“แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์” เป็นคำที่คนส่วนใหญ่อยากได้ยินในวันเกิดของตนเอง


           ได้อ่านบทความใน วารสารธรรมะใกล้ตัว ที่คุณ กลางชล เขียนในบทบรรณาธิการ ที่เชื่อมโยงกับวันเกิดของตัวเอง  นำไปสู่ข้อคิดที่สะท้อนหลักธรรมอย่างน่าสนใจ  จึงขอนำมาบอกกล่าวกันต่อครับ...
           ...ช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วง 'วันเกิด' ของกลางชล

วันหนึ่งวัน ที่มีประจำตัวกันทุกคน แต่แต่ละคน ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่า ๆ กัน

 แม้โดยส่วนตัวจะไม่ได้รู้สึกพิเศษกับวันเกิดอะไรมากมาย

แต่ในวันที่รู้สึกว่ามีคนนึกถึง ได้อ่านคำอวยพรจากคนโน้นคนนี้ก็เพลินดีเหมือนกัน

ข้อความสั้นถูกส่งผ่านมือถือมาตั้งแต่เข็มนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนมาหน่อยเดียว

นัยว่ายิ่งมาถึงเร็ว ก็ยิ่งแสดงถึงความตั้งใจในการส่งความปรารถนาดีมากขึ้นเท่านั้น

แล้วรุ่งเช้า ก็ตามมาด้วยคำอวยพรต่าง ๆ ที่ผลัดทยอยกันเข้ามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

ทั้งพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เจอกันประจำ ทั้งเพื่อนที่โทรมาจากต่างประเทศ ทั้งกิ๊กเก่าสมัยผูกคอซอง : )

ตกบ่าย ยังมีคนใจดีจัดเค้กสเวนเซ่นส่งมาเซอร์ไพรส์ถึงโต๊ะทำงาน

แถมมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน ยังมีคนใจดีพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่ให้อีกมื้อหนึ่งปิดท้ายด้วย...

 ...แล้วอีกหนึ่งวันก็ผ่านไป

เหมือนอีก ๓๖๔ วันของปีที่ก็ผ่านมาผ่านไปเหมือนหนังจบฉากแบบนี้ ไม่ต่างกัน

  แม้จะไม่แน่ใจนักว่า ทำไมการเกิดจึงเป็นเรื่องน่าดีใจขนาดที่ต้องฉลองกันทุกปี

แต่ด้วยความเป็นสัตว์สังคมอย่างมนุษย์โลก และโดยค่านิยมที่ฝังรากกันมายาวนาน ก็ราวกับว่า

ถึงวันเกิด คนเราต้องถูกระลึกถึง จำได้  และได้รับการยืนยันจากคนรอบข้าง

ด้วยคำอวยพร ว่าใครต่อใครยังเห็นความสำคัญของเรา
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกที่ใช้ปฏิทิน
และสร้างค่าให้ความสำคัญกับวันต่าง ๆ ก็เห็นทีจะมีแต่มนุษย์นี่แหละนะ

จะเป็นหมา เป็นแมว หรือลิงชิมแปนซี ต่อให้เป็นพันธุ์ฉลาดแค่ไหน

มันก็คงไม่ได้รับรู้ด้วยว่าวันนี้วันอะไร เกิดวันไหน จะไปส่งยิ้มอวยพรให้เพื่อนท่าไหนดี

 ที่จริงความสำคัญของสรรพสิ่งเกิดขึ้น

ก็เพราะการ ให้ค่า นี่เอง

ที่ "ไม่มี" ก็เลยเหมือน "มี" ขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน

 เมื่อวันเกิดถูกตีค่าให้ความสำคัญ แล้วกลับถูก "ลืม" หลายคนเลยพลอยรู้สึกด้อยค่า

ยิ่งถ้ารู้สึกรักใครมาก เจ้าตัวก็จะยิ่งคาดหวังการ "จำได้" จากคนนั้นมากเป็นพิเศษ

อย่างคู่รักบางคู่ ถ้าแฟนจำวันเกิดตัวเองไม่ได้นี่ เป็นงอน เป็นน้อยใจ กันได้จริง ๆ

 เคยเปิดไปอ่านกระทู้ในพันทิป เห็นผ่าน ๆ ตาก็ไม่น้อยครั้งนะคะกับกระทู้ประเภท

"วันนี้วันเกิดเรา เหงาจัง ไม่มีใครอวยพรเลย ช่วยอวยพรหน่อยซิ..."

แล้วก็มีคนมาช่วยอวยพรกันเต็มกระทู้ และดูเหมือนเจ้าของกระทู้ก็จะรู้สึกดีขึ้น

 ราวกับวันนั้นเป็นวันที่เจ้าตัวอยากจะบอกใครต่อใครว่า

 "มีใครเห็นฉันไหม... ฉันอยู่ตรงนี้...."

 เฮ้... ฉัน.....

 ฉันอยู่ตรงนี้......

บางคนอาจได้รับคำอวยพรมากมาย แต่กลับไม่ได้จากคนที่คาดหวังที่สุด

เจ้าตัวก็อาจรู้สึกเหงาหงอยเศร้าสร้อยพลอยแฟบได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะเรื่องวันเกิดหรอกนะคะ ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องในชีวิต

เพื่อนสนิทไม่สนใจฟังเรื่องของเรา เจ้านายไม่เคยเห็นผลงาน

แต่งตัวงาม ๆ ไม่มีคนมอง ฯลฯ - ตัวตนก็เหี่ยว เฉา เหงา หงอย ลงไป

เพื่อนกระตือรือร้นอยากให้เราเล่าเรื่องของเราให้ฟัง เจ้านายตบรางวัลให้

เดินไปไหนก็มีแต่คนชมว่าวันนี้หล่อจังสวยจัง ฯลฯ ตัวตนก็ลำพอง ฟองฟู ขึ้นมา

 อย่าว่าแต่คนเลยค่ะ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

แม้แต่หมามันยังเป็นเลย

อย่าง "ไอ้เหลือง" สุนัขประจำวัดของท่านนี่แหละ

แรก ๆ ใครผ่านไปผ่านมา ก็แวะเวียนเรียกขานชื่อมันด้วยความเอ็นดู "ไอ้เหลือง..."

แล้วก็เข้าไปลูบหัว เกาคาง เล่นด้วย มันก็เชิดคางคอตั้งกับคนโน้นคนนี้ด้วยความภูมิใจ

พักหลัง ๆ คนเริ่มเยอะ คนโน้นคนนี้เดินผ่านกันขวักไขว่โดยไม่มีใครสนใจมัน

ชะเง้อรอคอตั้ง ก็ไม่มีใครมองเห็น "ไอ้เหลือง" ตัวนี้ในสายตาสักคน

มันก็ชักจะเริ่มเหี่ยว ๆ แล้วก็เดินหงอย ๆ แทบจะพลอยไม่มาเดินเล่นแถวนั้นอีกเลย

 เราสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ก็เพราะเรื่องของ "ตัวตน" กันอยู่ตลอดเวลา

 บางคนก็ว่า มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์

นักจิตวิทยาฝรั่งเขาก็คิดค้นทฤษฎีมาให้เป็นโมเดลอยู่แล้วนี่ว่า

คนเราพอมีปัจจัยสี่แล้ว ชีวิตมีความปลอดภัยแล้ว ก็ย่อมเขยิบไปต้องการการเป็นที่ยอมรับ

ได้รับการนับถือยกย่องจากคนอื่น ก่อนจะไปถึงขั้นสูงสุดคือ การได้ย้อนกลับมาค้นพบตัวเอง

 ความมหัศจรรย์อยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ หลวงพ่อท่านเคยพูดให้ฟังว่า

"พวกนักปรัชญา นักจิตวิทยาอะไรก็พูดนะ เรื่องการค้นพบตัวเอง
เขาว่าถ้าไปจนกระทั่งค้นพบตัวเองได้ล่ะก็วิเศษที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว

แต่ที่ของฝรั่งมันค้นพบตัวเอง มันพบ "ตัวเอง" จริง ๆ

 ของศาสนาพุทธสอนจนเราพบว่า

"ไม่มีตัวเอง"

มันไปอีกชั้นหนึ่งนะ

 ตราบใดที่ยังมีตัวเองอยู่ ก็ยังทุกข์บ้างสุขบ้างไปเรื่อย ๆ 

ถ้าใจมันแจ้ง ใจมันเข้าใจความจริง ใจวาง มันจะไม่ทุกข์แล้ว

 สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา เป็นแค่ภาพลวงตา

เราไปสร้างความเป็นตัวตนขึ้นมา แล้วเราก็ไปทุกข์เพราะความเป็นตัวตนนั้น ๆ

ถ้าเราสลัดความเป็นตัวตนทิ้งไปได้ เราก็จะไม่มีความทุกข์"

 การไม่มีตัวเอง หรือการไม่มีตัวตนในความหมายของพุทธ

จึงไม่ได้หมายถึงตัวตนอันเป็นกายเนื้อที่กอปรด้วยเนื้อหนัง และอาการทั้งสามสิบสอง

แต่เป็น "ตัวตน" ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ที่เราหลงยึด หลงสำคัญมั่นหมาย

 หลวงพ่อท่านว่า คนเราในโลกนี้ลืมตัวเองกันทั้งวันทั้งคืน

เรารู้สิ่งต่าง ๆ มากมายก่ายกอง รู้เรื่องราวที่เราคิด

รู้เรื่องราวที่เราจินตนาการไปได้ไกลแสนไกล

แต่เรากลับไม่รู้สึกตัว คือเราลืมกายลืมใจของตัวเอง

 "เมื่อไหร่ที่เราลืมกาย เมื่อไหร่ที่เราลืมใจ เราก็จะหลงไปอยู่ในโลกของความคิด

เมื่อเราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด ความเป็นตัวตนก็จะเกิดขึ้น"

 แปลว่าให้เราหยุดคิดอย่างนั้นหรือ?

หรือให้แก้ลำด้วยการบอกตัวเองย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่า นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ของเรา งั้นหรือ?

หรือเปลี่ยนไอคอนหน้าจอคอมพิวเตอร์เสียใหม่ด้วยเสียเลยน่าจะดี

ให้ My Document เป็น Nobody’s Document

ให้ My Computer เป็น Nobody’s Computer? : )

 ความคิดอาจช่วยให้จิตใจเราสงบลงได้ชั่วครั้งชั่วคราวจากทุกข์เฉพาะหน้า

แต่จะไม่สามารถกำจัดรากเหง้าความมีตัวตนที่แท้จริงของเราได้เลย

 ง่ายกว่านั้น และได้ผลกว่านั้นคือ หมั่นรู้สึกกาย รู้สึกใจ อันเป็น "ของจริง" ให้ได้บ่อย ๆ

ให้ตื่นขึ้นมาจากโลกของความฝัน โลกของความคิด

อะไรเกิดขึ้นในกาย ในใจ ก็ให้มีสติตามรู้

วันหนึ่งก็จะเห็นว่า ความรู้สึกสุขทุกข์ และอารมณ์ต่าง ๆ เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา

มันทำงานของมันเองตามเหตุปัจจัยที่ทำให้มันเกิดขึ้นเป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น

ถึงวันหนึ่ง ก็จะสามารถวางความยึดถือว่ากายนี้ จิตนี้ เป็นของเราลงได้อย่างแท้จริง

 แต่วันเกิดอย่างนี้ ใครจะไปตัดเค้กเป่าเทียนที่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย)

 แม้วันเกิดจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร

แต่อย่างน้อย ก็เป็นหลักกิโลให้เราได้หยุดดูข้างทาง

ว่าที่ใช้ชีวิตกันอย่างลืมวันลืมคืนอยู่ทุกวันนี้

ตอนนี้เวลาในชีวิตเราเหลือน้อยลงเท่าไหร่แล้ว

วิธีใช้ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เราใกล้หรือไกลออกจากเป้าหมายของเราเพียงใด…”

 คุณดังตฤณเคยบอกไว้ว่า "ให้กลัวการเกิด อย่ากลัวการตาย"

สังสารวัฏยังอีกยาวไกล ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด

และการเกิดใหม่ไม่รู้จบ ก็ไม่มีอะไรประกันความปลอดภัยอย่างแท้จริงได้เลย

 คำอวยพรจากคนรอบตัว ก็คงเป็นได้แต่เพียงกำลังใจเท่านั้น

หากแต่ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งพุทธที่แท้ ย่อมมีพรอันประเสริฐในตนอยู่แล้วทุก ๆ วัน..."

คำสำคัญ (Tags): #หลักธรรม
หมายเลขบันทึก: 196514เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2008 17:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท