พามาชมงานนเรศวรวิจัยปีที่ ๔ (วันแรก)กันต่อนะครับ (พาไปบูธของโรงเรียนบ้านตะโม่ประชาสรรค์-คำว่าตะโม่เพี้ยนมาจากคำว่า "ตาโม้")... ผมเห็นเด็กๆ กำลังตำสมุนไพรกันอยู่ก็สนใจ ไม่ใช่ผมสนใจเรื่องสมุนไพรเท่าไรหรอก แต่ผมเห็นพวกเด็กนักเรียน ผมอยากรู้ว่าเขาจะให้ความรู้อะไรกับผมได้บ้าง (เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์, เชื่อว่าความรู้ในตัวตนมากกว่าความรู้ในตำรา) ผมคิดว่าผมคงได้อะไรดีๆ จากบูธนี้แน่ๆ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับกระบวนการเรียนรู้ของผมนั่นเอง
พอเดินเข้าไปก็มี เด็กชาย อนุชิต ผิวชา นักเรียนชั้น ม.๒ มาให้คำอธิบายถึงสมุนไพรพื้นบ้าน ก่อนอื่นผมก็สอบถามเด็ก ๒ เรื่อง คือ (๑) ความหมายของนามสกุล คือ ผิวชานี่หมายความว่า ผิวมันชาไปหมดแบบเป็นเหน็บชา หรือว่า ผิวสีชา (กาแฟ) เด็กตอบว่า "เป็นแบบหลัง" (๒) ผมถามว่าสมุนไพร แปลตรงตัวง่ายๆ ว่าอย่างไร เด็กอาจจะไม่เข้าใจคำถาม จึงตอบไม่ได้ (คำถามนี้ผมนึกที่หน้างาน ไม่ได้เตรียมมาก่อน) ผมเฉลยง่ายๆ
ทีนี้เด็กมี "ขมิ้นชัน" (ลืมถ่ายรูปมา) ก็อธิบายว่าเอาขมิ้นชัน+มะกรูด+ข่า ประมาณนี้ เอามาตำให้เข้ากันแล้วใส่ลูกประคบ นำมาใช้ในการบรรเทาอาการปวดต่างๆ....แค่ขมิ้นชันตัวเดียวผมก็ไม่มีความรู้แล้ว....ผมถามว่าขมิ้นชันหามาจากไหน ไปซื้อจากตลาดได้ไหม เด็กบอกว่าหายากในตลาด ต้องไปหาในที่ซึ่งเขาปลูกกัน ไปแบ่งเขามา...นี่ก็ได้ความรู้ไปอีกแบบ
ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนของอนุชิต ชื่อ เด็กหญิงเพ็ญนภา ประสงค์ เข้ามาร่วมแจมด้วย แต่ผมยังไม่ได้สอบถามความรู้อะไร แต่อยากจะบันทึกภาพไว้ก่อน...ได้ภาพดั่งข้างบน
พอถามเด็กต่อ คุณครูวนิดา รัตนเสน เริ่มสนใจ ก็ให้คำอธิบายเพิ่มเติม ผมก็เลยขอถ่ายภาพคุณครูกับนักเรียนเสียเลย...(การขอถ่ายภาพแล้วเขาอนุญาตให้ถ่ายได้ นี่ผมคิดว่าเป็นวิธีการเปิดใจกันแบบหนึ่งที่ดีทีเดียว เปิดใจแบบไม่รู้ตัว)
คุณครูวนิดานี้แกเป็นครูผู้ชำนาญการพิเศษ (มางานนี้ได้เป็นผู้นำเสนอผลงานด้วย) ดูแลวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ส่วนที่พานักเรียนมาออกบูธนี่อยู่ในวิชาเลือก (สาระเรียนรู้เพิ่มเติม) ที่นักเรียนสนใจ มีนักเรียนเลือกเรียนเทอมหนึ่งประมาณ 10 กว่าคน...
ผมสอบถามถึงความรู้เดิม...มาจากคุณแม่ชื่อ อำนวย (ฮ่าๆ พอผมพูดถึง คุณอำนวย คุณกิจ แกเลยเข้าใจว่าผมพูดถึงคุณแม่..อิอิ) คุณแม่อำนวยไปเรียนวิชาเกี่ยวกับสมุนไพรและการนวดที่วัดโพธิ์กรุงเทพฯ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว...หลังจากมีความเชี่ยวชาญพอสมควรก็มาช่วยงานพัฒนากร ที่สำนักงานพัฒนาแรงงานจังหวัดในประมาณปี 2542-2544
จากนั้นคุณครูวนิดา ก็สนใจที่จะอนุรักษ์เรื่องไทยๆ หรือภูมิปัญญาไทยเอาไว้ เพราะว่าพืชสมุนไพรมีอยู่รอบตัว และรอบๆ โรงเรียนก็มีทรัพยากรท้องถิ่นพร้อม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ผอ.โรงเรียนคือ ผอ.มนัส อินหอม...
แค่ถ่ายรูปผอ. แต่ยังไม่ได้คุยกัน เพราะกำลังคุย (AI) กับอ.วนิดาค้างอยู่ในเรื่องสมุนไพร กับ ลูกประคบสมุนไพรยังซึ่งไม่ทันจบดี ก็ไปพบผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เป็นถ่านจากผลผลิตทางการเกษตรที่เหลือใช้..คุณครูวนิดากำลังจะเล่าต่อเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของเด็กนักเรียน..ได้คำพูดเด็ดของครูวนิดามา ๑ ข้อ คือ "ครูไม่มีสิทธิ์เบื่อ" (ในการเสาะแสวงหาความรู้ของนักเรียน)
ครูเล่ากระบวนการ (เคารพความรู้ในตัวตนมากกว่าตำรา) คิด "ถ่านจากผลผลิตทางการเกษตร" เอามาต่อยอดเป็น"ถ่านผลไม้ดูดกลิ่นเพื่อสุขภาพ".(ในตู้เย็น)..คือ เด็กชายธนกร ทองทา อยู่ชั้น ม.๑ มีคุณพ่อเป็น "คนเผาถ่าน" เผาถ่านจากไม้ที่เหลือใช้...ความรู้นี้ก็ถูกถ่ายทอดไปยังลูก... พอช่วงเปิดเทอมเด็กชายธนกรมาโรงเรียนเรียนมาเรียนวิชาสาระความรู้เพิ่มเติม..ก็ช่วยกันคิดกับครูเริ่มจากเผาถ่านก่อน แล้วมีการโยนผลไม้ลงไป แล้วผลไม้กลายเป็นถ่าน...
แต่พอลองมาทำจริง เผาในภาชนะ ก็ได้ไม่ดี จึงต้องทดลองใหม่ ๔ ครั้ง ถึงจะได้ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงในวันนี้ ซึ่งใช้เวลาคิดและทดลองทำเพียง 2 เดือน แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์...แต่ที่น่าสนใจคือมีกระบวนการคิดร่วมกัน กระบวนการทดลองและจดบันทึก ซึ่งจะได้รับคำแนะนำกระบวนการตีโจทย์ปัญหา จากคุณครูที่ปรึกษาและท่านผอ.
ถ่านผลไม้ดูดกลิ่นเพื่อสุขภาพอย่างเดียวยังไม่น่าสนใจ ต้องพัฒนา packaging ด้วย ครั้งแรกทำเป็นชะลอม แต่ว่าทำไม่ทัน ได้เด็กนักเรียนหญิงทำเป็นกล่องใส่ แล้วใส่ในถุงพลาสติกอีกครั้ง...แสดงให้เห็นถึงการเป็น "ทีมเรียนรู้-Team Learning"
ถึงตรงนี้...ท่านผอ.ก็สนใจในตัว beeman เลยเชิญไปนั่งสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ท่านผอ.เรียนจบ จากคณะศึกษาศาสตร์ มศว พิษณุโลก ตอนปี 2526 พอกลับไปก็ได้เป็นครูใหญ่ พอประมาณปี 2528 ก็ได้ย้ายไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านตะโม่ประชาสรรค์ (จนถึงปัจจุบัน) ต่อจากครูใหญ่คนเดิมที่เคยสอนผอ.มนัสมา กลับมาเรียนปริญญาโทภาคค่ำอีกครั้งจนจบในปี 2532
ผอ.มนัสบริหารโรงเรียนนี้ต่อเนื่องมา ไม่เคยย้ายไปไหน จากโรงเรียนประถมเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ในเนื้อที่เพียง ๒ ไร่ แต่มี 11 ชั้นเรียน ซึ่งการทำงานส่วนหนึ่ง ต้องอาศัยการทำงานกับชุมชน...
ผอ.มีแนวการพัฒนานักเรียนให้คิดเป็น จนกระทั่งเด็กคนหนึ่งซึ่งจบไป สามารถสร้างงานมีรายได้เดือนละ 8 ล้านบาท...
มีตัวอย่างเรื่องเล่าทับซ้อนครับ เรื่อง "ถอดบทเรียนภูมิปัญญาการตีมีด" แสดงถึงวิธีการสอนให้นักเรียนคิดเป็น ทำอย่างไร
รายได้ของการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งนักเรียนเอาไป ส่วนที่สองครูเก็บไว้ใช้ลงทุนหมุนเวียนต่อ ส่วนที่ 3 ให้กับโรงเรียน เพราะต้องใช้ทรัพยากรของโรงเรียน
ผมยังได้ความรู้ วิธีคิด และปัญหาต่างๆ ของการจัดการโรงเรียน..จากผอ.มนัส ซึ่งเป็นผู้รู้จริง ทำได้จริง...
วิธีคิด วิธีสอน ของผอ.มนัส ใช้กระบวนการทำลายกำแพงสกัดกั้นพลังของมนุษย์ 6 ข้อ ของท่านอาจารย์หมอประเวศได้หมด 6 ข้อที่ว่านั้นคือ
สำหรับบันทึกนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้....ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่าน
มนุษย์ผึ้งมหัศจรรย์ |
ขอบพระคุณ อ.beeman มากๆครับที่นำบรรยากาศของงานมาให้ติดตาม
ช่วงวันงานไม่มีโอกาสเดินดูบริวเณงานเลย เพราะเป็นพิธีกรอยู่ห้องประชุมใหญ่ครับ
ดูน่าสนใจมากเลยค่ะ เรื่องถ่าน
ตอนนี้กำลังจะทำวิจัยจบเกี่ยวกับเรื่อง
ถ่านกัมมันต์นำมาบำบัดน้ำเสีย
แต่ยังหาไม้ที่มีคุณสมบัติตามต้องการนอกเหนือจากกะลามะพร้าวไม่ได้เลยค่ะ
ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะอาจารย์
ขอบคุณค่ะ
ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องถ่านดูดกลิ่น แต่ยังหาประเภทของถ่านไม่ได้ค่ะ