ความกลัวนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจาก "ความรู้"
เมื่อรู้หนึ่งก็กลัวสอง รู้สองก็กลัวสี่ เป็นมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ความกลัวนั้นเกิดจากสิ่งที่เรารู้หนึ่ง และเกิดจากสิ่งที่คิดวิตกกังวลไปเองนั้นอีกหนึ่ง
การที่เราจะหลุดพ้นจากความกลัวเสียได้เรานั้นจะต้องมีปัญญารู้แจ้ง (ภาวนามยปัญญา) รู้ซึ้งถึงต้นเหตุของความกลัว ซึ่งความกลัวทั้งหลายเหล่านั้นมีเหตุมาจาก "ความรู้"
ความรู้ที่ทำให้สร้างความกลัวให้เราได้นั้นคือความรู้ที่มีทางกำลังทางฝ่ายโลก คือ ความรู้ที่แฝงไปด้วยกิเลส ตัณหา เป็นความรู้ที่ส่งผ่ายออกมาจากผู้โฉด เขลา
ผู้โฉด คือซึ่งแสวงหาผลประโยชน์จากความรู้นั้น
ผู้เขลา คือ ผู้ที่รู้ไม่จริงแล้วตั้งตนเป็นผู้อ้างอิงแก่บุคคลทั้งหลายซึ่งความรู้
เมื่อสังคมนี้เกลื่อนกลอนไปด้วยผู้โฉด และผู้เขลา บุคคลที่ผูกมัดยึดตนไว้กับสังคมย่อมจะหลุดพ้นจากวังวนแห่งความกลัวมิได้เลย
เขาทั้งหลายย่อมดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว
กลัวที่จะไม่มีทรัพย์ แม้กระทั่งมีทรัพย์แล้วก็กลัวที่จะเสียทรัพย์
ความกลัวทั้งหลายจึงเป็นความกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด
"ศีล" นั้นเองจะทำให้มนุษย์ทั้งหลายหลุดพ้นจากความกลัวเสียได้ เพราะหยุดซึ่งการเบียดเบียนกัน
ถ้ามนุษย์ในสังคมมีศีลดี ธรรมงาม สังคมนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก
แต่นั่นก็เถอะ...!
หน้าที่เร่งด่วนของเรานั้นก็คือ ทำตนของตนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล งดเว้นเสียจากการเบียดเบียน คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
เมื่อทำอย่างนี้เสียได้ใจของเราจะอยู่เป็นสุข ตัดเสียได้ซึ่งความกังวลใจ
เมื่อเรานั้นหยุดเสียได้ซึ่งการเบียดเบียน เราย่อมมีมนุษย์ที่ดีเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติที่ดีซึ่งมีหน้าที่ดูแลซึ่งกันและกัน
เมื่อใจเราสงบ หมดซึ่งความกังวลจากการเบียดเบียนนั้น จิตของเราย่อมมีสมาธิ
สมาธิที่มีศีลเป็นพื้นฐาน ย่อมเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ทั้งท่านหลายจงเพียรสั่งสมสมาธิอันมีศีลเป็นพื้นฐานเถิด
สมาธิที่มีศีลเป็นพื้นฐานี้เอง จะช่วยทำให้เรานั้นเกิดปัญญาอันเป็นปัญญารู้แจ้ง (ภาวนามยปัญญา)
ปัญญาญาณนั้นย่อมเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างย่อมเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ครั้นเมื่อแสงสว่างยังสาดส่องพื้นปฐพีแล้วเราไม่กลัวผี อมนุษย์ หรือสัตว์หลายนั้นฉันใด
เมื่อใจของเราสว่างด้วยแสงแห่งปัญญาญาณแล้วไซร้ ความกลัวนั้นย่อมมลายหายไปจากจิตใจชั่วนิรันดร์...