ใต้ร่มธงไทย


หนึ่งความเรียง ในหนึ่งคำถามของความรู้สึก เมื่อได้มีโอกาสนั่งมองผืนธงไทย ปลิวไสวเหนือประตูท่าแพ กำแพงเวียงเชียงใหม่ มองเห้นความหม่นมัวของท้องฟ้า และ ความเศร้าหมอง ซึ่งเกาะกินอยู่ภายในใจ ในแต่ละคำถามของความรู้สึก ในแต่ละเรื่องราวของผู้คน บนผืนแผ่นดินไทย ยามได้มองธงไทย ปลิวไสวสะบัดพลัดพรายไปกับสายลม

ใต้ร่มธงไทย

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

ผมมีชีวิต

และผูกพันเรื่องราว

กับการยืนอยู่หน้าเสาธง

เหมือนเช่นที่เด็กไทยแทบทุกคน ต้องเรียนรู้และซึมซับ หลายครั้งที่ยืนแหงนคอมองตั้ง เพื่อมองชายธงปลิวไสว เพียงเพื่อถามตัวเองว่าเมื่อใดชายธงชาติจะหยุดปลิว เพราะเมื่อครั้งใดที่ชายธงนิ่งลง การรอคอยเพียงชั่วระยะหนึ่ง จะทำให้เราค้นพบคำตอบเหล่านั้น ว่าธงไม่เคยหยุดไสว

หลายครั้งของโศกนาฎกรรมสังคม

ผมชอบมองดูผืนธงปลิว

มองสายลมผ่านธง

และมองอารมณ์ของผู้คน ผ่านธงชาติธงชัย มองเห็นรอยยิ้มและคราบน้ำตา ซึ่งแวดล้อมผืนธงไทย มองสีหน้าสีตาและท่าทางของคนไทย ยามแย้มยิ้มต่อหน้าผืนธง ยามกุมมือกันมอง และได้มีโอกาสกู่ตะโกนความเป็นคนไทย ร้องเพลงชาติร้องเพลงไทยต่อหน้าผืนธง ยามคนไทยได้แย้มยิ้มความจริงแห่งชัยชนะ หรือยามได้พิสูจน์ตัวในฐานะลูกของแผ่นดิน

แม้ธงจะเป็นสัญญะ

หรือเป็นวาทกรรมแห่งรัฐชาติ

ซึ่งครอบงำใจเราให้อยู่ในกรอบแห่งคำ

ยามที่อธิบายความจริง ของกระบวนการทำงาน กระบวนการขัดเกลาให้ชีวิตไทย อยู่ในร่องรอยแห่งความเป็นชาติ ซึ่งมีทั้งรอยยิ้มและรอยแผล แต่ภายใต้ผืนธง ยามเรายืนโบกไสวและได้ประกาศความเป็นคนไทยนั้น ใครที่เคยยืนน้ำตาไหลต่อหน้าธง ย่อมรับรู้ถึงอาการรู้สึกนั้นได้ดี

เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเคยเปรยเบาเบา

ยามยืนร้องเพลงหน้าเสาธง

ว่าอยากตายใต้ผืนธง

หลังจากเวลาหลายปีผ่านไป ผมก็รับรู้ว่า เขาเดินทางตามความฝันนั้น จะมากจะน้อยและจะเป็นจริงเช่นไร ในยามที่ต้องตายก็ตามแต่ แต่วันนี้เขาได้เป็นทหารสมใจ เป็นนายทหารที่มีอายุราชการนานหลายปี หลังก้าวพ้นรั้วแดงกำแพงเหลือง หลายปีที่ผมไม่เคยได้พบปะพูดคุย แต่ผมยังคงจำได้ดี ถึงคำพูดเพียงเบาเบาในเช้าวันที่อากาศเป็นใจ ยอดธงปลิวไสว

หลายครั้ง

ที่ผมเคยนั่งลง

เพื่อรอโอกาสถ่ายภาพธง

รอจังหวะวันเวลา และรอคอยโอกาสยามผืนธงปลิวไสว สะบัดไปตามแรงลม และพลิ้วไหวไปจนกว่าลมจะสิ้นแรง หลายครั้งที่นั่งมองโอกาสและจังหวะของผืนธง นั่งมองปล่อยใจไปกับความงดงาม นั่งคิดและทำความเข้าใจกับน้ำตา และเลือดซึ่งเคยหลั่งรินผืนธงไทย ธงสามสีงามผืนนี้

ในยามมีโอกาสได้คิดไปเรื่อยเปื่อย

ผมมักนึกถึงธงไทยเปื้อนเลือด

ที่เคยเห็นและเคยรับรู้

ไม่ใช่เพียงธงเปื้อนเลือดของเหล่าอาสาสมัคร ตำรวจ หรือทหารหาญเท่านั้น แต่เป็นธงของคนไทยธรรมดา ที่มีคนนำธงชาติไปห่มคลุมหลังถูกยิง หลายครั้งที่คนไทยเข่นฆ่ากันเอง หลายครั้งที่คนไทยได้มีโอกาสรับรู้ ในการพิสูจน์ความเชื่อมั่นและศรัทธา เพื่อให้แผ่นดินนี้คงอยู่

เลือดคนไทย

บนผืนธงสามสีนั้น

ช่างเจ็บปวดแต่งดงามยิ่ง

ผมเชื่อเสมอว่า ไม่ใช่มีเพียงผู้คนในเครื่องแบบ ไม่ใช่เพียงข้าราชการ อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร นางพยาบาล นายแพทย์ หรือใครก็ตามที่ปักธงไทยติดหน้าอกเท่านั้น ที่จะสามารถเปล่งประกาศความรักชาติรักแผ่นดิน ได้เสียงดังฟังชัด หรือมากมายไปกว่าคนไทยคนอื่น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่ผมเชื่อมั่น สำหรับความรักชาติบ้านเมืองของเราคนไทยบนแผ่นดิน

 

 

ผมเชื่อมั่นฝังอยู่ในใจเสมอ

ว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ

ที่จะรักแผ่นดินนี้

อย่างเท่าเทียมเสมอกัน ไม่มีคำจำกัดความอันมากกว่าน้อยกว่า ไม่มีอาการได้หน้าได้ตาจากใครก็ตาม ยามเปล่งประกาศความจริงภายในใจ ของความรักชาติรักแผ่นดินนั้น ไม่มีอย่างแน่นอน สำหรับโอกาสสุดท้าย ยามได้นอนตายได้ร่มธง เพราะเราคนไทยมีสิทธิอย่างเท่าเทียม

สิทธิสำคัญ

เพื่อปกป้องรักษา

ในความจริงของแผ่นดินนี้

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองคนใด ข้าราชการระดับสูงเพียงไหน หรือประชาชนคนไทยธรรมดา ทุกคนต่างมีสิทธิที่จะรักชาติได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครคนใดจะมาประกาศตัว หรือชี้นิ้วประณามความจริงใจในความรักชาติ มีเพียงความจริงข้อเดียว ในผลแห่งการกระทำซึ่งจะพิสูจน์ตัวพิสูจน์ตนออกมา ยามเมื่อเราได้พินิจพิจารณา ความจริงในการกระทำนั้น

ในยามนี้ที่แผ่นดินไทยเป็นฝักเป็นฝ่าย

มีใครหลายคนพยายามจะยุยง

แต่มีคนพยายามสานรอย

มีคนหลายคน ซึ่งต่างบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ ต่างภาระผูกพัน และต่างสถานะทางสังคม ภายใต้คำจำกัดความคำเดียวกัน ในความเป็นคนไทย ต่างได้ตั้งคำถาม ต่างพยายามตอบคำถาม และต่างพยายามทำหน้าที่ของตน ในฐานะคนไทย ที่เชื่อว่าจะรักษาแผ่นดินนี้ไว้

อาจมีคำเย้ยหยัน

อาจมีคำด่าทอและยืนชี้หน้า

ปรามาสและสบประมาทในความรักชาติ

ในเมื่อแต่ละคนมีฝักฝ่าย และในเมื่อแต่ละคนเชื่อว่าตนกำลังรักษาสิทธิ รักษาแผ่นดิน ในฐานะของความเป็นคนไทยด้วยกันทุกคน เราแต่ละคนต่างทำหน้าที่ของกันและกัน ทั้งภายใต้ความรุนแรง หรือภายใต้ความตระหนัก ที่จะรับฟังความเห็นอันแตกต่างของแต่ละฝักแต่ละฝ่าย

ในความจริงของความรักชาติบ้านเมือง

ผมไม่เห็นด้วยกับคำของใคร

ที่จะเที่ยวประณาม

หรือสบประมาทคนไทยด้วยกันเอง ว่าไม่รักชาติรักแผ่นดิน ในท่ามกลางความจริงของการต่อสู้ ผมเห็นควรอย่างยิ่ง ที่เราต้องใช้สติในแต่ละความเข้าใจของตัวเอง เราอาจไม่พึงพอใจ เราอาจเจ็บแค้นยามใครมาบอกกล่าวว่า เราไม่รักชาติบ้านเมือง หรือเราขายชาติขายแผ่นดิน

แต่สุดท้าย

ความจริงในวันเวลา

ย่อมตอบคำถามความจริงนั้น

จะมากมายหรือจะยากเย็นเพียงใด เราก็คงต้องอดทน ต่อสู้ รอคอย หรือฉกฉวยโอกาส ตามแต่ธรรมชาติหรือตัวตนของแต่ละคนจะนำพา ยิ่งในยามนี้ที่เราคนไทย ได้มีโอกาสเผชิญหน้าโจทย์คำถามของความเป็นชาติบ้านเมือง ได้เผชิญหน้ากับคำถามของความรักชาติรักแผ่นดิน

สำหรับความจริงยามนี้ ยามธงไทยปลิวไสว

ผมยังคงเชื่อมั่นว่า คนไทยทุกคนมีสิทธิ

มีเสียงที่จะตั้งคำถาม

ต่อความรักชาติรักแผ่นดินนี้ และพิสูจน์สิทธิเหล่านั้นด้วยการกระทำ วันนี้เราคนไทย เหมือนนั่งมองเสาธงร่วมกัน รอคอยและเห็นโอกาสแห่งการปลิวไสว ยามจับอยากชู อยากเชิดธงชาตินี้ และอยากโบกผืนธงไทยให้ปลิวไสวไปกับสายลม เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ในความเป็นคน

วันนี้ ในวันฟ้าหม่น

ในยามที่คนไทยยังคงรักชาติ

ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนมีสิทธิจะปกป้อง

พิทักษ์รักษาแผ่นดินนี้ เท่าเทียมกัน

 

 

หมายเหตุ : ภาพถ่าย ผืนธงไทย ท่ามกลางการรอคอยของสายฝน สายลม เมฆหมอก และผู้คน ก่อนการเริ่มต้นถ่ายภาพด้วยการรอคอย ปรากฎปลิวไสวอยู่เหนือกำแพงเมืองเชียงใหม่ ในยามเช้าวันฟ้าหม่น เหนือประตูท่าแพ ในวันเข้าพรรษา ปีพุทธศักราช 2551

 

หมายเลขบันทึก: 195705เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2008 13:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 19:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ คุณ kati

* เมื่อวานเพิ่งบ่นถึง คุณอยู่เลยค่ะ

* ว่าเอ หายหน้า หายตาไปอีกแล้ว

* ....

* ได้อ่านบันทึกคุณแล้วเหมือนได้อ่านนสพ.

อันคุ้นเคย ... แม้ตอนนี้จะห่างหายจากสื่อฯ ต่างๆ

* ....

* คิดถึงเพลงนี้ค่ะ  .. ใต้ร่มธงไทย   ...

* ร่มโพธิ์ ร่มไทร  ที่มีกิ่งใบแน่นหนา 

* พวกเราทั้งหลาย ที่กระจัดกระจาย

* ร่วมใจ ร่วมกาย  เพื่อขยายสาขา

* ....

...  นำธงชาติไทย  ... ที่เกาะ มาสมทบ ... ขอบคุณค่ะ   ....

สวัสดีครับ คุณ Poo

ขออภัยอย่างยิ่ง ครับ

ช่วงนี้เป็นภาวะขาดขาดเกินเกิน อะไรอะไรในชีวิตไม่ค่อยจะลงตัวสักเท่าไร เลยต้องปรับสภาพในการผ่อนระยะ ในการนำเรื่องราวมาลงไว้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน หรือบางครั้งก็คิด ว่าเป็นการอธิบาย และระบายออกของความรู้สึก ในแง่คำเขียนบอกเรื่องราว

ขอบคุณอย่างยิ่งครับ

สำหรับคำกล่าว และการติดตามอ่านงานอย่างสม่ำเสมอ ขอบคุณมากครับสำหรับไมตรีจิตอันงดงามครั้งนี้ สำหรับคนเขียนหนังสือ คนเขียนงาน คนที่พยายามบอกกล่าวผู้อื่นด้วยคำเขียนข้อความ ผมว่าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ มากมายไปกว่าการที่มีผู้อ่าน มีคนอ่านเรื่องราวของเรา ครับ

เป็นหนึ่งในความรู้สึกของช่วงเวลาที่ผ่านมา

ยามเห็นผืนธงไทย ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท