ครั้งหนึ่ง....จำได้หรือเปล่า


วันที่เราคืนดีกัน มันหวานชื่น ไปทั้งโลก พลอยทำให้ หมู่เพื่อนคนอื่นๆ พลอยสนุกสนาน ร่าเริง สบายใจไปด้วยทันที

   เขียนถึงสมัยเด็กๆ แล้วก็พาลให้คิดย้อนเรื่องราว ที่เกิดขึ้นอีกมากมายและได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดูความสุข ความทุกข์ของเยาว์วัย จะคุ้นเคยกันดี เวลาได้สุข ถูกใจ ก็หัวเราะไม่อายฟันหลอ บทจะโศก ก็น้ำหูน้ำตาไหล ปาดยาวไปถึงหู ไม่อายใคร เคยเป็นทั้งคนโกรธ และคนถูกโกรธ นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเป็นในยามนี้ ก็คงจะมีเสียงเยาะเย้ย อาการที่กล่าวมา อย่างให้ได้อาย โตๆกันแล้ว ต้องรู้จักตกแต่งใบหน้าอารมณ์ ดูกันไม่ออก ว่าที่กำลังพาทีอยู่นี้ แท้จริงแล้ว กำลังขุ่นข้องกันอยู่หรือเปล่า

  ใช้ชีวิตที่ยากขึ้นทุกที เพื่อนที่แสนรัก และโหยหากัน ก็มีอันเป็นแค่คนรู้จัก จะโอบกอดกันสักครั้ง ก็ดูจะไม่งาม จะให้ขนมก้อนที่กินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็กลัวจะว่าดูถูก จะง้อก็กลัวจะเป็นผู้แพ้ จะให้อภัยก็กลัวจะเป็นคนอ่อนแอ ที่เขาพูดกันว่า เอาไว้โตเสียก่อน อยากทำอะไรก็ทำนั้น ผู้เขียนเริ่มไม่แน่ใจตนเอง ว่าการที่เราพ้นวัยเด็กมาแล้ว ทำให้เราจะได้ทำอะไรง่ายขึ้น จริงหรือ

  ประสบการณ์ในวัยเด็ก ของคนบ้านนอก อย่างผู้เขียน ได้เรียนรู้วิถีชีวิตกับเพื่อนได้มากพอสมควร ไม่ใช่คนที่มามีเพื่อนเอาเมื่อเข้าอนุบาลนะ มีตั้งแต่ยังจำความไม่ได้โน่น มีหลายครั้งนะ ที่ผู้เขียนงอนไม่พูดกับเพื่อน ที่มาทำให้เราโกรธ เสียใจ แล้วเขาก็เฝ้างอนง้อ ชวนพูดชวนคุย เอาขนมมาแบ่งให้กิน มาชวนไปเล่นในสนุกๆ ที่เราชอบเล่นกัน แม้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะโกรธให้นานที่สุด แต่ไม่เคยข้ามวันสักที ผู้เขียนก็ใจอ่อน เดินตามเขาต้อยๆ ไปเล่นกันอีก

 บางครั้งผู้เขียนก็เป็นผู้ถูกเพื่อนโกรธ คราวนี้ทำให้ซาบซึ้งในใจดีว่า การง้อคนนี้ มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ต้องลดทิฏฐิมานะจนหมด ยอมใช้เสียงที่คิดว่าอ่อนหวานที่สุด ที่จะสะกดให้เพื่อนหยุดฟังเรา ต้องเดาใจให้ออกว่าเพื่อนเราชอบอะไรนะ ที่จะทำให้อารมณ์ เขาดีขึ้นทันที และที่สำคัญ ขออย่าให้เขาเดินหนีเราไปเลย เพราะการจากกัน ขณะที่ไม่เข้าใจกัน คงเป็นความรู้สึก เหมือนมีหนามทิ่มหัวใจเราตลอดไป

 ผู้เขียนลืมไปว่า เด็กๆนั้น เรามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อภัยกันง่าย หายโกรธกันเร็ว ลืมเรื่องที่ถูกทำให้เจ็บใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่ามีการแพ้ ชนะ ขอเพียงสักคำหนึ่งที่ถูกใจ หรือถ้ายังไม่ยิ้ม ก็จะใช้วิธีการถึงตัว ขอกอดสักหน่อยนะ เท่านั้นแหละ กำแพงใจของเด็กน้อย ก็ทะลายลงทันที กลับมา คุยจ้อ จูงมือวิ่งตี๋อ เหมือนคนที่จากกันไปนาน กลับมาพบกันอีกครั้งเป็นครั้งแรก จำได้ดีถึงวันนั้น วันที่เราคืนดีกัน มันหวานชื่น ไปทั้งโลก พลอยทำให้ หมู่เพื่อนคนอื่นๆ พลอยสนุกสนาน ร่าเริง สบายใจไปด้วยทันที

  มาถึงวันนี้ ไม่ได้โกรธใคร หรือง้อใคร เป็นกิจจะ ลักษณะ มานานแล้ว ไม่ทราบว่า ถ้าถึงคราวเกิดเรื่อง ยังจะทำเหมือนสมัยเด็กๆอยู่ได้ไหม หรือศักดิ์ศรีในตัวเอง มันจะทำให้ผู้เขียนก้มหัวไม่เป็นแล้วก็ไม่รู้ คำของ้อ ขอเป็นเพื่อนต่อไป ตามที่ใจตั้งความปรารถนาไว้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้า คนที่ผู้เขียนจะขออภัยเขา คำขอโทษมันจะหลุดพ้นริมฝีปากไปได้ไหม หรือผู้เขียน จะมีแต่ความแข็งขืน เอาใจใครไม่ได้เสียแล้ว ทั้งที่เพื่อนเราคนนั้น อาจรอ รอ รอเรา แต่มันอาจนานเกินไป จนเขากลับหลังหันจากไปแล้ว

  ถึงเวลานั้น ผู้เขียนไม่เคยลืม ความรู้สึกสมัยเด็กที่เพื่อนเดินหนีจากไปเลย มันใจหาย มันคิดถึง มันอยากจะวิ่งเข้าไปกอด แล้วบอกว่า กลับมาเล่นกับเราก่อนนะ อย่าเพิ่งไปเลย กลับมานะ

  แต่ถึงวันนี้

โลกแห่งความทรนง

ผู้เขียนคิดว่านะ ถ้ามีเพื่อนเดินจากเหมือนเมื่อวันวาน ซึ่งความรู้สึก ก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้น กับเสียงเรียกเพื่อน ที่คงจะแผ่วเบา ตามทิฏฐิมานะที่แรงกล้าที่เพิ่มขึ้น ตามวันเวลาที่สั่งสม  ก็คงไม่มีพลังทำให้เพื่อนหันกลับมาแน่นอน

                        จะมีประโยชน์อะไรไหม ที่ต้องมานั่งทบทวนตัวเองว่า 

                                        "That's Why You Go Away"

mltr - That's Why You Go Away
หมายเลขบันทึก: 191839เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2008 20:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 21:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)
  • ว่ากันว่า
  • คนที่นึกถึงเรื่องอดีต
  • มักเป็น สว
  • อิอิๆๆ
  • มาแซวพี่สบายดีไหมครับ
  • พาหนะใหม่ ประหยัดน้ำมัน

สวัสดีค่ะ

พอยอมรับว่าตัวเองแก่นะ ใจมันอิสระมากเลย มันเลยย้อนไปถึงอดีตในยามเด็กโน่นค่ะ

มาค่ะ มาสู่โลกสมมุติ ของวัยเดผ้กกันอีกสักครั้งนะคะ จิตใจจะผ่องใส สว่างทันที

ม้า หรือฬ่อ คะ ดูไม่ถนัด แต่ดูจะประหยัดพลังงานไปด้วย เพราะมันยืนเฉยๆ ถ้าจะเดินไม่ไหวน่ะค่ะ

สบายดีค่ะ หนุ่มน้อย ที่คิดถึง

เรื่องน่ารักดีค่ะ เพลงเพราะมากค่ะ

สวัสดีค่ะคุณศิริวรรณ ไมตรีแพน

ขอบพระคุณมากค่ะ ที่แวะมาเยี่ยม กับความรู้สึกครั้งเยาว์วัยด้วยกัน เราต่างก็มีเพื่อน

มีความทรงจำที่ดีต่อกัน คิดถึงเรื่องราวสมัยนั้น กับความรู้สึกสมัยนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะน้องบุญรุ่ง เขียนได้น่ารัก น่าอ่าน ทำให้นึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กจริงๆค่ะ

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่อย่างทุกวันนี้แล้ว เรื่องที่ทำให้เราโกรธ เขาโกรธ ก็เปลี่ยนไป วิธีการง้อก็เปลี่ยนไป ที่สำคัญคือตัวเราที่มีสติ มีจิตเมตตาต่อตนเอง และเพื่อนที่จะไม่ผูกโกรธ และให้อภัย แม้เพื่อนเป็นฝ่ายผิด เราก็ยังเข้าใจและให้เมตตาไปละลายความโกรธของเขา หากเป็นเพื่อนกันจริง อย่างไรก็โกรธได้ไม่นานใช่มั้ยคะ

  • ธุหมอรุ่งค่ะ..

สมัยเรียนต้อมก็มีแต่เพื่อนผู้ชายค่ะ  ที่สนิทกันมากๆ เพราะเขาคอยรับ-ส่ง ต้อมซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิง 1 ใน 2 คนของห้อง   จบจากระดับชั้นนั้นเขาก็ไปเรียนต่อวิศวะ  เราก็เลยเจอกันไม่บ่อย   เคยเจอกันด้วยความบังเอิญที่ริมถนนทีหนึ่ง  เขารีบลงจากรถเดินมาหาแล้วกอด ณ ตรงนั้น  โอย..อายสายตาผู้คนแทบแย่   แต่อโหสิให้เพราะคิดว่าเขาคงดีใจมากๆ จนลืมตัวว่าเพื่อนสาวของเขาไว้ตัวมากขนาดไหน   แล้วหลังจากนั้น..เราก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง   ต้อมไม่ยอมรับการติดต่อจากเขาอีกเลย  

เวลาผ่านไปนับปี.. ระหว่างที่ต้อมขับรถไปติดไฟแดง   จู่ๆ ความคิดที่ว่า..สมมุตินะว่า ถ้าเพื่อนที่เราทะเลาะกันจนไม่ยอมพูดยอมคุยมานานเกิดตายไปโดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจกัน   แล้วเราจะเสียใจไหม?  เฮ้..เสียใจสิ  งั้นไม่ได้ล่ะ   ต้อมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

วันต่อมา ต้อมไปทำธุระที่ในเมืองเชียงใหม่และขากลับก็เลยเลือกกลับทางลำพูน   ก่อนถึงสี่แยกนิคมอุตสาหกรรมนั้น..มีเพื่อนสาวอีกคนพยายามโทรเข้ามาแต่สายต้อมหลุดเรื่อย    และเมื่อได้รับสาย..รถก็ถึงตรงแยกนิคมพอดี   เธอโทรมาแจ้งข่าวว่าเพื่อนคนนั้นถูกรถชนเสียชีวิต ณ ตรงจุดนั้นเอง   ต้อมจำได้ว่าตัวเองร้องไห้-ปล่อยโฮตรงนั้น

แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ต้อมคิดได้   แต่มันก็สายไปใช่ไหมคะ?....   ถ้าย้อนวันเวลากลับไปได้  ต้อมอยากจะเป็นคน "ละ" ไอ้เจ้าศักดิ์ศรีและทิฐิที่มีจนล้นทั้งหลาย   ต้อมจะยอมคุยกับเขาก่อนก็ได้    หากแต่ก็ย้อนเวลากลับไปทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้ว

 

สวัสดีค่ะพี่นุช

ยังมีใช่ไหมคะ กับการกระทำ และความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อเพื่อนเรา

แสดงว่า จิตใจของพี่นุช มีความเชื่อมต่อ ทอสายใย เอื้ออาทร กับคำว่าเพื่อนมาตลอด

น่าเสียดาย ที่เราจะปล่อยเลย ห้วงเวลาที่ทิฏฐิครอบงำ จนเพื่อนจากไป

.....ขอบพระคุณพี่นุชที่มาร่วมแบ่งปันค่ะ....

สวัสดีค่ะคุณต้อม

ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ กับประสบการณ์ที่ผ่านมา

ยิ่งโตขึ้น สิ่งแวดล้อม สถานะต่างๆ ก็ยิ่งทำให้เรา มีช่องว่างที่ห่างเหินกันไปทุกที

และเวลาแห่งการงอนง้อ อภัย หรือทำเพื่อกัน ก็มีอายุสั้นลงไปทุกที

เป็นเรื่องเตือนใจที่ดีมากเลยค่ะคุณต้อม ที่การที่เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อใคร อย่ารอช้า

เพราะ ...สายน้ำ และเวลา ไม่เคยรอใคร....

อย่าเสียใจ กับวันเวลาที่ เรื่องราวที่ผ่านไป...พี่คิดว่า เพื่อนคุณต้อม ก็คงฝังใจเรื่องนี้ ที่อยากจะชี้แจงด้วยเช่นกัน จึงมีพลังสะกิดใจถึงกัน จนวันสิ้นลมหายใจ

ส่วนคุณต้อมเอง ก็พิสูจน์ความรักต่อเพื่อนไปแล้ว ที่ยังมีน้ำตาเพื่อเขา..คนไม่รักกัน ไม่มีน้ำตาให้กันหรอกค่ะ

ที่สุดทุกอย่าง ก็จบลงด้วยดีแล้วค่ะ

นะคะ

  • หมอรุ่ง คะ..

สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ และวันเวลาก็ไม่เคยรอใครจริงๆ ด้วย

แต่ต้อมเชื่อนะคะ ว่าเขาเองก็รับรู้ว่าต้อมรักเขาเหมือนกัน(อาจจะไม่มากเท่าเขา)  เพราะว่าเขาเป็นเพื่อน    คืนที่สองของการจากไปของเขา  ต้อมขับรถขึ้นเขาเพื่อไปไหว้ศพเขาในตอนกลางคืน   ระหว่างทาง..จู่ๆ ตรงเบื้องหน้า ใบไม้จำนวนมากมายก็ไหลวนขึ้นไปบนอากาศ(ปกติใบไม้ต้องร่วงจากต้นลงสู่พื้นใช่ไหมคะ)ทั้งๆ ที่ลมก็แทบจะไม่มี  เพื่อนที่นั่งไปเป็นเพื่อนต้อมเงียบกริบ  แต่ต้อมกลับยิ้มเพราะรู้สึกว่าเขามารอรับเรา   และคืนนั้นที่กลับบ้านก็ฝัน  ฝันว่าไปงานศพใครไม่รู้แถวในอำเภอที่ต้อมอยุ่แล้วเขาเปิดโลงให้ดูเป็นครั้งสุดท้าย  ต้อมก็ชะโงกหน้าไปดู  กลายเป็นว่า..ที่นอนอยู่ในโลงเป้นเพื่อนต้อมที่เพิ่งเสียไปนี่เอง  เขาใส่เสื้อสีขาว  มีแผลแตกที่คิ้วซ้าย  และนอนหลับตาอยู่  แล้วเขาก็ยิ้มให้ต้อม   ต้อมก็เลยตกใจตื่น..ลุกขึ้นมาร้องไห้ใหญ่เลย   พอรุ่งสางรีบโทรหาเพื่อนอีกคนที่สนิทกับเขา..เธอบอกว่า เพื่อนเราคิ้วแตกที่ด้านซ้ายและวันนั้นสวมเสื้อยืดสีขาวด้วย   อึ้งๆๆๆ เลย

เป็นครั้งเดียวที่รู้สึกติดต่อกันได้น่ะค่ะ ....  จึงเก็บเรื่องนี้มาสอนตัวเองในวันที่รู้สึกว่าตัวทิฐิเกเรด้วย

สวัสดีค่ะน้องต้อม

ขอให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือการจากกันด้วยดี คิดว่าคุณต้อมเองก็คงคิดแบบนี้

แล้วเราก็ต้องแยกย้ายจากกันอยู่ดี

ขอเพียงยามที่อยู่กัน อย่าได้ก่อเวรจนสุดจะอภัยกันเลยค่ะ

ขอบคุณบทสรุป และแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดช ความมีทิฏฐิมานะ ได้อย่างแจ่มชัดค่ะ

ให้สบายใจ ที่ได้ทำดีที่สุดแล้วค่ะ

อารมร์นี้เป็นอารมณ์ อยู่คนเดียว นิ่งๆสบายๆนึกย้อนดี..อยางมีความสุข

ทบทวนวันเวลาที่ผ่าน(ทุกเรื่อง) จนถึงวันนี้..แล้วก็ถอนหายใจ..หรือยิ้มกับตัวเอง

แล้วพูดในใจกับตัวเองว่า"เราหนอเรา"

ขอบคุณมากครับ

 

สวัสดีค่ะพี่เกษตรยะลา

เห็นภาพนี้ แล้วคิดถึง สายน้ำจากเทือกเขาภูตะวัน ที่เนปาล ที่ไหลต่อๆกันมาจากเทือกเขาหิมาลั

คิดแล้ว ก็มีความสุขกลับมาอีกครั้งค่ะ

ขอบคุณพี่มากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท