สังคมทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก หลายคนทำงานเพียงเพื่อเอาหน้าตา ทุกประโยคที่พรั่งพรู ปนด้วยคำโอ้อวด เหนือจริง พฤติกรรมการแสดงออก หวังแต่เพียงโฆษณาชวนเชื่อ เป็นอย่างที่เห็นหรือไม่ ความจริงความเท็จ ผิดชอบ ชั่วดี ไม่รู้กันแล้ว...หรือ รู้ทั้งรู้
การทำงานเพียงเพื่อเอาหน้าตา มุ่งแต่ให้เห็นว่าทำ ทั้งที่ไม่เคยใส่ใจเนื้อแท้ของงาน พิธีเปิด-พิธีปิดต้องอลังการไว้ก่อน เสียเท่าไหร่ไม่ว่า เล็กกว่านี้ได้อย่างไร...ขายหน้าเขาแย่ จุดมุ่งหมายสำคัญ ผลสัมฤทธิ์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ว่ากันทีหลัง
บางคนบอก ก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วแต่สิ ขอให้ทำเถอะ... ถ้าคิดเท่านี้ ก็คงได้ แต่ถ้าคิดต่อไป
การทำให้คนอื่นเห็นว่าทำแล้ว ทำมากกว่าใคร เป้าหมายสุดท้ายน่าจะเป็นสิ่งตอบแทนหรือบำเหน็จรางวัล ถ้าไม่หวัง...คงไม่เอาหน้า ฉะนั้น การทำเพียงเพื่อเอาหน้าตา จึงเป็นพฤติกรรมเพื่อมุ่งแต่ตัวเอง ไม่ใส่ใจจุดมุ่งหมายของงาน ทั้งๆที่เป็นความเจริญของชาติบ้านเมือง
เมื่อการทำงานไม่ได้มุ่งผลของงาน งานนั้นจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร ทำเอาหน้าตาก็จะได้เพียงหน้าตา ผลของงานเป็นเรื่องรองที่จะได้ ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการทำงานที่ไม่ได้งานเลยด้วยซ้ำ ถ้าสังเกตและพิจารณาให้ดี บางเรื่องเราเฝ้าทำกันอย่างซ้ำซาก ปีแล้วปีเล่า เสียงบประมาณไม่รู้เท่าไหร่ ไม่สำเร็จเสียที
เมื่อสัก 3-4 เดือนที่แล้ว เพื่อนรักคนหนึ่งนำหนังสือมาให้อ่านเป็นปกติ ประทับใจมากกับสองเล่ม ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการทำงานเพียงเพื่อเอาหน้าตา ตามที่กล่าวมา
หนังสือเล่มหนึ่ง “รอยพระยุคลบาท” เขียนโดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพราะครั้งหนึ่งผู้เขียน เคยมีหน้าที่ถวายความปลอดภัย ในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำ เป็นเวลานานเกือบ 12 ปี
บางตอนจากหนังสือเล่มนี้เล่าว่า พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระเครื่อง “สมเด็จจิตรลดา” หรือ พระ “กำลังของแผ่นดิน” ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเองให้แก่ผู้เขียน และพระราชทานพระบรมราโชวาทว่า พระที่พระราชทานนั้น ก่อนจะเอาไปให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น พร้อมพระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อจะได้เตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใครหรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว
ระหว่างนั้น ชีวิตราชการของผู้เขียนในกรมตำรวจ มีอุปสรรคปัญหาบางประการ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ยากลำบาก เผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งแทบถึงชีวิต แต่กรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ
เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯอีกครั้ง จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปิดทองหน้าพระที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ขอปิดทองหน้าพระ ผู้เขียนกราบบังคมทูลตอบไปว่า นับตั้งแต่ได้พระราชทานพระสมเด็จจิตรลดาไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียว
พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล(ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง ผู้เขียน กล่าวว่า กระแสพระราชดำรัสในครั้งนั้น เหมือนพระบรมราชโองการ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ตั้งใจทำหน้าที่ทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย อย่างเต็มความสามารถ โดยไม่นึกถึงบำเหน็จรางวัลที่จะได้เป็นการตอบแทน แต่ถือเอาความสำเร็จของการทำหน้าที่เป็นรางวัล ตามกระแสพระบรมราโชวาท
หนังสืออีกเล่มหนึ่ง “เภสัชกรยิปซี” เป็นบันทึกชีวิตจริงของ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ หญิงไทยคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นคนเก่งแล้ว ยังเป็นคนดีอีกด้วย เธอเป็นผู้เสียสละ เพื่อมวลมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง จนเป็นที่ยอมรับจากองค์กรต่างๆ รวมถึงมีผู้นำชีวิตของเธอไปสร้างเป็นละครบรอดเวย์ อย่างที่ผู้หญิงน้อยคนนักจะได้รับการยอมรับจากสังคมโลก
เธอเกิดที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียนจบปริญญาตรีทางด้านเภสัชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตรทไคล(Strathclyde) และปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบาธ(Bath) สหราชอาณาจักร เธอเล่าว่า เธอเรียนเพื่อรู้ ไม่ได้คิดถึงปริญญา เธอจึงไม่เคยไปรับปริญญาอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะตรี โท หรือ เอก ทุกปริญญาบัตรส่งมาทางไปรษณีย์ แต่ในที่สุด เธอก็ต้องกลับไปรับปริญญา จากทุกสถาบันที่เคยเรียนมาจนได้ เพราะต่างมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้
เธอสละความสุข และผลประโยชน์ส่วนตัว ออกเดินทางไปช่วยเหลือ ผู้ซึ่งประสบกับโรคร้ายแรง ไม่มีกำลังที่จะรักษาตัว เธอร่วมคิดค้นยาต้านเอดส์ ทำให้ผู้ป่วยมียารักษา คุณภาพดี ราคาถูกกว่าท้องตลาดมากถึง 5-20 เท่า นอกจากนั้น เธอยังได้เดินทางไปถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตยาต้านเอดส์และมาลาเรีย ให้กับประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาทั้งหลาย โดยเฉพาะในแถบทวีปแอฟริกา
ตอนเป็นเด็กเธอชอบฟังคุณยายสั่งสอน เล่านิทานให้ฟัง ประโยคหนึ่งซึ่งไม่เคยลืม “เราต้องรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเรามีโอกาส ในโลกนี้ยังมีคนจน คนด้อยโอกาสอยู่เยอะ หากวันใด ลูกอยู่ในสถานะที่จะช่วยเขาได้ อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นสูญเสียไป”
เธอทำงานครั้งแรกในตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพียง 2 ปี ก็ลาออกมาเข้าทำงานที่องค์การเภสัชกรรม แล้วก็ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก ที่สามารถผลิตยาต้านเอดส์ตัวแรก คือ ซิโดวูดีน(Zidovudine) หรือ เอแซดที(AZT) ได้ในปี พ.ศ.2538 ต่อจากนั้น(พ.ศ. 2545)เธอก็สามารถผลิตยาต้านเอดส์ออกสู่ท้องตลาดได้อีกตัวหนึ่ง เป็นสูตรผสมของยา 3 ตัวในเม็ดเดียวกันชื่อ จีพีโอเวียร์(GPO-VIR) ทำให้องค์การเภสัชกรรมของประเทศไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะเป็นประเทศแรกที่ค้นพบสูตรยาดังกล่าว
เธอมีความคิดอยากไปถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการผลิตยาต้านเอดส์ให้ประเทศอื่นบ้าง โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ซึ่งมีผู้ป่วยเอดส์มากกว่า 90 % จึงเขียนโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตยาต้านเอดส์ให้กับ 5 ประเทศ ได้แก่ ไนจีเรีย แคเมอรูน กานา ซิมบับเว และยูกันดา และด้วยการประสานงานกับเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกภาคพื้นแอฟริกา(AFRO) จึงได้รับเชิญไปที่สำนักงาน ขณะนั้นตั้งอยู่ที่ประเทศซิมบับเว เพื่อให้ไปดูว่าเธอสามารถช่วยเหลือประเทศไหนได้บ้าง
ขณะเดียวกัน อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขของไทย ได้กล่าวในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า ประเทศไทยยินดีจะช่วยเหลือ 5 ประเทศในทวีปแอฟริกาในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตยาต้านเอดส์ พอเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทั่วโลกต่างชื่นชมว่าประเทศไทยใจดีมาก
แต่พอรัฐมนตรีกลับถึงประเทศไทย ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง เธอถูกถามทันทีว่า เราจะได้อะไร จากการช่วยเหลือครั้งนี้ เธอตอบว่า ไม่ได้อะไรเลย เป็นเรื่องมนุษยธรรม เพียงช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เธอแปลกใจว่า คำตอบดังกล่าว ไม่ได้ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจเลยว่า เวลาจะทำอะไร ทำไมต้องหวังผลจากการกระทำ ทำไมต้องคิดว่าจะเสียอะไร หรือจะได้อะไร
เธอไม่เคยคิดว่า “การให้” จะต้องแลกกับ “การได้รับ”
หลังจากนั้นเธอลาออกจากองค์การเภสัชกรรม เพื่อเดินทางไปช่วยเหลือทวีปแอฟริกาอย่างเต็มตัว ไม่มีใครเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ รัฐมนตรีเรียกไปพบ แต่ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนอให้มาเป็นที่ปรึกษาองค์การเภสัชกรรม นำยาขององค์การเภสัชกรรมไปขายที่แอฟริกา แทนการถ่ายทอดเทคโนโลยี เธอตอบปฏิเสธทั้งหมด
ในที่สุด...ผลงานของเธอก็ได้รางวัล ได้รับการประกาศเกียรติคุณยกย่องจากสถาบันต่างๆ ในระดับโลกมากมาย
อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้แล้ว มีความสุข รวมทั้งน่าจะเป็นตัวอย่างในการทำงานที่ดี ให้กับตัวเองและหลายๆคนได้
หนังสืออ้างอิง
วันนี้วันสูบบุหรี่โลก
ขอบคุณ..คุณประจักษ์ หน้าตาดี ครับ
สวัสดีค่ะคุณครูธนิตย์...
หนังสือดี เพื่อนดี เพลงเนื้อหาดีๆ...สามารถชุบชูใจ
ในยามอ่อนล้าได้ดีนะคะ...ประทับใจก็บันทึกไว้ เช่นบันทึก๑,๐๐๐ ปี
เล่มนี้อิ...ทราบว่าชอบคาราวานในบันทึกเล่มนี้เพียบเลยค่ะ
(ออกจากป่าใหม่ๆ...ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์.ก็พันธุ์แท้คนหนึ่งค่ะ)
"คำคิด"รายทางที่คว้ามาเก็บไว้ในบันทึก.อ่านยามใดก็ยิ้มได้เหมือนกันนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณครูธนิตย์
ขอบคุณสำหรับบันทึกยอดเยี่ยมบันทึกนี้ค่ะ
..."....ชีวิตจิตใจฝันใฝ่ดิ้นรน เกิดมาเป็นคนไม่ควรอับจนดักดาน..."น้าหงา.
"...Life is tough Aim high and find the way to reach your dream..."มั่วๆอิอิ
สวัสดีค่ะคุณครูธนิตย์..."บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน..."ที่น้าหงาร้อง ดิฉันจะร้องเสมอ
ยามไกลบ้าน...หนังสือดี เพื่อนดี เพลงดี...แม้ในยามพ่ายแพ้ยังมีสุขได้นะคะ
ขอบคุณมากนะคะ
ไปค้นเนื้อเต็มๆ มาจากกูเกิ้ล ชอบเช่นกันครับ นึกถึงช่วงบรรจุเป็นครูใหม่ๆที่โนนสังวิทยาคาร หนองบัวลำภู(เมื่อก่อนอุดร)..ขอบคุณอ.จอมใจครับ
สวัสดีค่ะคุณครู...
ความจริงดิฉันอยากเก่งและมีโอกาสเหมือน
ท่านดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ “เภสัชกรยิปซี”มากๆ
เคยชมสารคดีท่านค่ะ"วิเศษ"ที่สุดผู้หญิงอะไรดีแสนดี
ขอบคุณเนื้อเพลงนะคะ... แฟนคาราวานเหมือนกัน
http://gotoknow.org/blog/kidhot/223276