เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2551 ได้ไปบรรยายเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะและการพัฒนางานทางวิชาการของครู” ในหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรเพื่อการเลื่อนวิทยฐานะ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กทม. เขต 2 ณ โรงเรียนสารวิทยา
ตามที่ได้เคยนำเสนอแล้วว่า ในการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ครูจะถูกประเมินด้าน สมรรถนะในการปฏิบัติงาน ด้วย ซึ่ง ครู คศ.2-3 จะถูกประเมินใน 7 สมรรถนะ คือ
1. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ : ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้มีคุณภาพ ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และมีการพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
2. การบริการที่ดี : ความตั้งใจในการปรับปรุงระบบบริการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ
3. การพัฒนาตนเอง : การศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ ติดตามองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงวิชาการและวิชาชีพเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนางาน
4. การทำงานเป็นทีม : การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุน เสริมแรง ให้กำลังใจแก่เพื่อนร่วมงาน การปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่น หรือแสดงบทบาทผู้นำ ผู้ตาม ได้อย่างเหมาะสมสมรรถนะประจำสายงาน
5. การออกแบบการเรียนรู้ : วิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอน แสวงหาวิธีสอนใหม่ ๆ วางแผนการสอน ใช้สื่อประกอบการสอน ปฏิบัติการสอนด้วยเทคนิคที่หลากหลาย และประเมินการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
6. การพัฒนาผู้เรียน : วิเคราะห์ศักยภาพผู้เรียนในความรับผิดชอบ พัฒนาเด็กให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งด้านสมอง จิตใจ อารมณ์ สังคม และร่างกาย
7. การบริหารจัดการชั้นเรียน : บริหารจัดการชั้นเรียนอย่างเป็นระบบทั้งการจัดการสอนในรายวิชาและในบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษา
ถ้าขอตำแหน่งที่สูงขึ้น คือ ครูเชี่ยวชาญ(คศ.4) หรือ เชี่ยวชาญพิเศษ(คศ.5) จะถูกประเมินเพิ่มอีก 1 รายการ คือ
8. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ : ความสามารถในการทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ แล้วแยกประเด็นเป็นส่วนย่อย ตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนด สามารถรวบรวมสิ่งต่างๆ จัดทำอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน รวมทั้ง สามารถวิเคราะห์องค์กรหรืองานในภาพรวมและดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
ในห้องประชุม มีคนถามว่า “ทำอย่างไร จึงจะได้คะแนนผ่านการประเมิน”
ผมตอบว่า
1) ตามปกติ เท่าที่ดูข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา เฉพาะการประเมินคุณภาพการปฏิบัติงาน หรือสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ส่วนใหญ่จะผ่านนะครับ ยกเว้นการขอ คศ.4-5 จะมีการดูในรายละเอียดและหลักฐานเชิงประจักษ์มากหน่อย
2) ครูจะต้องศึกษานิยามสมรรถนะต่าง ๆ ให้เข้าใจ พร้อมศึกษาเกณฑ์การให้คะแนน ตามแบบประเมินที่ กคศ.กำหนด ดังตัวอย่างข้างล่างนะครับ
3. ด้านการพัฒนาตนเอง : การศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ ติดตามองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงวิชาการและวิชาชีพ เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนางาน 3.1 การศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ ด้วยการเข้าประชุมทางวิชาการ อบรม สัมมนา หรือวิธีการ อื่น ๆ |
4--มีชั่วโมงเข้าประชุม อบรม สัมมนาไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง/ปี และ มีการจัดทำเอกสารนำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อย 2 รายการ/ปี 3--มีชั่วโมงอบรมไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง/ปี และมีการจัดทำเอกสาร นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อย 1 รายการ/ปี 2--มีชั่วโมงอบรมไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง/ปี หรือ มีการจัดทำเอกสาร นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อย 2 รายการ/ปี 1--มีชั่วโมงอบรมน้อยกว่า 20 ชั่วโมง/ปี หรือ มีการจัดทำเอกสาร นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 1 รายการ/ปี |
1. ตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงการเข้าประชุม อบรม สัมมนา เช่น บันทึกการส่งเข้าประชุม/อบรม เกียรติบัตร วุฒิบัตร บทความ/งาน เขียนที่นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นต้น 2. สอบถาม/สัมภาษณ์เจ้าตัว เพื่อนร่วมงาน และผู้เกี่ยวข้อง |
......จากข้อมูลข้างต้น เป็นการประเมินสมรรถนะด้านการพัฒนาตนเอง
ตัวชี้วัดที่ 3.1 ซึ่งได้ระบุเกณฑ์การให้คะแนน 4 3 2 และ 1 ไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งได้ระบุไว้ด้วยว่า คณะกรรมการจะตรวจให้คะแนนจากหลักฐานอะไรบ้าง
3) ให้ลองประเมินตนเองทุกปี นะครับ ดูว่าเราได้คะแนนเท่าไร 2.60 2.80 3.00 หรือ 3.20 ถ้าเกิน 3.20 แสดงว่าเรายอดเยี่ยม มีสิทธิ์เป็น คศ.5 นะครับ(มากกว่าร้อยละ 80)
..........ใครพัฒนาตนและพัฒนางานอย่างดี จนได้เกรด 4.00 ในทุกสมรรถนะ หรือทุก ตัวชี้วัด โอ...เขาจะเป็นครูที่วิเศษเลยครับ ลูกศิษย์จะเป็นเลิศอย่างแน่นอน แถม ผมเชื่อว่า ผลงานทางวิชาการจะมีเพียบด้วย
โดยนัย ดังกล่าวข้างต้น ในเรื่องการประเมินสมรรถนะ ถ้าเราศึกษา ตัวชี้วัด และเกณฑ์การให้คะแนน ทุกรายการ ครูน่าจะทราบครับว่า ต้องพัฒนางาน เตรียมตัว หรือ รวบรวมแฟ้มสะสมงาน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความชำนาญการหรือความเชี่ยวชาญ ได้อย่างไรบ้าง
- ถึงเกณฑ์ขั้นเงินเดือนจะยังไม่ถึงแต่บทความ 2 เรื่องล่าสุดนี้ก็ทำให้มีความรู้มากขึ้นเยอะเลยครับ
- ถ้าเราใช้เกณฑ์ดังกล่าวโดยถือว่าเพื่อพัฒนาตนเองกับความเป็นครูเป็นหลัก โดยคิดถึงค่าตอบแทนเป็นผลพลอยได้ เด็กๆของเราคงจะมีความสุขมากแน่ๆครับ
เรียน คุณจิรเมธ
ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากบันทึกของอาจารย์เรื่องที่แล้ว เกี่ยวกับสมรรถนะเฉพาะ(ประจำวิชา)ต่อเนื่องนะครับ
ผมเห็นด้วยกับ ดร.สุพักตร์ว่าถ้าเอาสมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชามาประเมินเลื่อนวิทยฐานะตรงนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยากซึ่งจะเกิดปัญหาองคาพยพกว้างใหญ่ คุมยากอย่างที่เห็น(ซึ่งจริงๆตอนนี้เราประเมินผลงานวิชาการกัน เราก็ดูที่สมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชากันอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้ประกาศเป็นทางการก็ตาม)
ถ้าเราใช้การประเมินแบบ สกศ.ที่ประเมินผู้บริหารต้นแบบ(อาจารย์คงเคยไปประเมินมาแล้ว) โดยเน้นสมรรถนะหลักและประจำสายงาน องคาพยพอาจไม่ต้องกว้างขวางมาก ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิมาประเมินไม่มาก แต่ต้องเก่งและเที่ยงธรรมจริงๆ(สามารถตบสีข้างม้าทีสองทีก็รู้ว่าม้าดีหรือไม่ดี) ซึ่งได้ตัวอย่างผอ.ต้นแบบรุ่น 1 เช่น ผอ.นคร ตังคพิภพ เป็นต้น แล้วท่านเหล่านั้นก็ทำวิจัยพัฒนาต่อเนื่อง และเผยแพร่ แบ่งปันองค์ความรู้แก่ผู้อื่นได้อย่าสง่าผ่าเผย
ส่วนสมรรถนะเฉพาะแต่ละวิชาก็ให้องค์กรวิชาชีพ และหน่วยงาน เช่น ศูนย์วิชา หรือโรงเรียน หรือเขตพื้นที่ ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาบุคลากรหรือใช้ประเมินความก้าวหน้าของบุคลากรในหน่วยงานตนโดยเฉพาะก็คงดี (เหมือนประกันคุณภาพภายใน)
แต่พอจะไม่ประเมินแยกเป็นรายวิขาเฉพาะแต่ละสาขาวิชาหลายคนก็จะไม่ยอมรับเกรงจะไม่ได้ความเก่งตามแก่นแท้ของวิชานั้นๆ ก็จึงเป็นปัญหา "เหมือนลิงแก้แห" ใช้ผู้ประเมินมาก จากหลายสังกัด ซึ่งคุมยาก อย่างทุกวันนี้ ...ใจจริงผมยังชอบการประเมินแบบ สกศ.นะ...อาจารย์คิดยังไงครับ
เรียนดร.สุพักตร์ที่เคารพ
ติดตามมาอ่านค่ะ เลยได้ความรู้เพิ่ม เพราะอยู่มหาวิทยาลัยฯ และยังไม่ได้ทำตำแหน่งทางวิชาการ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องการประเมินแบบนี้ ได้ความรู้มากเลยค่ะ
สวัสดัค่ะ ท่านอาจารย์สุพักตร์
เมื่อวันที่อาจารย์บรรยายที่ ร.ร.สารวิทยา ดิฉันเป็นผู้ฟังอยู่ด้วยคนหนึ่งค่ะ อาจารย์พูดได้ชัดเจนดีมาก ทำให้มีกำลังใจมากยิ่งขึ้นค่ะ แต่ตอนนี้ยังงงๆอยู่เพราะต้องทำ ค.ศ.4 พบกำลังใจจากที่ท่านอาจารย์แนะนำ ขอขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ ตอนแรกแค่คิด ตอนนี้คาดว่าคงพอไหวค่ะ ...ครูมัธยมค่ะ
เรียน อ.ฟ้าใส
อาจารย์ Preeda ครับ
การพัฒนาสมรรถนะของตนเอง สำหรับครู กับการพัฒนาสมรรถนะของตนเอง สำหรับอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยเปิดมีความแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร ค่ะ