หมอบ้านนอกไปนอก(71): ครอบครัวทัวร์ปารีส


จอห์น สไตน์เบค (John Steinbeck) กล่าวไว้ว่า “การเดินทางก็เหมือนชีวิตการแต่งงาน วิถีทางที่ผิดแน่นอนคือการที่คุณคิดว่าคุณควบคุมมันได้” (A journey is like marriage. A certain way to be wrong is to think you control it)

 อากาศไม่หนาวแล้ว ฝนไม่ตก แสงแดดเจิดจ้าเตรียมรับฤดูร้อนที่ใกล้มาถึง หลังจากส่งรายงานวิทยานิพนธ์แล้ว ตอนเย็นก็ต้องมาทำการปรับปรุงแก้ไขงานวิจัยต่อจนเที่ยงคืนแล้วก็รีบส่งไปให้ทางวารสารคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้ทันก่อนสิ้นเดือนและให้ป้อมช่วยโทรประสาน ทางคุณเม่นน้อยผู้ประสานงานก็ได้ตอบรับเอกสารผ่านมาทางเว็บไฮ 5 ถึงผมโดยตรงด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เรื่องต่างๆสะดวกขึ้นอย่างมาก ในขณะที่พี่ตู่และเอ้ไปไชน่าทาวน์เพื่อเตรียมของกินไว้เป็นเสบียงไปเที่ยวปารีสกันในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เป็นการพักผ่อนหลังจากคร่ำเคร่งกับการเขียนวิทยานิพนธ์กันมานานนับเดือน

ผมเองมีประสบการณ์ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า ตอนนั้นเป็นการทำแบบกลุ่ม 5 คน เรียกว่าภาคนิพนธ์ กลุ่มผมมีพี่แบน พี่อ้อ (ราเชนทร์) พี่อ้อ และพี่หมี เราทำเรื่องศักยภาพการท่องเที่ยวจังหวัดตาก เป็นการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีอาจารย์พรเพ็ญเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นการทำงานกลุ่มที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมาก รวมทั้งความสัมพันธ์ในกลุ่มดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยและช่วยกันคนละไม้ละมือตามความถนัด ต่างกับการทำกิจกรรมกลุ่มตอนเรียนที่เบลเยียม โดยเฉพาะครั้งหลังสุดทำรายงานกลุ่มเรื่องกำลังคนด้านสุขภาพของแทนซาเนีย ซึ่งผมเคยเขียนไว้ตอนก่อนๆแล้ว กลุ่มที่ดีต้องเริ่มที่ความสัมพันธ์ที่ดี สนิทสนมคุ้นเคยกัน ไปด้วยกันได้ สัปดาห์ก่อนผมขออาจารย์วาลาเรียจัดกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมกลุ่มวิเคราะห์ระบบสุขภาพสก๊อตแลนด์เองเพื่อจะได้ทำกลุ่มอย่างสนุก ถ้อยทีถ้อยอาศัยและได้ประสิทธิภาพประสิทธิผลสูง แต่ถูกปฏิเสธ พอเห็นรายชื่อในกลุ่มแล้วผมก็นึกเดาได้แล้วว่าการทำงานกลุ่มคงไม่สนุกนัก

เที่ยวคราวนี้ต่างจากคราวก่อนที่ไปกันแค่สามคนโดยนั่งรถบัสประจำทางไปและพักที่โรงแรมในเมือง คราวนี้พี่ตู่กับผมและครอบครัวไปกันเองรวม 6 คน โดยรถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส (Thalys) ที่โชคดีที่เป็นช่วงลดราคาเป็นพิเศษทำให้ได้ราคาที่พอๆกับการนั่งรถบัสแต่เร็วกว่ามาก ส่วนที่พักเราเลือกที่พักเป็นอพาร์ทเมนท์นอกเมืองที่ราคาไม่สูงนักราคาต่อคนอยู่ที่ 15 ยูโร ครึ่งหนึ่งของโรงแรม ชื่อเรสิเดนซ์ เดอ ลาแซน (Residence de la Seine) อยู่นอกปารีสไป 5 กิโลเมตร การจองโรงแรมใช้บัตรเครดิตจองที่ www.hostelbookers.com  ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายประเภทและหลายประเทศให้เลือก แคน ขิม ขลุ่ยตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวหอไอเฟล ผมเองก็อุ่นใจที่มีพี่ตู่ไปด้วย เด็กๆเองก็สนิทสนมกับลุงตู่อย่างมาก

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2551 ตื่นตีสี่ครึ่งเตรียมตัวออกเดินทางจากบ้านพักด้วยรถรางตอนตี 5 กว่าๆ ขึ้นรถไฟทาลิสเวลา 6 โมงเช้า เด็กๆมีเป้สะพายสิ่งของส่วนตัวกันคนละใบ ตั๋วกำหนดตู้และเลขที่นั่งไว้ชัดเจน สภาพในรถไฟดูดีมาก คล้ายๆในเครื่องบิน แต่ผมคิดว่าดูแคบกว่ารถไฟหัวกระสุนชิงกันเซ็นของญี่ปุ่น มีร้านอาหารไว้บริการด้วย อากาศเย็นเล็กน้อย ฟ้าสว่างแล้วตั้งแต่ตีห้า รถไฟออกเดินทางเวลา 06:20 น. แวะจอดที่สถานีบรัสเซลส์กลางและใต้แค่สองสถานี เรานั่งรถไฟไป ดูทิวทัศน์สองข้างทางบ้าง หลับไปบ้าง เด็กๆดูท่าทางตื่นเต้นมาก ส่วนผม เอ้กับพี่ตู่ๆก็เพลียๆเพราะนอนดึกและตื่นเช้า รถไฟจอดที่ปลายทางสถานีปารีสเหนือหรือแกร์ ดู นอร์ด ในเวลา 8:35 น. ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษๆ ขณะที่นั่งรถบัสใช้เวลา 6 ชั่วโมง ถ้านั่งเครื่องบินไรอันแอร์ราคาใกล้เคียงกันแต่เวลาโดยรวมและความยากลำบากมากกว่า

ลงจากรถไฟซื้อตั๋วเมโทร (รถไฟใต้ดิน) แบบตั๋วสามวันโซน 3 สามารถใช้ได้ตลอดทั้งสามวัน ราคา 19 ยูโร ใช้ได้ทั้งรถเมโทร รถบัสและรถไฟเชื่อมเมือง (RER) เราสามารถเลือกโซนและจำนวนวันได้ตามความจำเป็น โซนดูได้จากแผนที่ ส่วนใหญ่เที่ยวในเมืองมักไม่เกินโซน 3 เรานั่งเมโทรสาย 4 ไป 1 สถานีแล้วต่อสาย 2 ไปลงสถานีปลาส เดอ คลิชี่ต่อสาย13 ไปลงที่สถานีปอร์เต เดอ คลิชี่แล้วนั่งรถไฟRER C1 ไปลงสถานีเอปิเนย์ แล้วก็เดินไปที่โรงแรมเรสิเดนซ์ เดอ ลา แซน ประมาณ 10 นาที แต่ไม่สามารถเช็คอินได้ จึงฝากกระเป๋าไว้ก่อนแล้วออกไปเที่ยวในเมืองก่อน โดยนั่งรถไฟสายเดิมกลับมาลงที่สถานี ชอมป์ เดอ มาส์ ตูร์ ไอเฟล เดินเลาะริมแม่น้ำแซนไปเรื่อยๆจนถึงหอไอเฟล หอเหล็กสูง 324 เมตร ผลงานสร้างของกุสตาฟ ไอเฟลในปี 1889 เพื่อเป็นประติมากรรมฉลองครบ 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวจำนวนมากรอเข้าคิวขึ้นไปชมทิวทัศน์บนหอ จึงไม่ได้ขึ้นไปชมข้างบน น้องขลุ่ยสมความปรารถนาที่ได้เห็นหอไอเฟลของจริง และขอซื้อหอไอเฟลจำลองด้วย เราเดินชมวิวรอบๆหอไอเฟลไปจนถึงริมแม่น้ำแซน น้องขลุ่ยบอกผมว่าพ่อครับ โตขึ้นขลุ่ยมีลูก ขลุ่ยจะพาลูกขลุ่ยมาเที่ยวต่างประเทศบ้าง

อากาศร้อนแดดจ้าทำให้เริ่มอ่อนเพลีย เราตัดสินใจนั่งเรือออโต้บัสชมทิวทัศน์สองฝั่งน้ำแซน ค่าเรือคนละ 12 ยูโร จากท่าเรือหอไอเฟล เรือล่องไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงแดดจ้า กับสายลมเย็น ผืนน้ำต้องแสงแดดเป็นระยิบระยับ คลื่นน้ำเป็นระลอก ไม่สูงนัก พลิ้วไปตามแรงเรือ ผ่านพิพิธภัณฑ์ดอร์ซี่ ผ่านแซงเจอแมง ถึงบริเวณเกาะกลางน้ำที่แยกลำน้ำออกเป็นสองสาย เรือผ่านเรื่อยๆผ่านมหาวิหารนอตเตรอดาม แล้วเลี้ยวลำกลับที่ท่าจาแดง เดส แพลนเต้ วกกลับมาผ่านอีกด้านของมหาวิหาร ผ่านศาลาว่าการเมืองโฮเต็ล เดอ วิลล่า มาที่จุดสายน้ำกลับมาบรรจบกันที่เดิม ผ่านพิพิธภัณฑ์ลูฟเรอะ เลยมาสักนิดมองเห็นเสาหินโอบิลิส ของขวัญจากอียิปต์ตั้งตระหง่าน ล่องเรื่อยมาจนผ่านแกรนด์พาเลซและท่าเรือถนนซอมป์ เอลิเซ่ แล้วอ้อมลอดใต้สะพานปงต์ เดียน่ากลับมาจอดที่เดิม รวมเวลากว่าชั่วโมง

ขณะล่องเรือ น้องขิมมีไข้ ไม่สบายทำให้หลับไปด้วยความอ่อนเพลียเกือบตลอดเส้นทาง น้องขลุ่ยก็คงเหนื่อย ผมกับเอ้ก็ล้านั่งหลับเป็นพักๆ สลับการนั่งชมวิว ส่วนพี่ตู่กับแคนเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งน้ำและถ่ายรูปอย่างไม่รู้เหนื่อย ขิมถูกปลุกให้ตื่นหลังจากเรือเข้าเทียบท่า ไข้ลดลงแล้วดูสดชื่นขึ้นบ้าง แต่ก็ยังอ้อนให้พ่ออุ้มอยู่ดี พอเห็นพ่อเหนื่อยก็หอมแก้มเติมพลังให้เป็นระยะๆ แม้แขนจะล้าแต่ใจก็อิ่มสุข ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี เรานั่งพักทานอาหารกลางวันใต้สะพานริมน้ำ ข้าวสวย ไก่ทอดที่เตรียมไปด้วยฝีมือเอ้อิ่มอร่อยมาก

หลังอาหารเราเดินไปอีกด้านหนึ่งเพื่อชมหอไอเฟลจากมุมกว้างเดินผ่านสวนสาธารณะและเดินขึ้นบันไดไปยังพระราชวังชายโย ปัจจุบันเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์อาคารปีกโค้งสองหลัง น้องขิมไม่ยอมเดินต้องให้พ่ออุ้มไป พักเหนื่อยที่ลานทรอคคาเลโด เป็นจุดที่สามารถเก็บภาพหอไอเฟลได้เต็มและชมวิวมุมสูง ถ่ายรูปกับหอไอเฟล ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ เสร็จแล้วนั่งเมโทรต่อไปที่สถานีชาร์ลเดอโกล เข้าไปชมประตูชัยหรืออารค์ เดอ ทรีออมป์ ที่นโปเลียนให้สร้างเมื่อปี 1806 เพื่อเป็นที่ระลึกในการชนะสงคราม ความสูง 50 เมตร แล้วเดินลอดอุโมงค์ขึ้นไปชมร้านค้าสองข้างถนนชอมป์ เอลิเซ่หรือถนนราชดำเนินของฝรั่งเศส อากาศค่อนข้างร้อน ต้องแวะทานอาหารที่ร้านแมคโดนัลด์ ผมเดินเที่ยวด้วยอุ้มน้องขิมไปด้วย อากาศค่อนข้างร้อนทำให้เพลียและเหนื่อยง่าย น้องขลุ่ยเดินเที่ยวเอง

เดินได้สักพักก็ลงไปสถานีเมโทร คนแน่นมาก ต้องเบียดเสียดกันขึ้นรถ ผมกับขิมขึ้นรถไปก่อน ส่วนเอ้กับขลุ่ยขึ้นไม่ทัน รถออกไปก่อน ส่วนพี่ตู่กับแคนผมไม่ทันเห็น ทำให้พลัดหลงกัน ผมเองก็ใจคอไม่ดีเพราะห่วงเอ้กับขลุ่ยเนื่องจากเพิ่งมาปารีสเป็นครั้งแรกและไม่ได้บอกกันไว้ก่อนว่าจะต้องลงที่สถานีใด รู้แต่ว่าจะไปเที่ยวชมมหาวิหารนอตเตรอดาม รถแล่นไปได้สักพักน้องแคนก็ค่อยๆเบียดเสียดผู้โดยสารมาหาผม แคนบอกว่าลุงตู่ให้ขึ้นรถมาก่อนแล้วให้เดินมาหาพ่อ ส่วนลุงตู่อยู่รอรถคันต่อไปกับแม่และขลุ่ย ผมค่อยโล่งใจไปได้ น้องแคนโดนเบียดและถูกประตูหนีบต้นแขนเจ็บเล็กน้อย ผมต้องตัดสินใจว่าต้องลงสถานีใดและต้องใจว่าพี่ตู่กับเอ้ที่นั่งตามมาคันหลังจะลงสถานีใด ในที่สุดตัดสินใจลงที่สถานีโฮเต็ล เดอ วิลล่า เราสามคนพ่อลูกนั่งรอ รถคันถัดมาผ่านไปก็ไม่มี รอจนอีกคันมาถึงพี่ตู่ เอ้และขลุ่ยก็มาถึง ทราบว่าเขาลงที่สถานีก่อนหน้าคือสถานีชาร์เล็ต เลอ ฮอลล์ ซึ่งเดินข้ามไปมหาวิหารได้ง่ายกว่า นับเป็นบทเรียนว่าต้องขึ้นรถคันเดียวกันและบอกกันไว้เลยว่าต้องลงสถานีใด จะได้ไม่พลัดหลงกัน เอ้บอกว่าน้องขลุ่ยร้องไห้ตกลงใจคิดว่าพลัดหลงกับพ่อแล้ว

ออกจากสถานีเมโทร ผ่านขึ้นไปชมศาลาว่าการเมืองหรือโฮเต็ล วิลล่า คราวก่อนที่มาชมเป็นช่วงหน้าหนาวมีลานสเก็ตอยู่ด้านหน้า คราวนี้เป็นลานโล่ง อ่านเพิ่มเติมที่ http://gotoknow.org/blog/practicallykm/155590 น้องขิมเริ่มงอแงและมีไข้ขึ้นอีก ต้องให้กินยาแก้ไข้และอุ้มไปเกือบตลอด น้องขลุ่ยก็เริ่มเหนื่อยและงอแง เราพาเดินต่อไปที่มหาวิหารนอตเตรอดาม สไตล์โกธิกสร้างอุทิศถวายแด่พระแม่มารี ซุ้มประตูด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีกำลังเห่กล่อมพระเยซู ถ่ายรูปทิวทัศน์รอบๆและเข้าไปชมความงามในตัวมหาวิหาร นั่งพักกันสักครู่ ก็เดินกลับไปที่ท่าเรือลงเรือไปที่สถานีอินวาลิเด้ เพื่อไปชมพระราชวังที่คล้ายพระที่นั่งอนันตสมาคมของไทย เดินข้ามสะพานชมทิวทัศน์เหนือลำน้ำแซนยามเย็น แดดอ่อนแสงลง ลดความร้อนไปได้มาก ลมพัดเย็นทำให้การเดินเที่ยวสบายมากขึ้น เดินข้ามไปชมพระราชวัง ราวสองทุ่มครึ่งนั่งรถไฟสายRER C1 ลงจากรถไฟที่สถานีรถไฟอีปิเนย์ สถานีเล็กๆแต่สร้างอาคารด้วยหินก้อนและปูนฉาบดูสวยดี แวะซื้ออาหารกับผลไม้ก่อนเข้าโรงแรม เช็คอิน จ่ายเงินแล้วเข้าที่พัก ที่พักเป็นอพาร์ทเมนต์มีห้องครัวห้องนั่งเล่นกว้างๆรวมกันและสามารถปรับเป็นห้องนอนได้ ห้องน้ำหนึ่งห้องและห้องนอนอีกหนึ่งห้อง รวมทั้งอุปกรณ์การทำครัวให้พร้อม กว่าจะได้นอนก็ราวห้าทุ่มกว่า

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ทานอาหารที่บ้านพักฝีมือเอ้ แล้วออกจากบ้านราวสามโมงเช้า วันนี้ขิมอาการดีขึ้น ไม่มีไข้แล้ว ทุกคนสดชื่นมากขึ้น นั่งรถไฟRER C มาลงที่สถานีปิแอร์ ลิวาลัวร์ ต่อเมโทรสาย 2มาลงที่สถานีแอนเวิสใกล้ๆเนินเขามงมาตร์ แวะเข้าไปที่หน้าโรงระบำมูแลงรูจ ถ่ายรูปกับกังหันลมสีแดงเหนือหลังคาโรงระบำ เดินต่อไปที่ศูนย์บริการข้อมูล เราเปลี่ยนใจพาเด็กๆไปชมดิสนีย์แลนด์ โดยซื้อตั๋วที่ศูนย์พ่วงราคาค่าตั๋วรถไฟไปกลับด้วย ดิสนีย์แลนด์อยู่ห่างปารีสไปทางทิศตะวันออก 32 กิโลเมตร เรานั่งเมโทรสาย 4 ไปลงที่สถานีแกร์ ดู นอร์ด ต่อรถไฟRER B ไปที่สถานีชาร์เลต เลอ ฮอลล์ แล้วต่อรถไฟRER A ไปลงที่สถานีปาร์ค ดิสนีย์แลนด์ เดินออกจากสถานีก็ถึงหน้าสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ วันนี้ดีหน่อยฟ้าครึ้ม ไม่มีแดด ทำให้อากาศไม่ร้อน ขิมเดินเองแล้ว ไม่ต้องอุ้ม

สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ปารีส www.disneylandparis.com  เปิดให้เข้าชมทุกวัน มีสองส่วนสำคัญคือสตูดิโอ (Parc Walt Disney Studio) และสวนสนุก (Parc Disneyland) สามารถซื้อตั๋วแบบเข้าชมทั้งสองส่วน ในราคา 59 ยูโรสำหรับผู้ใหญ่และ 51 ยูโร สำหรับเด็ก แต่ถ้าชมส่วนเดียวลดมาอยู่ที่ 49, 41 ยูโร เราซื้อตั๋ว 62 ยูโรรวมค่ารถไฟและเข้าใจว่ารวมทั้งสองส่วน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ดีที่เราเข้าไปชมสวนสนุกก่อน หลังตรวจบัตรผ่านประตูแล้ว เข้าไปด้านหน้าอาคารที่ทำการตกแต่งด้วยสวนดอกไม้สวยงามและมีสวนดอกไม้สีชมพูสดใสเป็นรูปมิ๊กกี้เมาส์ มีนักท่องเที่ยวมาชมมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เราเดินผ่านไปชมปราสาทเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า ถ้ำมังกร น้ำตกจำลอง เด็กๆสนุกกับการถ่ายรูปกับตัวการ์ตูน ของเด็กเล่นมีคนเข้าแถวรอคิวเล่นเยอะมาก มีการแสดงเต้นประกอบเพลงของเจ้าชายเจ้าหญิง เราได้ถ่ายรูปกับเจ้าหญิงในละครด้วย หลังจากนั้นก็พักกินอาหารกลางวัน

เสร็จแล้วพาเด็กๆไปเดินเข้าไปในสวนและชมปราสาท พื้นที่ไม่กว้างนักแต่เขาทำเป็นทางเดินวกไปวนมากั้นด้วยแนวต้นไม้ หลังจากนั้นก็ลงมานั่งเรือล่องแม่น้ำ นั่งรถไฟชมวิว ชมเรือดำน้ำและชมหนังสามมิติ รอนานมากจนเมื่อยกว่าจะได้ชม น้องขิมชอบมากอยากดูซ้ำอีก เราออกมาเดินชมโดยรอบๆสวน คนเยอะมากทำให้เสียเวลารอคิวมากจนเล่นได้ไม่กี่อย่าง แล้วก็ออกมาเพื่อจะไปชมสตูดิโอแต่ไม่สามารถใช้บัตรเดิมได้ อีกทั้ง 4 โมงกว่าแล้วจึงตัดสินใจกลับ พร้อมๆกับสายฝนโปรยปรายลงมาพรำๆ แวะไปดูร้านขายของที่ระลึกพักหนึ่ง ขากลับนั่งรถไฟสายเดิมมาลงที่สถานีอูเบอร์ ขึ้นไปชมความงามของโรงละครหรือโอเปรา แล้วไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าลาฟาเย็ต เดินชมห้าง เข้าห้องน้ำและพักคลายเมื่อยแล้วนั่งเมโทรสาย 12 มาที่สถานีพิเกลล์แล้วนั่งเมโทรสาย 2 ต่อลงที่สถานีแองเวิส

เดินขึ้นเขาไปชมความงามของซาเคร่เคอยามเย็น น้องขุล่ยไม่ยอมเดินพ่อกับแม่ต้องผลัดกันอุ้ม เดินไปถึงเชิงบันไดขึ้นเขา ผม ขลุ่ยและขิมนั่งพัก ส่วนพี่ตู่ เอ้และแคนไปซื้ออาหารเย็นมาทานและเตรียมไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น เดินขึ้นไปชมความงามของซาเคร่เคอและทิวทัศน์เหนือตัวเมืองปารีส เข้าไปชมความงามด้านในวิหาร ขากลับแวะซื้อของที่ระลึกตรงถนนทางขึ้นเขามงมาตร์ มีร้านขายของที่ระลึกจำนวนมาก เกือบสามทุ่มขึ้นรถกลับที่พัก

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 ตื่นเช้า ทานอาหาร เก็บกระเป๋าเสื้อผ้า เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตอน 9 โมงเช้า นั่งรถไฟRER C1 ไปลงที่สถานีเคเนดี้ ข้ามสะพานไปถ่ายรูปกับรูปปั้นเทพีเสรีภาพเหนือเกาะกลางแม่น้ำแซน เดินลัดเลาะถ่ายรูปมาตามริมฝั่งน้ำจนถึงสถานีรถไฟ นั่งรถไฟ RER C5 เพื่อไปพระราชวังแวร์ซายน์ ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทุ่มเทบูรณะ 50 ปี มีพระตำหนัก วังเล็กๆ 2 วังและสวน 250 เอเคอร์และคลองยาว 1 ไมล์ เราต้องซื้อตั๋วรถใหม่เพราะอยู่นอกโซน 3 ไปถึงสถานีแวร์ซายน์ คิฟ โกรช ลงจากรถไฟเดินสัก 15 นาทีก็ถึงพระราชวังตอน 11 โมงเช้า มีนักท่องเที่ยวเข้าแถวรอซื้อตั๋วเข้าชมยาวมาก เกือบชั่วโมง พอถึงตอนซื้อตั๋ว เราเปลี่ยนใจเข้าชมเฉพาะในสวน ไม่ได้เข้าชมภายในพระราชวัง วันนี้แดดออก อากาศร้อน สวนด้านหลังพระราชวังมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีส่วนน้ำพุ สระน้ำ สวนหย่อมมาก เดินได้สักพักก็พักกินอาหารกลางวัน แล้วก็แยกกับพี่ตู่ เรา 5 คนพ่อแม่ลูกเดินต่ออีกสักพักก็รู้สึกเหนื่อยและร้อน จึงขึ้นรถไฟกลับมาที่ตัวเมืองเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ พิพิธภัณฑ์ที่เก่าและใหญ่ที่สุดในยุโรป

โชคดีวันอาทิตย์แรกของเดือนเขาเปิดให้ชมฟรี ครั้งก่อนที่มาก็เป็นช่วงเดียวกัน จึงไม่ต้องเสียค่าเข้าชม ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์ต้องมีการตรวจเอ๊กซ์เรย์กระเป๋าก่อน เข้าไปแล้วมีแผนกรับฝากกระเป๋าให้ฟรีทำให้สบายหน่อยไม่ต้องลากและหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง นักท่องเที่ยวมากแต่ก็ไม่ถึงกับแน่นจนเบียดเสียดเหมือนตอนที่ผมมาเที่ยวคราวก่อน เอ้ทำหน้าที่ถือแผนที่พาเดิน พิพิธภัณฑ์นี้มีความกว้างใหญ่มาก ไม่สามารถดูจนครบทุกส่วนได้ภายในครึ่งวัน เราจึงต้องเลือกดูเฉพาะส่วนที่เด่นๆ เช่นภาพวาดโมนาลิซ่า รูปปั้นวีนัส เป็นต้น แต่ผมคิดว่าเราเดินชมได้มากกว่าตอนที่ผมมาคราวที่แล้ว เด็กๆก็เดินเอง ไม่ต้องอุ้ม แต่ท่าทางเหนื่อยๆเหมือนกัน ทำให้ความสนใจในศิลปะลดลงไป

เดินจนถึง 5 โมงเย็น ออกมาด้านนอกอาคารเพื่อถ่ายรูปกับอาคารและปิระมิดแก้วอันสวยงาม ด้านนอกไม่มีแดดแล้ว มีลมพัดเย็นสบายเพราะตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ ปรากฏว่าพี่ตู่กลับมานั่งรับลมเย็นคอยอยู่ก่อนแล้ว ช่วงบ่ายวันนี้เราแยกกันเที่ยวเพราะหลายจุดพี่ตู่ไปแล้ว ก็อยากไปที่ที่ยังไม่ได้ไปและมีความคล่องตัวสูงกว่าเมื่อไปกับเด็กๆ เรานั่งพักผ่อนชมทิวทัศน์ รอบๆพิพิธภัณฑ์ รับลมเย็นๆกันเกือบชั่วโมง ราว 6 โมงเย็นก็นั่งเมโทรกลับไปที่สถานีแกร์ ดู นอร์ด ขึ้นรถไฟทาลิสกลับตอน 19:25 น. แคน ขิม ขลุ่ย นั่งหลับมาตลอดทาง รถไฟพาเรามาถึงแอนท์เวิปตอน 21:32 น. แล้วนั่งรถรางกลับบ้านพัก ฟ้ายังไม่มืด แสงอาทิตย์กว่าจะลับขอบฟ้าราวกว่า 4 ทุ่มและออกมาฉายแสงอีกครั้งตอนตี 5

การไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวโดยมีเด็กๆไปด้วย ไม่ง่ายในการบริหารจัดการ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเด็กๆจะเอาอย่างไร งอแงไหม ไม่สบายหรือเปล่า อยากทานอะไร จะเที่ยวแบบสมบุกสมบันมากเหมือนที่เคยๆไปก็ไม่ได้ เวลาก็ใช้มากขึ้นกว่าจะออกเที่ยวในแต่ละวันได้ จึงต้องเตรียมแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วย ขณะเดินเที่ยวก็ลำบากเรื่องห้องน้ำเพราะหาค่อนข้างยาก ต้องพยายามฝึกให้เข้าห้องน้ำก่อนออกจากบ้านหรือเมื่อเจอห้องน้ำให้เข้าไว้ก่อน ผมดูแล้วลูกๆก็พยายามปรับตัวมากเหมือนกัน ที่สำคัญเวลาลูกๆงอแงในขณะที่เราเองก็เหนื่อยล้า โอกาสที่จะหงุดหงิดก็มีมากขึ้น เราก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเหมือนกัน การเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมอะไรได้ยาก อย่างที่จอห์น สไตน์เบค กล่าวไว้ว่า การเดินทางก็เหมือนชีวิตการแต่งงาน วิถีทางที่ผิดแน่นอนคือการที่คุณคิดว่าคุณควบคุมมันได้แต่การเริ่มต้นเที่ยวเองแบบครอบครัวก็ให้ประสบการณ์ไม่น้อยเป็นการเริ่มต้นและเรียนรู้ที่มีค่าเช่นกัน

พิเชฐ  บัญญัติ(Phichet Banyati)

Verbondstraat 52, 2000 Antwerp, Belgium

12 มิถุนายน 2551, 21.35 น. ( 02.35 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 187780เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2008 03:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 15:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

สวัสดีค่ะคุณหมอ

What a trip ค่ะ! ปรบมือให้ทั้งคณะเลยค่ะ ไปหลายที่มากๆ เด็กๆ ก็เก่งนะคะ เสียดายไม่เห็นภาพ แต่ดูแล้วคงมีรูปเป็นร้อย.. ^ ^

ไม่เคยไปเที่ยวฝรั่งเศสแบบนี้เลยค่ะ เคยแต่ไปทัวร์ แต่ปกติจะชอบเป็นคนเที่ยวเองมาก แต่ภาษาไม่อำนวยเ่ท่าไหร่ประเทศนี้ ^ ^

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ค่ะ

สวัสดีครับ เห็นทริปแล้วท่าทางน่าสนุกมากเลยนะครับ...

จริงอย่างว่าครับ...เรื่องเด็ก..เพิ่งมีญาติๆมาเที่ยวกัน มีเด็กเล็กๆถึง 3 คนครับ โอ๊ยสนุกสนานกันเชียวล่ะ..(แบบวุ่นๆน่ะครับ) ยังไงซะเวลาไปเที่ยวกับครอบครัว ก็มีความสุขมากๆครับ

ถ้ามีโอกาสมาอีก..อย่าลืมลงมาเที่ยวทางตอนใต้บ้างนะครับ

สวัสดีครับคุณหมอ

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เรื่อง ประกวดภาพถ่ายชีวิตและงานบริการปฐมภูมิ  ในหัวข้อ “สุขภาพใกล้ตัว บริการใกล้บ้าน”@187804  นะครับ

สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์

ถือเป็นทริปที่สนุกและก็เหนื่อยพอดูครับ ถ่ายรูปไว้เยอะเหมือนกัน เรื่องภาษาไม่มีปัญหาเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษได้ ส่วนป้ายและแผนที่พอเทียบเคียงกับภาษาอังกฤษได้ เที่ยวไม่ยากครับ

สวัสดีครับคุณPompier

น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาไปเที่ยวทางใต้ เพื่อนบอกว่าโปรวองซ์ก็สวยมากเช่นกัน มีเพื่อนอยู่ที่ลิยง เขาชวนไปเที่ยวและพักที่บ้านเขาก็ยังไม่มีเวลาไปเลยครับ ไปๆมาเวลา 10 เดือนสั้นเมหือนกัน เที่ยวได้ไม่ทั่วครับ

เอาไว้โอกาสหน้าจะหาเวลาลงไปเที่ยวครับ

เรียนคุณกวิน

ด้วยความยินดีครับ

สวัสดีค่ะคุณหมอ แวะมาอ่านบันทึกที่ยาวมั่กๆ แต่ก็ได้บรรยากาศดีค่ะ เสียดายไม่มีรูปเด็กๆประกอบด้วยนะคะ สงสัยโตขึ้นเยอะแล้วสิคะ ;)

คุณหมอไขข้อข้องใจได้เร็วมากๆๆ ขอให้มีความสุขกับการเรียนที่ต่างประเทศนะครับคุณหมอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท