ที่จั่วหัวเรื่องไว้ตามข้างต้น เป็นเพราะว่าได้รับฟังเสียง พร้อมทั้งได้สัมผัสจริงในการลงพื้นที่ไปดำเนินงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) ในอำเภอที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย 6 อำเภอ (เขตละ 1 อำเภอ) เพื่อศึกษาเชิงคุณภาพในการปฏิบัติงานตามระบบส่งเสริมการเกษตรที่ได้ประกาศใช้และทุกพื้นที่จะต้องดำเนินงานตามระบบนี้ตั้งแต่พฤษภาคม 2551 บางพื้นที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มดำเนินงานตามระบบฯ กันอย่างไรดี ซึ่งอาจจะมาจากเหตุในการทำความเข้าใจร่วมที่ผ่านมาว่า ระบบนี้ไม่ได้มีอะไรที่ใหม่จากเดิมมากนัก แต่เป็นการพัฒนาระบบโดยการถอดบทเรียนจาก Best Practice หรือสิ่งที่ดำเนินการได้ดี และนำมาพัฒนาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนและพัฒนาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว จากจุดแข็งที่เรามีให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อได้ศึกษาระบบจากเอกสารที่แจกไป อาจทำให้เข้าใจได้ว่าอันนั้นก็ทำอยู่แล้ว อันนี้ก็ทำอยู่แล้ว ก็จะเกิดคำถามแล้วจะให้ทำอะไรอีก
ผมอยากแลกเปลี่ยนแบบนี้ครับ ถ้าเราทำความเข้าใจกันดี ๆ ในหน้าที่ 4 ของเอกสารที่แจกจะเขียนไว้
"ระบบงานส่งเสริมการเกษตรในส่วนของระบบการปฏิบัติงานในพื้นที่
เป็นระบบที่จัดทำขึ้นให้มีความยืดหยุ่นและอิสระกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริม
การเกษตรสามารถประยุกต์และปรับใช้ในการปฏิบัติงานภายใต้
สภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีวิธีการขั้นตอนเหมือนกัน
แต่มุ่งผลสำเร็จของงานตามหลักการของการบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result Based
Management : RBM)"
ตอนผมลงไปเรียนรู้กับอำเภอที่เป็นพื้นที่ดำเนินงาน PAR เวทีแรกก็ยังจับทิศทางไม่ถูกเหมือนกัน แต่หลังจากที่ได้มีเวทีเรียนรู้ร่วมกันทุกสัปดาห์จนเมื่อวันศุกร์ (4 ก.ค.51) เป็นเวทีครั้งที่ 5 ของ อ.องครักษ์ จ.นครนายก เราได้แนวทางในการที่จะเริ่มและมองเห็นกระบวนการทั้งหมดร่วมกัน ซึ่งผมขออนุญาตนำมา ลปรร. กัน ถึงขั้นตอนในการดำเนินงาน ดังนี้
1. ขั้นแรก เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การดำเนินงานส่งเสริมการเกษตรในปัจจุบันตามองค์ประกอบของระบบ เพื่อทำให้เรารู้จักตัวเอง ว่าเราทำอะไรอยู่บ้าง มีวิธีการอย่างไร ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง/แก้ไขอย่างไร
2. ขั้นที่สอง นำผลที่ได้ตามขั้นแรก มาเทียบเคียงกับผลผลิตหรือเป้าหมายหรือธงที่ปักไว้ว่าเราจะเดินไปตรงไหนของแต่ละองค์ประกอบของระบบย่อยและเทียบกับสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นตามที่เขียนไว้ในส่วนที่ 3 ของเอกสารระบบฯ เพื่อให้เห็นว่าทั้งในภาพเล็กและภาพใหญ่ที่ต้องการให้เกิดตามระบบใหม่ เราไปถึงแล้วยัง (บริหารแบบ RBM ไงครับ)
3. ขั้นที่สาม เมื่อเราเทียบเคียงกัน ก็จะรู้ว่าในแต่ละเรื่องเราไปถึงธงแล้วยัง ถ้ายังไม่ถึง (ยังมีช่องว่างอยู่) เราก็จะรู้หรือจะได้ประเด็นพัฒนา ในแต่ละเรื่อง
4 ขั้นที่สี่ จากประเด็นพัฒนาจะนำไปสู่การกำหนดวิธีการพัฒนาในแต่ละเรื่องว่าจะทำกันอย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น ของ อ.องครักษ์ ยังมีประเด็นพัฒนาในการประสานกับ อปท. ของบางตำบล ก็นำไปสู่เวทีถอดบทเรียนว่าจากการดำเนินงานที่ผ่านมาตำบลที่เขาสามารถประสานกับ อปท. ได้ดี เขาทำกันอย่างไร มีเคล็ดวิชาอะไร อะไรเป็นปัจจัยหนุน อะไรคือข้อระวัง ถอดบทเรียนร่วมกันก็นำไปสู่ข้อตกลงร่วมว่าเราจะไปทำต่อกันอย่างไร หลังจากนั้นก็จะนำไปสู่ 5 ครับ
5. ขั้นที่ห้า ไปทำจริงครับ (Action)
6. ขั้นที่หก สรุปบทเรียนหลังทำและนำไปสู่กระบวนการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด (เริ่มกระบวนการพัฒนาตามข้อ 1 ใหม่)
ทั้งหมดที่เขียนมา เป็นการเรียนรู้ร่วมกันของทีมวิจัยส่วนกลางและอำเภอเป้าหมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมเป็นสื่อกลางในการมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น และถ้าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจะเล่าให้ฟังต่อไป
สุดท้ายขอบอกเกี่ยวกับงานวิจัยชุดนี้ว่า มีพื้นที่ดำเนินการใน 6 อำเภอ/6 จังหวัด/6 เขต คือ
ภาคเหนือ อ.แม่ทา จ.ลำพูน
ภาคใต้ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
ภาคกลาง อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
ภาคตะวันออก อ.องครักษ์ จ.นครนายก
ภาคตะวันตก อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ทีมวิจัยส่วนกลางมีหัวเรือใหญ่นำทีมโดย ผอ.สุทธิพันธ์ พรหมสุภา ผอ.กองวิจัยและพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร และคุณสุกัญญา อธิปอนันต์ ผอ.กลุ่มพัฒนางานวิจัยด้านส่งเสริมการเกษตร
ขอแลกเปลี่ยนด้วยคนค่ะ
1. การพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตร ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังงัยก็ลองถามตาเองดูว่า "ตอนนี้เราทำงานส่งเสริมการเกษตรอะไรบ้าง" เพื่อวิเคราะห์/รู้จักตนเอง ตามขั้นที่ 1 นั่นเองค่ะ
2. ทดลองตั้งประเด็นคำถาม เพื่อทำความรู้จักระบบงานส่งเสริมการเกษตร ฉบับปี 2551
สวัสดีครับ
ผมว่าดีน่ะ แต่ทั้งนี้ อยู่ที่จิตใจของผู้ปฏิบัติ ระยะหลัง จนท.ส่งเสริมระดับอำเภอ เขาเริ่มจะหมดใจกันนะ .....หรือว่ามีแต่ 50 ขึ้นไป..ล้า ..งินเดือนตัน..น้ำมันแพง..หรือว่าอะไร ต่อมิอะไร
ที่เพชรบุรี ดำเนินการนำร่องที่ อำเภอ ชะอำ ครับ