นโอกาสของนางมาคันทิยา พอได้เป็นมเหสีมีบริวาร ให้บริวารไปยืนด่าพระพุทธเจ้า ตอนที่ทรงบิณฑบาตด่าจนพระอานนท์ทนไม่ไหว ชวนพระพุทธเจ้าหนีไปเมืองอื่น แต่พระพุทธเจ้าไม่ไป ตรัสว่าไปแล้ว เกิดมีคนด่าอีกทำยังไง
พระอานนท์บอกว่าก็หนีอีก
พระพุทธเจ้าทรงว่า จะหนีไปเรื่อยได้ยังไง ทรงสอนว่า "เราจะอดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินของผู้อื่น ดังช้างศึกในสงครามอดทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนส่วนมากเป็นคนชั่ว คนเราย่อมจะนำสัตว์ที่ฝึกจนเชื่องแล้วออกไปยังที่ชุมนุมชน สัตว์ที่ฝึกแล้วประเสริฐฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น คนที่ฝึกให้อดทนต่อคำล่วงเกินของคนอื่นได้ จัดว่าประเสริฐที่สุด”
“ประทับใจจริงๆ” การะเกดรำพึงขึ้นมา
“แต่ฝึกยากนา” ดังฝันว่า “เรายังอดทนไม่ค่อยไหวหรอก เวลาใครมาว่าอะไร”
ศิริมาลย์เล่าต่อ “พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องทั้งหลายจะสงบลงภายใน ๗ วัน พระอานนท์ไม่ต้องวิตก ทีนี้พอพระพุทธเจ้าทรงไม่หวั่นไหว นางมาคันทิยาเห็นว่าการจ้างด่าไม่ได้ผล คิดว่า พระนางสามาวดีเป็นผู้เลื่อมใสพระพุทธเจ้า ถ้ากำจัดนางไป พระพุทธเจ้าก็คงจะออกไปจากกรุงโกสัมพีเอง เลยหาเรื่องใส่ร้ายเลยล่ะ ก็บอกให้อาไปเอาไก่เป็นมา ๘ ตัว ไก่ตายมา ๘ ตัว มาถวายพระราชาตอนที่เสวยน้ำจัณฑ์อยู่ในห้อง มหาดเล็กทูลว่า ปุโรหิตมาคันทิยานำไก่มาถวาย ๘ ตัว”
“อ้าว ไม่ใช่ ๑๖ เหรอ” การะเกดท้วง
“เขาหลอกไง” ดังฝันว่า ศิริมาลย์พยักหน้าเล่าต่อไปว่า
“พระราชาบอกว่า เออ ดี แกงแกล้มเหล้า ให้ใครแกงดีล่ะ พระนางมาคันทิยาก็บอกว่าไปให้พระนางสามาวดีแกงสิ วันๆว่างไม่เห็นทำอะไร พระราชาเลยสั่งให้พระนางสามาวดีแกง
ทีนี้พระนางมาคันทิยาก็ติดสินบนมหาดเล็กให้เอาไก่เป็น ๘ ตัวไปให้ ไปถึงพระะนางสามาวดี บอกไม่แกงหรอก ไก่เป็น เราไม่ฆ่าสัตว์ มหาดเล็กกลับมากราบทูลพระราชา พระนางมาคันทิยาแกล้งพูดว่า อย่างนั้นลองสั่งให้แกงไปถวายพระพุทธเจ้าสิ ดูซิจะแกงมั้ย พระราชาก็ทรงสั่งไป
คราวนี้มหาดเล็กเอาไก่ตาย ๘ ตัวไปส่ง พระนางสามาวดีเห็นว่าไก่ตายแล้ว และพระราชารับสั่งให้แกงถวายพระพุทธเจ้าด้วย ก็รีบแกงเลย”
“เสร็จขาโจ๋ โดนใส่ความว่ามีใจกับพระพุทธเจ้า” ดังฝันว่า
ศิริมาลย์บอก “แต่พระราชาเฉยๆ นะ เลยยังไม่มีเรื่องอะไร ทีนี้ก็เอาใหม่ ให้อาเอางูถอนเขี้ยวพิษออกแล้วใส่ในรางพิณ เอาดอกไม้อุดเสีย ๒-๓ วัน ปกติพระราชาเสด็จประทับที่ปราสาทของมเหสี ๓ องค์ องค์ละ ๗ วัน มเหสีอีกองค์ชื่อวาสุลทัตตา เป็นธิดาพระเจ้าจัณฑปัชโชต เมืองอุชเชนี แต่องค์นี้ไม่มีปัญหาอะไรกับพระนางสามาวดี
คราวนี้พอถึงวันที่พระราชาจะเสด็จปราสาทของพระนางสามาวดี พระนางมาคันทิยาบอกว่า ฝันร้าย อย่าเสด็จเลย เป็นห่วง แต่พระราชาไม่เชื่อ เสด็จไป ก็เลยตามไปด้วย พระราชาเอาพิณไปด้วย ไปวางไว้ที่หิ้งเหนือพระเศียร แล้วเข้าบรรทม พระนางมาคันทิยาไปเอาดอกไม้ออกงูก็ออกมาจากรางพิณสิ
คราวนี้พระราชาเชื่อสนิทว่า พระนางสามาวดีคิดร้าย เลยจะฆ่าเสีย พระราชาโก่งธนูจะยิงพระนางสามาวดี พระนางสามาวดีก็แผ่เมตตาไปยังพระราชา พระนางมาคันทิยา แล้วก็ตัวเองด้วย ให้เมตตาทุกคนเท่าๆ กับตัวเอง อย่าได้มีความโกรธเลย ด้วยอำนาจของเมตตา ลูกศรแล่นไปถึงพระนางสามาวดี แล้วเลี้ยวกลับมาจ่อที่อกของพระราชาครู่หนึ่ง แล้วก็ตกลงพื้น”
“ตอนนี้ถ้าวาดเป็นการ์ตูนแล้วสนุกดี” ดังฝันหัวเราะ
“พระราชาคิดว่า ขนาดลูกศรไม่มีจิตใจ ยังรู้คุณของพระนางสามาวดี เราเป็นผู้มีจิตใจทำไมไม่รู้คุณนาง จึงทิ้งคันธนูแล้วนั่งลงไหว้ ขอให้เป็นที่พึ่ง พระนางสามาวดี บอกว่า อย่ามาพึ่งหม่อมฉันเลย หม่อมฉันถือผู้ใดเป็นที่พึ่ง ขอพระองค์จงถือผู้นั้นเป็นที่พึ่งด้วย ผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า
พระราชาเลื่อมใส จึงอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์มาเสวยที่วัง และให้พระนางสามาวดีขอพร พระนางขอพรว่า ขอให้นิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยที่วังเสมอๆ พระราชาก็ทูลอาราธนา แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธบอกว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าไม่ควรเสวยที่เดียวประจำ เพราะประชาชนย่อมต้องการให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังบ้านของเขาบ้าง จึงทรงมอบหมายให้พระอานนท์ทำหน้าที่แทน พระนางสามาวดีเลยได้ถวายทาน และฟังธรรมเสมอๆ”
“เรื่องร้ายกลายเป็นดี” การะเกดสบายใจ ดังฝันหัวเราะ ทำให้การะเกดสงสัยว่าหัวเราะอะไร ต้นเทียนจึงบอกว่า “มันดีไม่ตลอดน่ะซี พระนางมาคันทิยายิ่งแค้นใหญ่ คราวนี้ สั่งให้อาไปเผาปราสาทพระนางสามาวดีซะเลย”
“โอย ตาย ทำไมใจร้ายจัง” การะเกดคราง “เรื่องธรรมดาของคนไม่มีศีลธรรม” ศิริมาลย์อธิบาย
ต้นเทียน เล่าต่อว่า “ปุโรหิตเอาผ้าชุบน้ำมันพันเสาปราสาทพระนางสามาวดีถามว่าทำอะไร เขาตอบว่า พระราชาสั่งให้ทำเพื่อให้ปราสาทมั่นคง ขอพระนางเสด็จประทับในห้องเถิด ตอนนั้น พระราชาเสด็จไปทรงกีฬา พวกนางกับบริวารเข้าห้อง ปุโรหิตก็ล็อกห้องจากข้างนอกขังไว้เลย แล้วจุดไฟเผาปราสาท พระนางรู้ว่าจะถูกเผาทั้งเป็นแล้ว ก็บอกบริวารว่า เมื่อพวกเราท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ เคยถูกไฟเผามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้พุทธญาณก็กำหนดได้ยาก พวกเราจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ทุกคนกำหนดเวทนากรรมฐาน คือ พิจารณาความทุกข์ใจที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง บางพวกก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน บางพวกก็บรรลุเป็นพระสกทาคามี บางพวกก็เป็นพระอนาคามีแล้วก็ตายกันหมดเลย”
“น่าสงสารจัง” การะเกดพึมพำ
“แต่ก็ได้บรรลุธรรมดีๆ ความตายครั้งนี้ไม่มีความหมายเท่าไหร่ ไม่ได้ตายด้วยจิตใจทุรนทุรายแบบปุถุชน” ศิริมาลย์บอกการะเกด
“แล้วทำไมต้องตายอย่างนี้ก็ไม่รู้ ทรมาน” การะเกดยังสงสารอยู่
ต้นเทียนเล่าว่า “เพราะชาติก่อน พระนางสามาวดีกับบริวารเกิดในเมืองพาราณสี บำรุงดูแลพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ ๘ องค์ในวังพระเจ้าพรหมทัต วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ ไปป่าหิมพานต์ แต่อีกองค์หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในกอหญ้าริมแม่น้ำ พระราชาพาพระนางสามาวดีชาตินั้นกับบริวารไปเล่นน้ำทั้งวัน ขึ้นจากน้ำมาก็หนาวสิ เลยไปจุดไฟจะผิงไฟกัน เห็นกอหญ้าก็จุดไฟล้อม พอหญ้ายุบลงไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้าฌานอยู่ ก็ตกใจ บอกว่า แย่แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าถูกไฟคลอก เดี๋ยวพระราชาจะลงโทษพวกเรา พวกเราต้องเผาท่านให้หมด”
“อ้าว” การะเกดร้อง “แทนที่จะช่วยออกมา”
“เออ นั่นซี คิดผิด” ดังฝันตอบ
ต้นเทียนเล่าต่อ “ก็เผาจนคิดว่าท่านไหม้หมดแล้ว เลยกลับไป แต่ไม่ตายหรอก พอวันที่ ๗ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ลุกขึ้นเดินเฉย เพราะธรรมดามีอยู่ว่า ถ้าท่านอยู่ในสมาบัติ ต่อให้เอาฟืน ๖๐๐ เล่มเกวียนมาเผา ยังทำให้ร่างกายท่านอุ่นขึ้นมิได้”
“แหม บุญจริง อภิญญานี่วิเศษ” การะเกดยิ้มออก
“ส่วนพวกสาวๆ” ดังฝันสรุป “ตกนรกหมกไหม้หลายพันปี พอเหลือเศษกรรมนิดหน่อยก็มาเกิดเป็นคน ถูกไฟคลอกตายหลายร้อยชาติ”
“พระนางสามาวดีตาย แล้วพระเจ้าอุเทนว่าไงล่ะ” การะเกดย้อนกลับไปถามเรื่องเดิม“ตอนนี้สิสนุก” ดังฝันเล่า “พระราชาฉลาดนา" ทรงรู้ว่าถ้าถามคาดโทษละก็ ใครจะยอมรับจริงมั้ยเลยแกล้งชมว่า ใครนะมาฆ่าสามาวดีให้ เรางี้ลำบากใจจะตายอยู่แล้ว ต้องคอยระแวงว่านางจะลอบทำร้ายเราหรือเปล่า อย่างที่เคยเอางูมาจะให้กัดเรา เรานั่งนอนระแวงไม่เป็นสุขเลย คนที่เผาปราสาทนางต้องรู้ว่าเราทุกข์ใจแน่ จึงได้ช่วยเรา ฆ่านางแทนเรา คนคนนี้จะต้องรักเรามากๆเลย
พระนางมาคันทิยาหลงกล เลยรีบทูลว่า "หม่อมฉันเองเพคะเป็นคนสั่งให้อาทำ ใครเล่าจะรักพระองค์เท่าหม่อมฉัน”
“เอ๋ย ให้มันได้ยังงี้ซีคนเรา” การะเกดว่า
ดังฝันเล่าต่อ “พระราชายังบอกอีกว่า จะให้รางวัลทุกคนเลย รวมทั้งญาติๆด้วย พอพระนางพาญาติมาก็พระราชทานข้าวของเยอะแยะ” ต้นเทียนต่อด้วยเสียงหัวเราะ
“คราวนี้ญาติเยอะเลย บางคนไม่ใช่ญาติ ก็มาสมัครเป็นญาติ”
“จะบ้าเหรอ” การะเกดคราง เพื่อนอีกสามคนจึงหัวเราะขำการะเกด ดังฝันเล่าว่า“พระราชาให้จับคนพวกนี้มัดไว้ ขุดหลุมลึกเท่าสะดือ แล้วให้ยืนในหลุม เอาดินใส่เอาฟางกลบปากหลุมแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น พอไหม้ไปได้หน่อยก็เอารถไถมาไถเป็นท่อนๆไปเลย” การะเกดถามว่า “รวมทั้งนางมาคันทิยาด้วยหรือ”
ดังฝันบอกว่า “ คนนี้ต่างหาก ตอนแรกขุดหลุมฝังเหมือนกัน แต่ให้เชือดเนื้อไปทอดในกระทะแล้วบังคับให้กินเนื้อตัวเอง จนตายไปอย่างอนาถน่าสังเวช”
“โอย โหดเหมือนกันนะ ไม่ดี ไม่ดี” การะเกดส่ายหน้าห่อไหล่ ทำอาการขนลุกขนพอง
“ก็คนสมัยก่อน เขาทำโทษกันรุนแรงอย่างนี้แหละ” ต้นเทียนว่า
“ถ้าไม่อยากโดนทำโทษก็ต้องทำดี มีจิตใจดี ก็จะสบาย”
ขอบคุณครับที่นำสิ่งดีๆมาบอกกล่าวกัน
ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยอ่านหนังสือธรรมะและแสดงความคิดเห็น
ทำให้มีกำลังใจเล่าเรื่องต่อมากเลยค่ะ
เรื่องนี้อยู่ในหนังสือ ธรรมเอกเขนก ของ ขวัญ เพียงหทัย ค่ะ
มีหลายตอน อ่านสนุก เพลิดเพลิน ได้สาระ ข้อคิดดีค่ะ
ถ้าสนใจเพิ่มเติมจะหาหนังสือมาอ่านก่อนก็ได้นะคะ
บุญรักษา ธรรมะคุ้มครองค่ะ
ขอบคุณครับ