ความคิดเห็นที่แตกต่าง กับจุดยืนของคนที่ชั่วบ้างดีบ้าง ( 2 )


การอยู่ในโลกทวินิยมกลายเป็นเรื่องที่ไม่สนุกสักเท่าไหร่สำหรับข้าพเจ้าในช่วงหลังๆ  โดยเฉพาะการอยู่ในสภาพสังคมที่มีความคิดเห็นแบบทวินิยมอย่างสุดโต่ง จะเป็นที่ไหนไม่ได้ถ้าไม่ใช่ในประเทศไทยของเราเอง   ช่วงหลังๆ ข้าพเจ้าสังเกตว่าเราทั้งหลายอยู่ในสภาพสังคมทวินิยมแบบสุดโต่งเอามากๆ  แถมเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งมากมายจนแก้ไขอะไรไม่ได้ หรืออาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลยนับแต่นี้ไป

ข้าพเจ้าเคยเจอกับตัวเองมาหลายเรื่อง  ที่ชัดเจนในปัจจุบันนี้ก็คงเป็นเรื่องการเมือง  เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้ยินคำวิพากษณ์วิจารณ์กึ่งด่าทอท่านผู้นำฝ่ายค้านที่ค่อนข้างรุนแรง ดูถูกดูหมิ่นเอามากๆ  ฟังดูประหนึ่งว่าท่านช่างเป็นคนเลวร้ายมากๆ  ประมาณว่าช่างไม่เจียมตัวเลยที่คิดจะมาเป็นนายก ข้าพเจ้าก็เลยออกความเห็นว่า  ถ้าเราจะมองอย่างลึกซึ้งและมองแบบธรรมดาๆ   ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าท่านจะเลวร้ายอะไร  ถ้าเรามองท่านอย่างคนธรรมดาทั่วๆไป ท่านก็เป็นคนหนุ่มที่หน้าตาดี   มีการศึกษา จบมาจากเมืองนอกเมืองนา แว่วว่าจากมหาวิทยาลัยมีชื่อ  และได้รับเกียรตินิยมมาด้วย  แถมมีครอบครัวมีลูกเหมือนคนทั่วๆไป  มีอาชีพที่สุจริต  พูดจาสุภาพต่อผู้หลักผู้ใหญ่  ไม่ด่าทอใครจนเกินงามทางสื่อ  และการที่ใครสักคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นอะไรสักอย่างก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าท่านอยากจะเป็นนายกบ้างก็คงไม่ผิดอะไร  มีคนมากมายในโลกนี้ก็ใฝ่ฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่  เด็กตัวน้อยๆ ยังอยากจะเป็นนักบิน  เป็นทหาร เป็นตำรวจ  เป็นหมอ เป็นดารา  ทั้งๆที่ยังเป็นเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ  กับการที่ผู้ใหญ่สักคนที่มีความรู้พอประมาณอยากจะเป็นนายกบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร  จะว่าเขาไม่เจียมตัวได้อย่างไร  ที่จริงเขาอาจจะสามารถเป็นได้และทำได้ดีก็ได้  (อันนี้ข้าพเจ้าคิดเทียบกับตัวเองด้วยซ้ำ เพราะข้าพเจ้าก็จบในเมืองไทย แถมไม่ได้มีเกียรตินิยมอะไรติดตัว  ครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยมาแต่เดิม พูดจาภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่อง  เพราะไม่ใช่นักเรียนนอก ข้าพเจ้าจึงรู้ตัวดีว่าไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะเทียบเคียงกับท่านผู้นำฝ่ายค้านได้  แค่คิดฝันจะเป็นผู้นำในชุมชนข้าพเจ้าก็คงไม่สามารถเป็นได้ด้วยซ้ำ )

หลังการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ถูกจัดประเภทเข้าไปเป็นกลุ่มพวกฝ่ายค้านทันที  และอย่างไม่รู้ตัวรู้ตน ข้าพเจ้ากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลไปด้วย   ยังดีที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องฝ่ายที่กำลังประท้วงอยู่ที่แถวถนนราชดำเนิน  มิฉะนั้นข้าพเจ้าอาจจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อีกหลายๆกลุ่ม  

ความเป็นจริงข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มไหน  ข้าพเจ้าเพียงแต่แสดงความคิดเห็นในมุมมองของตนเอง  แน่นอน ความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้นำฝ่ายค้านในมุมมองของข้าพเจ้าก็ย่อมต่างจากคนอื่นๆ ที่มาจากสภาพสังคมที่ต่างจากข้าพเจ้า  สำหรับคนที่มีอะไรดีกว่าท่านผู้นำฝ่ายค้าน เห็นอะไรที่ดีกว่า และมาจากครอบครัวที่ดีกว่านี้ แถมอาจจะมีสติปัญญารอบรู้ที่ดีกว่าข้าพเจ้า อาจจะไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะเอาท่านมาเป็นผู้นำประเทศ  เพราะคุณสมบัติท่านอาจจะยังไม่ดีพอ  อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนไป   

แล้วข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายไหน ?   ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น ข้าพเจ้าอยู่ตรงกลางนี่แหละ  แต่มักจะถูกจัดประเภทไปอยู่ฝ่ายโน้นบ้างฝ่ายนี้บ้าง แต่ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้ามีจุดยืนอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ข้าพเจ้าก็คงต้องบอกว่า  จุดยืนของคนที่ชั่วบ้างดีบ้างแบบข้าพเจ้าคือ ความถูกต้อง

พอกล่าวถึงความถูกต้อง ก็จะมีคำถามตามมาว่า ความถูกต้องในแง่มุมของใคร ของเราเองหรือเปล่า หรือของคนอื่น  เพราะความถูกต้องในมุมมองของใครคนหนึ่ง อาจจะเป็นความไม่ถูกต้องของใครอีกคนก็ได้  เพราะปัจจุบันนี้เราหลายๆ คน ต่างก็ชักจะมึนงงเรื่องถูกหรือผิด ในสังคมไทยเราค่อนข้างมาก  จนไม่รู้ว่าอะไรคือความถูกต้องที่จริงแท้ อะไรคือความถูกหรือผิดที่แท้จริง เพราะถ้าเราฟังฝ่ายรัฐบาลพูด เราก็จะพบว่า ความถูกต้องในมุมมองของท่านก็เป็นแบบหนึ่ง  ถ้าฟังฝ่ายค้านมากๆ ความถูกต้องก็เป็นอีกแบบหนึ่ง  แถมถ้าไปฟังฝ่ายประท้วงบ้างความถูกต้องก็จะเป็นอีกแนวหนึ่ง  แล้วเราจะเชื่อใคร  และที่น่าสนใจก็คือ เรามักจะเอนเอียงไปทางฝ่ายที่พูดตรงกับใจที่เราคิดไว้  ตรงกับความคิดเห็นที่เรามีอยู่    เราจึงต้องระวังเรื่อง   ความถูกต้องที่แท้จริงกับความถูกใจ ไว้ให้ดี  เพราะมันอาจจะเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้ 

อะไรคือความถูกต้องที่แท้จริง  ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน  ทุกวันนี้เราทั้งหลายอาจต้องใช้สติปัญญาอย่างมากในการวิเคราะห์ข่าวสารต่างๆ  เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ไม่จริงแท้ซ่อนเร้นอยู่  เราอาจต้องใช้สติปัญญามากมายในการรับฟังข้อมูลข่าวสาร  เพราะถ้าฟังได้ไม่ครบถ้วนเราอาจจะเข้าใจผิดและเห็นผิดได้  ดังนั้นการเลือกข้าง หรือเชื่อในสิ่งใดเร็วเกินไป อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ควรทำนัก  ต้องใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เข้ามาช่วย

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ  (และไม่ได้เป็นพุทธเพียงแต่ในทะเบียนบ้านด้วย )  ข้าพเจ้าขอใช้หลักตัดสินแบบนี้  การที่จะบอกว่าใครดีกว่าใคร ใครจะเป็นอย่างไร  น่าเชื่อถือหรือไม่ ข้าพเจ้าขอใช้สิ่งนี้ตัดสิน  ศีล   ข้าพเจ้าขอใช้ศีลห้า นี่แหละเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่ ศาล  การพิจารณาความบริสุทธิ์ยุติธรรมใดๆในทางโลกอาจต้องใช้ศาล  แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วขอใช้ศีล เป็นตัวตัดสิน  ถ้าจะมีใครถามว่าคนนั้นดีหรือไม่ คนนี้เป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าก็จะถามว่ามีศีลหรือเปล่า หรือมีศีลสักกี่ข้อ  ใครที่มีศีลมากกว่าคนนั้นก็ดีกว่า  เอาแบบนี้เลย   เพราะว่าศีล แปลว่า ความปกติ ถ้าใครที่มีศีลมากๆ ก็ถือว่ามีความปกติมากกว่าคนอื่นๆ   เมื่อเอาคำว่า ศีล มาจับเราก็จะพบว่า ไม่มีใครดีกว่าใครสักเท่าไหร่  เพราะขนาดศีลห้า ที่เป็นข้อปฎิบัติพื้นฐานของชาวพุทธ เป็น minimal requirement ของเราทุกคนที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เรานำมาใช้นั้น  ถ้าเราทั้งหลายยังนำมาปฎิบัติไม่ได้ก็คงจะไม่มีใครดีกว่าใครได้สักเท่าไหร่หรอก  

ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้าอยากได้นายกแบบไหน  ข้าพเจ้าคงจะตอบว่า  ข้าพเจ้าอยากได้นายกที่มีศีลห้าประจำใจ  ศีลห้าเป็นศีลสำหรับเราทั้งหลาย  ไม่ใช่สำหรับสมณนักบวช เพราะสำหรับสมณนักบวชนั้นท่านถือศีลถึง 227 ข้อ  แต่เราทั้งหลายนั้นขอแค่ห้าข้อเอง ( แต่ก็ยังทำไม่ได้กัน )

จะดีแค่ไหนที่เรามีนายกที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่สั่งฆ่าใครโดยไม่จำเป็น

จะดีแค่ไหนที่เรามีนายกที่ไม่ลักขโมยทรัพย์สมบัติของแผ่นดินไปเป็นของตนและช่วยปกป้องทรัพย์สินของประเทศชาติไว้

จะดีแค่ไหนที่เรามีนายกที่ไม่นอกใจภรรยา ไม่มีเมียน้อย และส่งเสริมให้คณะรัฐมนตรีไม่มีเมียน้อยด้วย ครอบครัวสังคมก็จะอยู่เย็นเป็นสุข 

จะดีแค่ไหนที่เรามีนายก ที่ไม่พูดโกหกกับประชาชน ไม่พูดล้อเล่นไปวันๆ โดยไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอะไร

จะดีแค่ไหนที่เรามีนายกไม่ดื่มเหล้าเมาสุรา  และช่วยส่งเสริมให้ประชาชนเลิกดื่มเหล้า  จะได้ไม่มีคนเจ็บคนตายจากอุบัติเหตุมากมายอย่างเช่นทุกวันนี้

ถ้าการมีนายกเช่นนี้แล้ว ทำให้มีคนกล่าวหาว่า จะทำให้ประเทศชาติไม่เจริญก้าวหน้า  GDP จะไม่ขึ้น เมืองไทยจะล้าหลัง นั่นก็แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละคนไป ไม่มีถูกหรือผิด  แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วเราน่าจะสนใจเรื่อง GHP มากกว่า 

 เราเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา  ถ้าประชาชนถือศีลห้า กันสักข้อสองข้อ ก็คงจะไม่มีเรื่องรุนแรงบาดหมางกันมากมายขนาดนี้  เพราะเราไม่ถือศีลห้า เราไม่เคยเข้าใจในหลักคำสอนในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง  สังคมประเทศชาติเราจึงวุ่นวายอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ 

หมายเลขบันทึก: 186996เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2008 08:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีครับ  ขออนุญาตเข้ามา ลปรร ด้วยครับ

       เรื่องของการเมือง  เป็นเรื่องของ การจัดสรร  "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์"  ให้ลงตัวครับ  

       เป็นเรื่องของการใช้ "ชั้นเชิง" และ "เหลี่ยมคู" ทางการเมือง

       ดังนั้น "การเมือง" จึงมักเป็นเรื่องที่ต้องใช้ "ความรู้ทางโลก" ที่เรียนกันไม่รู้จบ  เข้ามาห้ำหั่นและต่อสู้กัน 

      คนดีมีคุณธรรม  จึงมักถูกวิถีทางการเมื่องทำลายให้ตกขอบเวทีไปอย่างน่าเสียดาย

                                 ขอบคุณครับ

     

สวัสดีค่ะคุณsmall man

สงสัย นายกที่มีศีลห้าประจำใจ คงจะเป็นแค่ในความฝันเสียแล้วเป็นแน่  เพราะท่านเหล่านั้น ท่าจะถูกวิถีทางการเมืองเบียดตกขอบเวที อย่างที่คุณ smallman ว่าจริงๆ  แต่ก็จะขอหวังว่าคงจะมีสักคนในอนาคต   แต่ถ้าไม่ได้ดังหวังก็ขอให้เป็นคนที่มีศีลสักสองสามข้อประจำใจ ก็คงจะพอ 

 

สวัสดีค่ะคุณหมอ Sunny

ตามมาอ่านและชื่นชมภาพงามๆ ค่ะ ^ ^

หลวงปู่ชาท่านเทศน์ว่า "ศีลปราบกาย ปราบวาจา ธรรมะปราบใจ" ฟังแล้วได้ปัญญา(บ้าง)จริงๆ

อยากให้คนในสังคมมีศีล มากขึ้นจริงๆ ค่ะ และคนเป็นผู้นำก็ย่อมจะต้องถือศีลเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย แล้วกฎหมายกับความวุ่นวายจะน้อยลงไปเยอะเลย.. แต่ก็คงเป็นแค่ความหวัง..

นึกถึงที่พระท่านกลาวไว้นะคะ มีศีล มีปัญญาค่ะ.. ตอนนี้ที่ทำได้คือตัวเองรักษาศีล กระตุ้นให้คนรอบข้างรักษาศีล..นิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องช่วยกันค่ะ ^ ^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท