****************************************** ที่มา หนังสือ กฏแห่งกระจก : กฏมหัศจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาชีวิตของคุณ /โยชิโนริ โนงุจิ เขียน พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ. อัมรินทร์ HOW TO.2551
-----------------------------------------------------
เอโกะผู้มีความทุกข์จากการที่ลูกชายไม่ยอมเปิดใจเป็นที่มาของที่ปรึกษาโยชิโนริ โนงุจิ “กฎแห่งกระจก”สะท้อนถึงจิตใจ ก้าวข้ามปัญหาด้วยการให้อภัย
-----------------------------------------------------
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ‘ผลลัพธ์’ เมื่อมี ‘ผลลัพธ์’ ก็ต้องมี‘ต้นเหตุ’ และต้นเหตุก็ต้องมีที่มาจากจิตใจของเราเอง หรือพูดอีกนัยก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคือกระจกสะท้อนจิตใจของเราเอง การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิตจะทำให้เรามองเห็นสภาพของตัวเอง แลเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตของคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัว”
“เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อนก็ได้ เดี๋ยวความรู้สึกก็ตามมาเอง”
“มีกฎที่เรียกว่า ‘กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น’ เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง เราก็จะเริ่มเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งตามมา ที่จริงแล้ว ทุกปัญหาในชีวิตที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้รู้ซึ้งถึงความสำคัญบางสิ่ง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาบังเอิญแต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่างหาก นั่นหมายความว่า ปัญหาที่เราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น เราแก้ไขได้ทุกปัญหาและถ้าพยายามอย่างเอาใจใส่ มองโลกในแง่ดี เราก็จะนึกขอบคุณในภายหลังว่า ดีแล้วที่เกิดปัญหานั้นขึ้น เพราะนั่นทำให้ฉัน…’”
“ปัญหาในชีวิตที่เกิดขึ้นเพื่อให้เรารู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ”
ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง” และนี่ก็คือ “กฎแห่งกระจก” ถ้าจิตใจของเรามีแต่ความทุกข์ เงาในกระจกที่สะท้อนออกมาก็คือเหตูการณ์ไม่ดีต่างๆนานาที่ทำให้เป็นทุกข์ ในทางกลับกัน ถ้าจิตใจของเราเปี่ยมไปด้วยความสำนึกรู้คุณเหตุการณ์ดีๆที่จะทำให้เรารู้สึกสำนึกรู้คุณก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง”หมายความว่า “เหตุการณ์ในปัจจุบันจะเกิดขึ้นตามคลื่นความถี่ของหัวใจ”พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ“สาเหตที่เกิดขึ้นในจิตใจจะกลายเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง” เป็นกฎง่ายๆที่เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะรู้วิธีควบคุมชีวิตของตัวเอง เราเห็นจิตใจของตนเองได้ด้วยการมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
การแก้ปัญหาชีวิตตั้งแต่รากฐานนั้นจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุในจิตใจตัวเอง จะหวังพึ่งคนอื่นหรือรอให้สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงจิตใจตัวเองเลยนั้นอะไรๆก็คงไม่เป็นไปอย่างที่คิด
ขอให้ตระหนักให้ดีว่า ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วค่อยๆเปลี่ยนแปลงจิตใจไปพร้อมๆกับ
ความสบายใจจากการให้อภัย
คำว่า “ให้อภัยไม่ได้” คือสภาพจิตใจที่ติดอยู่กับอดีต และนึกเกลียดใครบางคนอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่เราเกลียดคนอื่นและ “ไม่ให้อภัย” เราจะรู้สึกไม่สบายใจ
ทุกคนมีสิทธิ์ “ให้อภัย” หรือ “ไม่ให้อภัย”การให้อภัยนั้นไม่ได้หมายถึการยอมรับการกระทำของคนอื่นไม่ได้หมายถึงการมองข้ามความผิดของเขา และไม่ได้หมายความว่าเราต้องอดทนทั้งที่คิดว่าเขาผิด
การให้อภัยหมายถึงการปล่อยวางจากการยึดติดอยู่กับอดีตเลิกโทษว่าเป็นความผิดของใคร และเลือกที่จะมีแต่ความสบายใจ การให้อภัยไม่ได้เป็นการทำเพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวคุณเองต่างหาก
ก่อนคุณต้องให้อภัยตัวเอง ในสาขาจิตวิทยาเราเรียกสิ่งนี้ว่าการยอมรับตัวเอง ยอมรับว่าคุณกำลังเจ็บช้ำแล้วให้อภัยตัวเองที่ให้คนอื่นไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ขอให้คุณมองสิ่งที่เรียกว่าBelief ของตัวเอง Belief คือสิ่งที่คุณเชื่อมั่นโดยไม่มีข้อสงสัย
ตัวอย่างของ Belief ที่ทำให้เราอภัยให้ผู้อื่นได้ยาก ได้แก่
- การให้อภัยทำให้เราเสียประโยชน์
- การที่เรารู้สึกแย่ก็เพราะเขาแท้ๆ เราไม่ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์
- การเนผู้เสียหายย่อมสบายกว่าการยอมรับว่าเป็นคนผิด
- เขาต้องได้รับโทษอย่างสาสม
- แค้นนี้ต้องชำระ
- เราให้อภัยไม่ได้ เราต้องปกป้องตัวเอง
แต่ขอให้ลองคิดดูให้ดีว่า Belief เหล่านี้ทำให้คุณมีความสุขหรือไม่
*****************
8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย
[ขั้นตอนที่ 1] เขียนรายชื่อ “คนที่ให้อภัยไม่ได้”ลงในกระดาษ เลือกคนที่คุณคิดว่าเหมาะจะลองใช้ “ 8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย” ดู
[ขั้นตอนที่2] ระบายความรู้สึกของตัวเองเขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อคนคนนั้นควรเขียนความรู้สึกในใจแทนที่จะเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้ารู้สึกโกรธจะเขียนคำว่า“ คนบ้า” “ทุเรศ” หรือคำอื่นก็ได้และถ้ารู้สึกเป็นทุกข์เศร้าเสียใจก็ขอให้เขียนลงไปด้วยเขียนระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เมื่อเขียนอย่างหมดไส้หมดพุงแล้ว ขอให้ฉีกกระดาษเป็นชิ้นๆแล้วทิ้งลงถังขยะไป
[ขั้นตอนที่3] จินตนาการสาเหตุของการกระทำ
1.เขียนการกระทำของคนคนนั้นที่ทำให้คุณ “ให้อภัยไม่ได้”
2.ลองจินตนาการสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนั้น แรงจูงใจที่ทำให้คนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยจำแนกออกเป็นสองสาเหตุใหญ่ๆคือ อยากมีความสุข และ อยากเลี่ยงความทุกข์ ลองจินตนาการว่าเขาอยากได้ความสุขแบบใดหรืออยากเลี่ยงความทุกข์แบบไหนถึงได้ทำเช่นนั้น
3.ขอให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นคือการกระทำที่เกิดขึ้นจากความด้อยประสบการณ์ ความไม่รู้หรือความอ่อนแอ เราทุกคนมักทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆ เช่น ทำบางอย่างเพื่อให้มีความสุข แต่กลับกลายเป็นความทุกข์ การกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์กลับกลายเป็นเพิ่มความทุกข์ เข้าไปอีก
4.ขอให้พิจารณาการกระทำของคนคนนั้นพูดออกมาว่า “ คุณก็คงอยากมีความสุขคุณก็คงอยากหนีให้พ้นจากความทุกข์เหมือนกันกับฉัน”
[ขั้นตอนที่4]เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณ เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณคนคนนั้นออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ขอให้เขียนลงไป แม้ต้องใช้เวลาสักหน่อย เขียนให้มากเข้าไว้
[ขั้นตอนที่5]ขอพลังจากการพูด
1 .ปฏิญาณว่า “ฉันจะให้อภัยคุณเพื่อความเป็นอิสระความสบายใจ และความสุขของตัวเอง”
2.กล่าวคำขอบคุณซ้ำๆว่า“คุณ (ชื่อ) ขอบคุณครับ/ค่ะ” ไม่จำเป็นต้องรู้สึกจากใจจริง แม้ในจิตใจจะยังรู้สึกไม่ให้อภัย แต่ก็ขอให้เริ่มจากคำพูด ( การกระทำภายนอก) ก่อน ใช้เวลาในขั้นตอนนี้ 10 นาทีเป็นอย่างน้อย เราจพูดได้ประมาณ 400-500 ครั้ง และหากเป็นไปได้ ขอให้พูดต่อเนื่องนาน 30 นาที เพื่อจะได้รู้สึกอยากพูดขอบคุรคนคนนั้นจากความรู้สึกที่แท้จริงแล้วจึงค่อยพูดกับเจ้าตัว
[ขั้นตอนที่6]เขียนสิ่งที่อยากขอโทษ เขียนสิ่งที่อยากขอโทษคนคนนั้นให้มากที่สุด
[ขั้นตอนที่7] เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการรู้จักคนคนนั้น คุณอาจได้เรียนรู้หรือรับรู้สิ่งใหม่ๆจากการคิดเรื่องที่ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับเขา ควรทำตัวอย่างไรจึงจะทำให้ทั้งคุณและเขามีความสุข
[ขั้นตอนที่8]ประกาศว่าฉันให้อภัยแล้ว
หากทำครบทั้ง 8 ขั้นตอนแล้ว แต่ยังรู้สึก “ให้อภัยไม่ได้” ก็ไม่เป็นไรให้ทำตามขั้นตอนที่ 2 ถึง ขั้นตอนที่ 5 เป็นประจำ พร้อมนึกถึงหน้าของคนคนนั้น แล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า (ชื่อคนๆนั้น) ขอบคุณครับ/ค่ะ ทำอย่างน้อยวันละ 5 นาที แล้ววันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น
-----------------------------------------------------
จากหนังสือดังกล่าว ที่ปรึกษาโยชิโนริ โนงุจิ ไม่เพียงแต่สะท้อนสภาพของชีวตในรูปแบบของกฎแห่งกระจก และการหลุดพ้นจากปัญหาด้วยการให้อภัยเท่านั้น แม้แต่คนที่ไม่สามารถให้อภัยได้ กระนั้นคุณโยชิโนริ โนงุจิอาศัยหลักของจิตวิทยาใหเกิดการกระทำซ้ำๆ เสมือนให้เราสะกดจิตตนเองให้รู้จักปล่อยวาง จากการกล่าวคำว่าขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน
-----------------------------------------------------
นำพาความสุขสู่ชีวิตของคุณ
หากท่านที่ทำตามขั้นตอนทั้งหมดแล้วอยากกล่าวคำขอบคุณ หรือ คำขอโทษ ขึ้นมาจริงๆ ขอให้ลองพูดกับคนคนนั้น ก่อนที่ความรู้สึกเช่นนั้นจะหายไป
ขอให้ตั้งเป้าหมายแค่การ “บอกให้เขารู้” ส่วนผลที่ตามมาเขาจะยอมรับฟังหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้แค่บอกก็พอแล้ว
หากอีกฝ่ายไม่รับฟังนั่นหมายความว่าคนคนนั้นเจ็บปวดใจมาก ให้ถือเป็นความอ่อนแอของฝ่ายนั้น ถึงแม้เข้าจะปฏิเสธ แต่จิตใจของเค้าอาจจะรับฟังและรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ บอกกับตัวเองว่า ทำดีแล้วที่เลือกการให้อภัย
“ ทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เรารู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง เราแก้ไขได้ทุกปัญหา และการพยายามแก้ไขปัญหานั้น จะทำให้เราได้รับรู้ถึงสิ่งสำคัญ”
ถ้าจิตใจของเรามีแต่ความทุกข์ เงาในกระจกที่สะท้อนออกมาก็คือ เหตุการณ์ไม่ดีต่างๆ นานา ที่ทำให้เราเป็นทุกข์
ในทางกลับกัน ถ้าจิตใจของเราเปี่ยมไปด้วยความรู้สำนึกรู้คุณ เหตุการณ์ดีๆ ที่จะทำให้เรารู้สึกสำนึกรู้คุณก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง ”
อ่านแล้วนึกถึง คำว่า mindset
mindset-->system-->behavior-->result
ได้ข้อคิดเยอะเลย แต่หวังว่าคนที่โกรธผม และผมโกรธอยู่ จะได้มาอ่านนะ
ณ ชั่วโมงนี้ ใจยังไม่กล้าพอ
สงสัยต้องลองเทสซะละ
ได้ผลครับ.... คือ พอผมเริ่มเขียนตามขั้นตอนจากขั้นตอนแรกไปเรื่อยๆ สมองมันก็จะเริ่มคิดหาเหตุผมมาใส่ คิดไปคิดมาเริ่มใช้เวลานานแล้วบ้างอย่างก็คิดไม่ออก อ่านวนไปวนมาจนงง สุดท้ายก็คิดได้ว่าจะมานั่งเสียเวลาเรื่องแบบนี้ทำไมเนี่ย ส่วนคนที่เราโกรธ...ก็ช่างมันเถอะ ขนาดจะหาเหตุมาทำให้หายยังงงเลยแล้วจะไปโกรธมันทำไม...สุดท้าย ลืม ไม่รู้ว่าไปโกรธเค้าเรื่องอะไร ..... ทั้งหมดนี้ขำๆนะครับ ผมว่าข้อคิดที่อาจารย์ให้มามีประโยชน์มากครับ แต่จะให้มีประโยชน์มากขึ้น จะต้องพัฒนาการใช้เหตุผล อารมณ์ คล้ายกับการพัฒนา EQ เพื่อเพิ่ม IQ ผมว่าใครทำได้ จะมีประโยชน์มากๆครับ (ผมยังทำไม่ได้เลย..)
ดีใจค่ะที่บทความนี้จะเป็นประโยชน์