ของแทนใจจากแม่


เป็นแม่อันประเสริฐสุด ที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้ลูก ๆ ถึง 10 คน ได้เติบโตและประสบผลสำเร็จในชีวิต

          วันนี้นั่งดูทีวีช่องทีวีไทย ได้เห็นประกาศเชิญชวนให้ส่งภาพและเขียนเรื่องส่งเข้าประกวดชิงรางวัล เรื่อง ของแทนใจจากแม่  ในช่วงวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ คว้าเอากล้องออกมาถ่ายภาพมือของตนเองเพื่อประกอบการเล่าเรื่อง แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งไปประกวดหรอกนะครับ เพียงแต่ว่าอยากจะเขียนเล่าไว้เตือนตนเองถึง ของที่ได้รับจากคุณแม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อตอนที่ผมตัดสินใจลาออกจากราชการ กลับมาทำงานที่จังหวัดบ้านเกิด คุณแม่ได้มอบของสองชิ้นให้ผม ที่ผมจะใส่ติดตัวอยู่ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้  ผมถือว่า เป็นของที่แทนใจจากแม่ ที่ผมภูมิใจที่สุด

       คงไม่ต้องบอกนะครับว่าของสองชิ้นนั้นเป็นอะไร เพราะชัดเจนอยู่แล้วจากภาพ  ชิ้นแรกที่อยู่ที่นิ้วนางของผมนั้น เป็นหยกที่คุณแม่ได้มาจากเมืองจีน จากญาติที่ยังอยู่ที่ประเทศจีนในตอนที่คุณแม่เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ประเทศจีนเมืองหลายปีก่อนหน้านั้น และเก็บไว้จนเมื่อผมได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด จึงนำหยกชิ้นนี้ออกมาให้ช่างประกอบเป็นหัวแหวนให้แก่ผม พร้อมกับสร้อยคอทองคำอีกหนึ่งเส้น

          ชาวจีนมีความเชื่อว่า "หยก" เป็นอัญมณีล้ำค่า เป็นสิริมงคลแก่ ผู้ที่ได้มาครอบครอง ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง โชคดี อายุยืนยาว  ชาวจีนเรียกหยกว่า "หยู" หรือ "หยุก" หรือ "เง็ก" ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่สวรรค์ประทานให้ ยกย่องให้หยกเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม 5 ประการ คือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา ความแข็ง และความหนาแน่นของเนื้อหยกนั้นเปรียบเสมือนความฉลาด และความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยกคือ ความยุติธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญูรู้คุณ  รายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องของหยกท่านจะสามารถหาอ่านได้มากมายบนอินเทอร์เน็ต จากคุณกูเกิ้ล (google) นะครับ

          ในสมัยที่ทำงานรับราชการอยู่ที่เชียงใหม่ แม้ว่าสถานะก็เพียงพอที่จะสามารถหาซื้อเครื่องประดับพวกหนี้มาใช้ได้ แต่ผมก็ไม่ซื้อมาสรวมใส่  โดยปกติผมจะใส่สิ่งที่อาจจะเรียกว่าเป็นเครื่องประดับอยู่ชิ้นเดียวคือนาฬิกาข้อมือ ซึ่งสำหรับผมใส่โดยไม่ถือว่าเป็นเครื่องประดับแต่ใส่ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในแง่ของการดูเวลา เพราะนาฬิกาที่ผมใส่และก็ใส่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นนาฬิการาคา 500 บาท ถ้าจำไม่ผิดซื้อตอนเรียนจบและเริ่มทำงานใหม่ ๆ ในปี 2511 ซึ่งเป็นช่วงที่นาฬิกาอัตโนมัติ ไม่ต้องไขลานออกมาใหม่ ๆ

          สำหรับสร้อยคอผมจะสรวมเฉพาะช่วงที่ต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ แต่เป็นสร้อย ที่ทำด้วยแสตนเลส มีเหรียญหลวงพ่อห้อยอยู่ 3 องค์ ที่ก็ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน สำหรับสร้อยทองคำในภาพ ผมมาเริ่มใส่ก็ตอนมาทำงานที่โคราชบ้านเกิดในปี 2536 เป็นต้นมา เพราะคุณแม่ได้มอบให้และบอกว่าอยากให้ใส่เพราะพี่ ๆ น้อง ๆ และคนแถวนี้เขาใส่กันทุกคน ผมจึงใส่สร้อยทองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ท่านที่พบเห็นผมในช่วงหลังปี 2536 จึงจะเห็นผมพร้อม ของแทนใจจากแม่ นี้เสมอ ยกเว้นช่วงเดินทางไกลบางครั้งผมก็จะยังคงกลับมาใส่สร้อยแสตนเลสเส้นเดิม

          จึงขอนำมาบันทึกไว้เพื่อแทนคำขอบคุณ ด้วยความเคารพและเทอดทูนในความเป็นแม่อันประเสริฐสุด ที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้ลูก ๆ ถึง 10 คน ได้เติบโตและประสบผลสำเร็จในชีวิตจนถึงทุกวันนี้ ในวาระวันแม่ปี 2551 ที่จะถึงนี้ด้วย           

หมายเลขบันทึก: 198453เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2008 16:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • มาร่วมระลึกพระคุณแม่ค่ะ
  • คุณแม่เคยให้สร้อยทอง เป็นของขวัญที่เรียนจบ
  • แต่จนวันนี้ยังไม่เคยใส่สักครั้งเพราะกลัวหายจึงเก็บรักษาไว้อย่างดีค่ะ
  • ขอบคุณอาจารย์P มากครับ
  • ผมก็มีสร้อยทองอีกเส้นพร้อมหลวงพ่อทวด ที่ได้รับจาก คุณแม่(ยาย) ที่เก็บไว้อย่างดีเช่นเดียวกันครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท