ชีวิตใน Launceston ของคนรู้ภาษาอังกฤษน้อย:ลาก่อน Launceston


ลาก่อน Launceston ………. 15 - 16 มีนาคม 2551

ลาก่อน Launceston ………. 15  - 16   มีนาคม  2551

 

                วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ที่ Launceston  ความจริงมิเชลและครอบครัวจะพาเราไปเที่ยวครึ่งวัน  แต่บังเอิญเราไม่ค่อยจะดี (a  few  unwell) โปรแกรมเลยเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเราก็ดีใจมากเพราะเหนื่อยเหลือเกินอยากพักอยู่เฉย ๆ เสียบ้าง   มีเวลานั่งทำอะไรที่ตัวเองชอบบ้าง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ความเครียดสูงมาก  เพราะเวลาของตนเองแทบไม่มีเลย ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องไปนั่น ต้องไปนี่ตามที่เขากำหนด  เครียด!  

                ตื่นมาอ่านหนังสือ คุยกับประภาส  แต่เช้า (เป็นหนังสือที่คนเขียนเขียนไว้หลายเล่มมากแต่เราไม่เคยอ่าน  เลยซื้อเล่มหนึ่งก่อน กะว่าถ้าอ่านแล้วดี เราชอบ ก็จะไปซื้ออ่านให้หมดทุกเล่ม) อ่านสนุก  และตรงกับสภาวะของเราขณะนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ความเครียด  เขาเขียนเป็นสมการความเครียดไว้ว่า

                                 ความเครียด มีค่าเท่ากับ ความต้องการหารด้วยความสามารถ 

                นั่นคือ ถ้าความต้องการมีมากแต่ความสามารถมีน้อย ตัวตั้งมากตัวหารน้อย หารออกอย่างไรผลลัพธ์ก็ย่อมมาก เห็นได้ชัดเจนว่าจะเกิดความเครียดสูง  ขณะเดียวกันถ้าความต้องการมีมาก ความสามารถมีมากตามด้วย หารออกมาผลลัพธ์ก็คงไม่สูงมาก

                มาเข้าเรื่องที่ว่า...ทำไมเรามาอยู่ที่นี่จึงเกิดความเครียด  เพราะเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างความสามารถและความต้องการของเรา  คือระยะแรกที่มาอยู่ใหม่ ๆ เราต้องการเพียงการสื่อสารกับมิเชลให้รู้เรื่อง แต่ความสามารถของเราไม่พอ ก็ทำให้เราเกิดความเครียดมาก     เครียดกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเราต้องการอะไร  เครียดที่เราก็ไม่เข้าใจเขาว่า   เขาต้องการให้เราทำอะไร  แต่เมื่ออยู่กับเขามาหลาย ๆ วัน เราน่าจะมีความสามารถในการสื่อสารกับเขารู้เรื่องมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้อย่างที่เราต้องการทุกเรื่อง  ความเครียดก็ยังคงอยู่กับเราต่อไป  เพราะความต้องการของเราสูงมากขึ้น ในขณะที่ความสามารถของเราตามไม่ทัน  เฮ้อ !  ตอนนี้กำลังปลงว่าอีกวันเดียวเท่านั้น จะทนไม่ได้เชียวหรือ  (ทนได้อยู่แล้ว)  อย่างไร...เราก็ดีกว่ารองฯ พิทยา ละว้า เรายังกินอิ่ม(มากเกินไป) นอนหลับ น้ำหนัก ยังไม่ลดฮวบฮาบขนาดรองฯ  (น่าสงสารจริง ๆนะขอเน้น)

                ตอนนี้เวลาประมาณ 9.00 น.  ได้ยินเสียงมิเชลพูด(กับใครไม่รู้ ไม่กับลูกก็กับสามี)และเดินไปมานอกห้อง  เราก็เครียดว่าวันนี้ครอบครัวเขาจะให้เราทำอะไร  ก็ต้องรอต่อไปด้วยความเครียด

                  ตอนเวลาประมาณ 10.30 น. มิเชลมาบอกที่ห้องว่าอีกสิบนาทีจะออกไปข้างนอก เราก็รีบปิดคอมฯ แล้วเดินออกมาข้างนอก สักประเดี๋ยวมิเชลก็มาบอกว่าพร้อมหรือยัง  เราก็เดินออกไปใส่รองเท้าผ้าใบ(มีอยู่คู่เดียว) พร้อมออกเดินทาง(ยังไม่รู้ว่าเขาจะพาเราไปไหน)  เรามองหาแอนดรู

มิเชลคงรู้เลยบอกว่าแอนดรูไม่ไปด้วย เราก็ยิ้มแล้วเดินไปขึ้นรถ  มิเชลบอกว่าจะพาไปที่สวนแอปเปิล และที่ไหนสักที่หนึ่ง(ฟังไม่ออก)  แถมถามเราว่าเอากล้องไปหรือเปล่า  เรารีบตอบว่า Yes

            สถานที่แรกที่เราไปแวะคือ  สวนแอปเปิล เราแวะรถเข้าไปบริเวณที่เขาซื้อ-ขาย อยู่หน้าสวน   แอปเปิลต่อจากนั้นเขาก็พาเราไปหาของว่างกิน  โดยพาไปที่ที่มีการปลูกสิ่งก่อสร้างแบบสวิสฯ เนื่องจากคนที่มาสร้างเป็นคนแรกเป็นคนสวิสฯ  สวยงามมาก

 

 

 

เวลาประมาณบ่ายสองมิเชลเข้ามาตามเราในห้องให้ออกไปข้างนอก เราก็รีบเดินออกไป ปรากฏว่ามิเชล  แอนดรู และเดวิท เตรียมของขวัญให้เราโดยแอนดรูเป็นคนส่งให้ เรารีบกล่าวคำขอบคุณ  ที่จริงอยากจะพูดอะไรอีกตั้งมากมายแต่พูดไม่ออกเพราะเดี๋ยวร้องไห้แน่ ๆ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราตั้งใจว่าจะเขียนคำขอบคุณไว้ในการ์ด และให้คืนวันนี้ในงานเลี้ยงอำลา (นึกอยู่หลายตลบ  ลบอยู่หลายรอบ กว่าจะได้มา)

To  Michelle

                I  am  very  happy  when I stay  with  your  family. It is a good time. I  do not forget it forever. Thank  you,  for your kindness. See  you  in  Thailand in September.

เวลา 4 โมงเย็น มิเชลมาบอกว่าเราจะไปงานเลี้ยงอำลากันที่โรงเรียนครูนุ่น ต้องนั่งรถไปไกลมาก  ให้เตรียมตัวให้พร้อม  เรารีบเตรียมตัว(ก็ชุดเก่านั่นแหละ) ปิดคอมฯ แล้วรีบออกมาใส่รองเท้า(คู่เดิม)  ยืนรอสักครู่ วิบก็ขับรถมาถึง เราเดินทางไปด้วยกัน 3 คน  ระหว่างทางเราไม่ได้คุยเลยเนื่องจากมิเชลมีเพื่อนคุยแล้ว  สถานที่ที่เราจะไปนั้นเป็นชายทะเล(Lagoon  Bay) เราไปถึงเป็นเวลาประมาณ ห้าโมงครึ่ง  แต่แดดยังมีอยู่  อากาศเริ่มเย็น มีลมพัดแรง 

                พวกเราครูไทยแต่งตัวให้นักเรียน  ทั้ง 3 โรงเรียนโดยแต่งตัวกันตามห้องน้ำ  ตามพุ่มไม้ และ ที่น่าสงสารก็คือ เครื่องเสียงไม่มีต้องใช้เครื่องเสียงจากรถมิเชลแทน การแสดงค่อนข้างดี  ครอบครัวของเด็ก ๆ ตบมือกันยกใหญ่หลังจากการแสดงจบแล้ว

หลังจากนักเรียนรำเสร็จ  นักเรียนและครูมอบของขวัญจากโรงเรียนซึ่งเป็นเบญจรงค์แก้วในความคิดเราสวยงามมาก (แต่ขนลำบาก  เพราะกลัวแตก) กว่างานจะเสร็จก็เกือบค่ำ อากาศวันนี้ หนาวมาก 

                เราเดินทางกลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่ม  เรารีบเข้านอน แล้วตั้งนาฬิกาปลุกเวลาตีสี่  เพราะกลัวแต่งตัวไม่ทัน (กะว่าจะอาบน้ำ  สระผม เป็นครั้งสุดท้ายที่บ้านของมิเชล) 

คืนนี้เรานอนไม่หลับเลย  แต่ก็นอนนิ่ง ๆ  ไม่ได้ลุกขึ้นมา  เราคงงีบไปได้หน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่น 

                เรารีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว   เก็บเสื้อ(ชุดนอน  ผ้าขนหนู)  ลงกระเป๋า  เก็บทุกอย่างเรียบร้อย  เราเตรียมตัวเรียบร้อยเวลาประมาณ ตีสี่ครึ่ง เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะออกเดินทาง  เราก็ได้แต่นั่งรอว่าเมื่อไหร่   มิเชลจะตื่น (เมื่อวานนี้บอกกับเราว่าจะออกจากบ้านเวลาตีห้า) 

                เราดูนาฬิกาอีกครั้งหลังจากนั่งเงียบ ๆ รอมานาน   เหลืออีกสิบห้านาทีจะตีห้า  (นึกในใจว่ามิเชลยังไม่ตื่นอีก จะไปสนามบินทันหรือเปล่าว่ะเนี่ย   ..... เราให้เวลาอีก สองนาทีถ้าไม่ตื่น.....เราจะปลุกแล้วนะ) ยังไม่ถึงสองนาทีดีเราก็ได้ยินเสียงมิเชลเดินเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน      เรารีบเดินออกไปกล่าวคำ   สวัสดีตอนเช้า  ลากกระเป๋าอันใหญ่โตออกไป  มิเชลโทรศัพท์บอกวิบว่าเดี๋ยวจะไปรับ  เราออกจากบ้านมิเชลเวลาตีห้าพอดี  แวะไปรับวิบที่บ้าน  แล้วไปสนามบิน

                เราถึงสนามบินเมือง Launceston  เวลาประมาณ  ตีห้าสี่สิบห้านาที (เครื่องออกเวลา        หกโมงสิบนาที) กล่าวคำอำลากันเป็นครั้งสุดท้าย  นุ่นบอกว่าปีนี้ ไม่มีใครร้องไห้กันเลย 

                พอเราก้าวออกไปจากสนามบิน  เราและเด็กอีกสองสามคน ยกมือขึ้นดีอกดีใจร้องตะโกนว่า กูได้กลับบ้านแล้วโว้ย ด้วยเสียงอันดัง 

                เราก้าวขึ้นเครื่องบินอย่างมีความสุข(ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่ที่นี่เราไม่มีความสุขเลย....   มีนะ.....แต่มันเป็นความสุขที่มีต้องแบกความเครียด ความอึดอัดไว้เหมือนมีภูเขาสามลูกไว้ในอก)

ปิดฉาก...................สุดท้าย

 

                การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เพื่อน( สุพรรณชาติ  ท่านผู้อำนวยการฯ และอีกหลาย ๆ ท่านที่สนับสนุน) มอบให้  ถึงแม้ว่าจะทำให้ครูแก่ ๆ เช่นเรา  เกิดความวิตกกังวล  เกิดความเครียด  เกิดความอึกอัด  เกิดความทุกข์  แต่ บนความรู้สึกที่ไม่ดี....เหล่านี้ ก็เกิดความสุขความตื่นเต้น   ประทับใจกับธรรมชาติที่มีความแตกต่างกันทางภูมิศาสตร์  ประทับใจกับสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายต่างจากบ้านเรา  และที่สำคัญที่สุดคือความประทับใจกับมนุษย์ต่างชาติต่างภาษาที่เขามีความอดทนต่อความไม่รู้ของเรานานสิบห้าวัน  ปฏิบัติกับเราด้วยความเป็นกันเอง  ด้วยการเอาใจใส่ดูแลประดุจเป็นพี่น้อง ญาติสนิทกันแต่ชาติปางก่อน จนเราน่าจะพูดด้วยความมั่นใจว่า  

   

                  “It is a good time. I  do not forget it forever.”

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ประสบการณ์
หมายเลขบันทึก: 193629เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2008 00:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท