BM.chaiwut
พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล ฉายา ฐานุตฺตโม

พระธุดงค์ซ้อนท้ายจักรยาน


พระธุดงค์ซ้อนท้ายจักรยาน

ปี ๒๕๒๙ หลังจากสอบนักธรรมโทแล้ว ในช่วงปลายปี ผู้เขียนก็ไปเที่ยวอีสาน ตอนแรกก็ไปเยี่ยมหลวงพี่ณรงค์ ที่วัดประชานิมิตร อ.บัวใหญ่ โคราช... หลวงพี่ณรงค์ มีความเพียรยิ่งยวด บวชปีแรกก็สามารถท่องจำปาฏิโมกข์ทั้งบาลีและไทยได้ภายในเดือนเดียว ซึ่งบารมีธรรมของท่านทำให้ผู้เขียนเอาเยี่ยงอย่าง จึงได้เริ่มเรียนบาลีปาฏิโมกข์ที่นี้ แต่ช่วงนั้นท่านเจ้าอาวาสอาพาธ หลวงพี่จึงไปเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลชัยภูมิ ผู้เขียนจากมาโดยไม่ได้ลาหลวงพี่ ภายหลังเขียนจดหมายไปหา ก็ทราบข่าวว่าไปเป็นเจ้าอาวาสแถวชัยภูมิ...

พักอยู่บัวใหญ่ประมาณ ๑-๒ เดือน แล้วก็ไปเที่ยวอำเภอชนบท ขอนแก่น ตามคำชวนของหลวงตาที่มาเยี่ยมเณรศิษย์ของท่าน แล้วก็ไปเข้าปริวาสที่อำเภอนาเชือก มหาสารคาม แล้วก็ไปเยี่ยมหลวงพี่อัสมาลา ที่วัดกลางกาฬสินธุ์ พักอยู่ที่นี้ ๔-๕ วัน ก็เดินทางต่อไปสกลนคร เพือจะไปนครพนมตามจุดมุ่งหมาย...

ถึงสกลนครก็ไปเที่ยววัดป่าสุทธาวาส ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เกจิอาจารย์ดัง แล้วก็ไปอุดรเพื่อไปเที่ยวโบราณสถานบ้านเชียง จากนั้นก็ย้อนกลับมาสกลนครอีกครั้งเพื่อเดินทางไป อำเภอปลาปาก นครพนม...  ก็แบกกลดและสพายย่ามใหญ่ใส่บาตรไปด้วย  เดินบ้างนั่งรถบ้างตามยถา  ค่ำที่ไหนก็อาศัยปักกลดข้างทางหรืออาศัยวัดแถวนั้นพักบ้างตามความเหมาะสม... (ได้แก้ไขข้อผิดพลาดนิดหน่อย) 

สมัยเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น  พระท่องเที่ยวเดินหนทำนองนี้ มักจะได้รับการช่วยเหลือจากญาติโยมและเจ้าหน้าที่ทั่วไป ยังไม่เป็นที่เพ่งเล็งจับผิดดังเช่นปัจจุบัน จะรำคาญบ้างก็ญาติโยมมาขอหวยเท่านั้น เห็นพระธุดงค์ก็จะขอหวยเท่านั้น (5 5 5....)

.........

ผู้เขียนมาอยู่วัดปทุม... กับท่านพระครู... (จำชื่อวัดและชื่อเต็มๆ ของท่านไม่ได้แล้ว) ที่ตำบลนามะเขือ อำเภอปลาปาก นครพนม อยู่ประมาณ ๒-๓ เดือน สาเหตุที่อยู่นานเพราะท่านว่าจะพาไปเที่ยวงานพระธาตุนครพนม...  ผู้เขียนรู้จักกับท่านพระครูฯ ตอนไปปฏิบัติธรรมที่พุทธมณฑล (๒๕๒๘) ซึ่งท่านเคยฝากเณรศิษย์ของท่านมาให้ผู้เขียนจัดหาที่เรียนให้ที่สงขลา ดังนั้น จึงมีความผูกพันกันพอสมควร...

ผู้เขียนก็ท่องปาฏิโมกข์มาเรื่อยๆ ท่านพระครูเป็นเจ้าคณะตำบล จึงพาผู้เขียนไปสวดปาฏิโมกข์ครั้งแรกที่วัด... (จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นวัดในตำบลนามะเขือ) จำได้ว่าโบสถ์นั้นเป็นศาลาลอยน้ำอยู่กลางสระภายในวัด ซึ่งเป็นแบบหนึ่งของโบสถ์ตามพระวินัย... ผู้เขียนก็ขออนุญาตสวดเพียงนิสสัคคีย์ฯ เท่านั้น เพราะเป็นการสวดครั้งแรก แต่ก็ผ่านไปโดยดี....

พอถึงงานไหว้พระธาตุนครพนม ท่านพระครูก็พาผู้เขียนไปตามสัญญา ผู้เขียนก็จัดสัมภารบริขารกลับมาด้วย... งานไหว้พระธาตุนครพนม เป็นงานใหญ่ คนมาก พระ-เณรที่ไปร่วมงานจะถูกจัดให้พักที่อาคารชั้นบนทั้งหมด (รู้สึกว่าอาคารจะ ๔-๕ ชั้น)... เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน พระ-เณรก็จะลงมาบิณฑบาตภายในงาน กลุ่มญาติโยมที่มาเที่ยวงานและบรรดาพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็ร่วมกันใส่บาตร... บิณฑบาตเที่ยงคืนที่นี้ นับว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตในวัดที่ผู้เขียนไม่ลืม ฟังว่ามีอีกที่ก็คือตอนงานที่ประสาทหินพนมรุ้ง จะมีการบิณฑบาตเที่ยงคืนเหมือนกัน แต่ผู้เขียนยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป....

หลังจากบิณฑบาตเสร็จก็กลับขึ้นอาคารที่พัก ก็เห็นพระเณรบางกลุ่มร่วมวงกันทำภัตรกิจคือฉันข้่าว ส่วนท่านพระครูก็บอกผู้เขียนว่านอนสักตื่นก่อน ให้สว่างค่อยฉัน... ก็พักอยู่ที่นี้ ไหว้พระธาตุและเที่ยวชมงานอยู่ ๒-๓ วัน เลิกงานก็แยกย้ายกัน ท่านพระครูกลับวัด ส่วนผู้เขียนก็ตั้งใจว่าจะไปศรีษะเกษต่อ...

ผู้เขียนก็นั่งรถผ่านมุกดาหาร เข้ายโสธร จากยโสธรก็เลยไปทางอุบล และมาลงที่สามแยกแห่งหนึ่ง (จำอำเภอและรายละเอียดไม่ได้) ซึ่งแยกหนึ่งไปอุบล แยกหนึ่งไปศรีษะเกษ และแยกหนึ่งไปยโสธร... ขณะนั้นเวลาเย็นแล้ว ปรากฎว่าไม่มีรถไปศรีษะเกษ สอบถามญาติโยมแถวนั้น เค้าก็บอกว่าต้องนั่งรถเข้าตัวเมืองอุบลแล้วจะมีรถต่อไปศรีษะเกษ... จึงตัดสินใจแบกกลดเดินไปทางศรีษะเกษ และก็โปกรถไปพลางเมื่อมีรถผ่าน ตั้งใจว่า ถ้าไม่มีรถรับก็จะปักกลดหรือหาวัดพักข้างหน้า... ก็เดินมาเรื่อยๆ ได้หลายกิโล จนเย็นมากแล้ว ก็มีรถบรรทุกหกล้อใจดีจอดรับ โดยไปส่งถึงในตัวเมืองศรีษะเกษ ที่คิวรถไปวังหิน และโชคดีอีกครั้งที่รถสองแถวคันสุดท้ายไปวังหินกำลังจะออก....

นั่งสองแถวออกจากเมือง บอกคนขับรถว่าลงปากทางเข้าวัดศรีโพนดวล เมื่อถึงปากทางรถสองแถวจอดให้ลงก็มืดสนิทแล้ว น่าจะใกล้ๆ สองทุ่ม สองข้างทางไม่มีบ้านคน เห็นไฟจากบ้านคนแถวนั้นก็ไกลออกไปประมาณร้อยหรือสองร้อยเมตร... ล้วงไฟฉายจากย่ามออกมา แล้วฉายไฟมองดูป้ายทางเข้า หยิบสมุดพกรายละเอียดที่จดไว้มาเทียบดูอีกครั้ง จนกระทั้งแน่ใจจึงเดินเข้าไป....

คืนนั้นมืดจริงๆ สองข้างทางเป็นทุ่งนา ผู้เขียนก็เดินสพายย่ามแบกกลดแล้วเดินไปตามถนนลูกรังเรื่อยๆ จนกระทั้งได้ยินเสียงก๊องแก็ง ๆ ในทุ่งนา ด้านหน้าห่างออกไปจากถนนประมาณร้อยเมตร เสียงคล้ายๆ คนปั่นจักรยาน แต่ก็แปลกใจว่าทำไมต้องมาปั่นจักรยานในนากลางคืนมืดสนิทเช่นนี้... ใจหนึ่งก็นึกถึงผี แต่ก็ไม่ได้ขลาดกลัวอะไรนัก เมื่อเดินไปถึงเสียงนั้น ก็มาถึงถนนพอดี จึงรู้ว่าเป็นจักรยานจริงๆ ปั่นมาตามคันนา....

จักรยานก็เลี้ยวขึ้นถนน ผู้เขียนก็หยุด สอบถามได้ว่า เจ้าของจักรยานมีขนำอยู่ในทุ่งนา จะกลับเข้าไปยังหมู่บ้าน... ส่วนผู้เขียนจะเข้าไปยังวัดภายในหมู่บ้าน คุณโยมใจดีจึงบอกว่า ระยะทางอีกกิโลกว่า จะซ้อนท้ายไปหรือไม่ ?... เมื่อผู้เขียนตกลง คุณโยมก็รับย่ามใส่บาตรเอาไปแขวนด้านหน้าจักรยาน ส่วนกลดนั้น ผู้เขียนก็สพายแล้วขึ้นซ้อนท้ายจักรยานเข้าไปยังหมู่บ้าน คุณโยมก็ไปส่งถึงในวัดแล้วก็ลากลับไป...ผู้เขียนก็เดินไปตามกุฏิในวัด เจอหลวงตาบอกว่าท่านพระครูนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จึงเข้าไปหาท่าน...

ท่านพระครูบุญมา ลุกขึ้นจากการนั่งสมาธิแล้ว กำลังเดินจงกลมเล่นๆ อยู่ (โบสถ์ตามเทียนพรรษา ไม่มีไฟฟ้า) เมื่อเจอผู้เขียนก็แปลกใจยิ่งนัก... ผู้เขียนถามว่า จำได้หรือไม่ ? ท่านบอกว่าจำได้ ท่านอยู่ปักษ์ใต้ อยู่สงขลา มาได้อย่างไร ? ปานนี้แล้ว (ตอนนั้นน่าจะประมาณสามทุ่ม) ก็นั่งสนทนาเล่าสู่กันฟังพอสมควร ท่านก็พาไปยังกุฏิเพื่อพักผ่อน...

ท่านพระครูบุญมาก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนรู้จักที่พุทธมณฑล ปักกลดอยู่ติดกับท่านประมาณหนึ่งอาทิตย์ ท่านรักใคร่ผู้เขียนพอสมควร บอกว่าให้ไปเที่ยวให้ได้เมื่อมีโอกาส โดยท่านได้เขียนรายละเอียดไว้ให้ว่าไปได้อย่างไร ผู้เขียนก็ได้ไปเยี่ยมจนถึง... ครั้งแรกนั้นว่าจะพักอยู่กับท่านหลายวัน แต่เพราะว่ามาหลายเดือนแล้ว (มาตั้งแต่ปีที่แล้ว) และคิดถึงบ้านถึงโยมเต็มที่แล้ว ดังนั้น ผู้เขียนจึงพักอยู่กับท่านประมาณห้าวัน ก็ลาท่านกลับ โดยท่านได้มาส่งถึงคิวรถในตัวจังหวัด... ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่วัดนี้ ก็คือมีงานบุญข้าวจี่ เพ็ญเดือนสาม ผู้เขียนจึงได้ฉันข้าวจี่ที่นี้...

ท่านพระครูที่นครพนม ผู้เขียนไม่แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะเห็นชื่อของท่านถูกลบไปจากพระสังฆาธิการเกือบยี่สิบปีแล้ว ถ้ายังอยู่ น่าจะอายุเกินแปดสิบแล้ว... ส่วนท่านพระครูบุญมาที่ศรีษะเกษนั้น ผู้เขียนก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย ถ้ายังอยู่ อายุท่านก็น่าจะใกล้ๆ แปดสิบแล้ว...

พระธุดงค์ซ้อนท้ายจักรยาน ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง ที่พอนึกขึ้นครั้งใดก็รู้สึกขำๆ จึงเขียนเล่าไว้เล่นๆ

 

 

หมายเลขบันทึก: 187913เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2008 22:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2012 15:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

กราบนมัสการหลวงพี่มหาชัยวุธ

เห็นชื่อบันทึกก็ตามเข้ามาอ่านทันที อย่างที่เคยเรียนว่าชอบฟังเรื่องธุดงค์

จริงๆ แล้วเรื่องราวผ่านมาหลายปีแล้ว หลวงพี่ยังจำรายละเอียดได้มากเลยนะคะ ถ้าเป็นตัวเอง..เหตุการณ์เมื่อปี ๒๙ หายไปเยอะแล้วค่ะ ^ ^

กราบขอบพระคุณที่เล่าให้ฟังเป็นธรรมทานค่ะ

นมัสการพระคุณท่าน

/ติดตามอ่านทุกเรื่องใด้ความรู้ที่เป็นแก่น

/ปกติแล้วรับรู้เรื่องธรรมเพียงพี้

/เพราะไปติดอยู่ที่ประเพณีเป็นส่วนใหญ่

/หลายอย่างที่เป็นประเพณีของพราหมณื

/แต่ไหลลามมาพุทธ

/หลุดมาติดอยู่อิสลาม จนแยกไม่ออกว่าศาสนาหรือประเพณี

P

กมลวัลย์

 

โดยมากก็จำไม่ได้ ส่วนเรื่องหลงป่ากับซ้อนท้ายจักรยาน เหตุที่จำแม่น เพราะช่วงแรกๆ นั้น กลับมาคุยโม้ให้คนโน้นคนนี้ฟังอยู่เสมอ...

..........

P

บังหีม

 

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ส่วนธรรมลึกๆ ยากๆ นั้น บางเรื่องก็ไกลเกินไปจากความเป็นอยู่ประจำวัน....

เปลือกและกะพี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเปลือกและกะพี้แล้ว แก่นก็ไม่อาจมีได้...

ความสำคัญ เราต้องแยกให้ได้ว่า ไหนเปลือก ไหนกะพี้ ไหนแก่น และนี้คือไม้ทั้งดุ้น... เปลือก กะพี้ แก่น และไม้ทั้งดุ้น จะมีคุณมีโทษหรือไม่อย่างไร ก็ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม... (มั่วไปเรื่อย 5 5 5)

..........

เจริญพร

ดุ้นไม้ เปลือก แก่นพี้            จักรยาน

 

ล้วนก่อเกิด ตามกาล             ท่านรู้

สำคัญซ้อน ท้ายอยู่              ยังได้ เรื่องราว

ธุดงค์แปลก แยกแยะ           ถึงแล้ว แก่นธรรม

กราบ 3 หน

กราบนมัสการ พระอาจารย์ 3 หน.

อ่านลิขิตที่ท่านอาจารย์เขียนไว้ สนุกสนานเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้

เอง อ่านแล้วก็ทราบอย่างหนึ่งว่าพระอาจารย์ไม่ยึดติดกับสถานที่ ตัวบุคคล ปฏิบัติตามคำ

สอนของพระพุทธองค์ พระธุดงค์ซ้อนท้ายรถจักรยานไม่เคยได้ยินในชีวิต .

กราบ 3 หน ครับ.

ยุทธศักดิ์ ว.

นมัสการค่ะ

* วัดป่าสุทธาวาส....ที่ท่านพระอาจารย์กล่าวที่สกลนคร....ก็มีค่ะ..อยู่ฝั่งตรงข้ามกับศูนย์ราชการ

* ดิฉันเคยอยู่ที่อีสาน...เห็นพระท่านโดยสารรถหลายชนิดค่ะ...บางครั้งก็เห็นท่านขัยเอง...แต่เพื่อทำงานค่ะ

* ตามเข้ามาอ่านพระซ้อนรถจักยานค่ะ

* นมัสการลาค่ะ

นมัสการพระคุณท่าน

        ได้อ่านบันทึกของท่านแล้ว สนุก ตื่นเต้น มีลุ้น สุดท้ายน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีพบ ร่วมอยู่ และพลัดพรากด้วยการจากลา ใดใดล้วนไม่เที่ยง จริงๆ

P

นายขำ

 

ไม่มีรูป

ยุทธศักดิ์ ว.

 

P

ร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง

 

............

P

นาง พรรณา ผิวเผือก (ไม่มีชื่อกลาง)

 

คุณโยมทักท้วง ทำให้อาตมาระลึกได้ว่า เล่าข้ามขั้นตอน ทำให้ผิดพลาดไปนิดหนึ่ง กล่าวคือ...

จากกาฬสินธุ์ก็เข้าสกลนคร ไปพักที่วัดแจ้งแสงอรุณหนึ่งคืน (วัดนี้อยู่ในตัวเมือง) รุ่งเช้าก็เดินไปบ้านเชียง ซึ่งติดเขตอุดร... โดยผ่านทางอำเภอพังโคน รู้สึกว่าจะพักกลางทาง ๑-๒ คืน จนไปค่ำที่ปากทางเข้าบ้านเชียง จึงอาศัยพักที่วัดปากทางเข้าคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงเข้าไปเที่ยวบ้านเชียง ดูโน้นดูนี้แล้วก็ย้อนกลับสกลนคร ไม่ได้เข้าตัวจังหวัดอุดร... เมื่อถึงสกลนครแล้วก็ต่อไปนครพนม...

อนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณโยมได้ทักท้วง และได้แก้ไขบันทึกนิดหน่อยเพื่อให้ถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น...

เจริญพร

 

นมัสการค่ะ
หมู่นี้ ดิฉันไม่เห็นพระธุดงค์เท่าไรนะคะ เห็นแต่ มีคนมานิมนต์ท่าน ให้ไปจำวัด ณ ที่ใดที่หนึ่งเสียมากค่ะ
เช่นที่นี่ค่ะ
จะมีพระท่าน อยู่ประจำที่ใดที่หนึ่งเสีย ส่วนใหญ่

ไม่ทราบดิฉัน เข้าใจถูกไหมคะ

กราบ 3 หนค่ะ

P

Sasinanda

 

  • คิดว่าเป็นเช่นนั้น

ความเปลี่ยนแปลงจากการธุดงค์เดินหนมาเป็นหาสถานที่พอใจอยู่เป็นระยะๆ นั้น เริ่มจากกรณีซาอุเหลือง เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนโน้น(คิดว่าคุณโยมคงจะพอจะจำได้)

เจริญพร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท