เชื่อว่าใครต่อใครที่กลับไปจากสวนป่า ยังคงหวนอาลัย เวลาที่ได้มาพำนักกายใจอยู่ที่สวนป่า แต่ยังไงก็ต้องจากเนื่องจากภาระการงานที่ต้องดูแลรวมไปกับชีวิตตน สำหรับตัวฉัน ได้ให้สัญญาไว้กับใจว่าถ้ามีโอกาสจะไม่ลังเลที่จะมาสวนป่าอีก มาเพื่อสร้างโอกาสให้น้องๆที่ทำงานร่วมได้เปิดตาเรียนรู้โลกกว้าง
ในส่วนตัวฉัน ฉันให้คำแปลกับคำว่า “สาธารณสุข” ว่า มันหมายถึง ความสุขที่เป็นสาธารณะ เมื่อเติมคำว่า “คน” ลงไปข้างหน้าคำว่า “สาธารณสุข” ความหมายของคนสาธารณสุข จึงหมายถึง ผู้ที่มีความสุขที่เป็นสาธารณะ
ฉันว่าความสุขที่เป็นสาธารณะเก็บเกี่ยวรวบรวมมาได้ง่ายๆจากธรรมชาติที่รังสรรค์ความสุขเหล่านี้ไว้แล้วอย่างแยบยล แต่คนต้องรู้จักธรรมชาติที่อยู่ในโลกกว้างและโลกภายในแห่งตนจึงจะรู้จักและเก็บเกี่ยวความสุขเหล่านี้ไว้ได้ จึงควรอย่างยิ่งในฐานะพี่ที่จะทำให้น้องมีโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติเพื่อการเป็นคนสาธารณสุข
เมื่อพ่อครูบาส่งข่าวมาว่า จะมีนักเรียนแพทย์ (นศพ.) มาที่สวนป่า ใจมันจึงแว๊บ เออ! โอกาสนั้นมาแล้วหนา ก็อยู่ที่เราจะมีเมตตาให้โอกาสมีมาสู่น้องๆไหม ในเมื่อจะมาก็อย่าได้มาเพื่อที่จะรับ แต่ควรจะมาเพื่อแบ่งปันกันด้วย นี่คือเหตุผลว่า ทำไมจะมาช่วยค่ะ
แล้วเมื่อพ่อถามมาจะพูดอะไรกับคนหนุ่มสาว พี่บางทรายแนะว่าให้ใช้ทำนองแบบของขวัญเมืองที่ผ่านในเฮฮา5 น้องเบิร์ดมาเสริมเห็นด้วยว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น หมอเจ๊เห็นด้วยที่พ่อมา post เพื่อแลกเปลี่ยนกัน ทำอะไรดี? กับกลุ่มนศพ.ปี 3 ที่มา มาแลกเปลี่ยนว่า สิ่งที่หมอๆไม่ใคร่ได้ฝึก จะมีประเด็นเรื่องความอ่อนที่ต้องหัดที่ควรช่วยเติมเมื่อมีโอกาสตั้งแต่ยังละอ่อนค่ะ
เรื่องที่ความอ่อนหัด มีหลายเรื่องเลยค่ะ ที่สำคัญฉันว่า อ่อนการสนทนาประสาคน ด้วยในการฝึกฝนให้สนตามตำรา การฝีกจึงให้สนแต่ขอบเขตแห่งโรค เรียนเพื่อรู้จักหน้าตาว่าโรคเป็นอย่างไร มีโคตรเหง้าอย่างไร ใครคือผู้ให้กำเนิดโรค โรคมีการกำเนิดอย่างไร ชีวิตโรคหลังกำเนิดเป็นอย่างไร เมื่อไรโรคจะหมดอายุขัย จะสลายมันอย่างไร เป็นการเรียนอยู่ในกรอบ ที่ต้องครูทั้งหลายครอบ ด้วยเป็นแก่นความรู้ที่จำเป็นต้องจำ เพราะว่าถ้าไม่จำเลย ข้อเฉลยจะกลายเป็นบทถลำทำร้ายคนที่มีเสียได้
การฝึกฝนอย่างนี้ปูพื้นด้วยตำรามาตั้งแต่ปี 2 ครั้นมาเข้าปี 3 จะเริ่มการฝึกฝนโดยมีคนไข้บ้างตำราบ้างเป็นครู มีการเรียนบางบทจับต้องสดๆตัวคนไข้ ใจที่จับจดอยู่กับการฝึกทำ จึงอาจพลั้งทำเกินเลยทำคนไข้ให้ได้เจ็บ มีดีอยู่ตรงที่ไม่ให้ทำรวดกับคนไข้ทุกคน ส่วนพอขึ้นปี 4 ทีนี้แหละเริ่มให้ซ่า ให้พาตนฝึกฝนโดยตรงกับครูคนมากขึ้น ทั้งบทลงมือทำ จับต้องตัว ขยำตัว มั่วไปถึงการสนทนา แต่คราวนี้ให้ทำไปรวดทุกคนไข้ที่จ่ายชื่อมา พอเข้าปี 5 เต็มขั้นทุกเรื่องเลย นับแต่การสนทนาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ไปจนถึงเรื่องเพิ่มพูนรายละเอียดการจับต้อง มีการใช้ของขลังในบรรดาที่มีอยู่ คือ ตาดู มือเคาะคลำรวมหูฟัง ผสมผสานเครื่องมือตรวจวินิจฉัย เพื่อหาข้อมูลกันต่อไป เพื่อมาใช้สรุปโรคอะไรกันหนา ต่อมาก็เรียนรู้วิชา วิธีสลายละลายโรคให้ยาไม่ให้ยาหรือบำบัดด้วยวิธีอื่น โอ๊ยมีอีกมากหลาย ที่กล่าวได้ไม่หมด
เฮฮา5 ที่สวนป่าพ่อครูบาพร่ำสอน จะปลูกไม้ให้ได้ต้นและผล ต้องรู้ธรรมชาติของต้นไม้ แล้วรู้จักธรรมชาติของดิน รู้แล้วประยุกต์ต่อเพาะอย่างไรให้ขึ้นถ้าดินมันไม่เหมาะ และหากดินนั้นเหมาะ ก็ยังต้องเรียนรู้ดูแลดิน บริบทของปี 3 จึงเหมือนกับตัวเมล็ดหรือกิ่งพืช จะให้งอกหน่ออ่อนหรือรากอ่อนที่คาดหวัง ว่าเมื่อเป็นต้นไม้ เขาคือหมอที่ดูแลคนด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ การเริ่มแต่ปี 3 ถือเป็นนาทีทองสำหรับสร้างหมอรุ่นใหม่ที่อยากได้ค่ะ มาช่วยกันสร้างให้ได้หมอที่คนคาดหวัง ในหลากหลายมุมมองเหมือนดังต้นไม้เหล่านี้
( ยังมีต่อตอนต่อไป )
คิดถึงหมอจ๊เโดยเฉพาะในชุดผ้าถุง และก็ทำอาหารด้วย น่ารักมาก เหมาะจะรักษาคนไข้ค่ะ
เข้ามาสนับสนุนความตั้งใจคุณหมอท่านนี้ครับ
ขออภัยคุณน้องหมอที่แอบถ่าย อิอิ
ไม่มีใครรู้ว่าคุณหมอยืนทำอะไร แต่พี่ซาบซึ้ง ในจิตใจของคุณหมอครับ
ดูซิ พาทีมงานข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่สวนป่า ด้วยเจตนาที่เปี่ยมด้วยความหวังดี เพื่อสร้างสรรค์ ทีมงาน ด้วยกระบวนวิธีที่ถึงแก่นที่สุด แล้วพี่จะมองว่าคุณหมอท่านี้เป็นคนอย่างไรล่ะ หากไม่ใช่คุณหมอของประชาชน ของสังคมที่แท้
ดอกพุทธรักษา ในความหมายของพี่คือ ขอให้พุทธานุภาพจงหนุนเนื่องผู้คิดดี ทำดีแก่บ้านเมืองท่านนี้ด้วยตลอดไปครับ น้องหมอเจ๊
หมอเจ๊
ภาพนี้ถ่ายยากมาก
แมลงตัวเล็ก อุ้มไข่ใต้ท้องไต่ไยไปมา
ใกล้ค่ำแล้ว แม่คุณยังชักใย
นี่ไง สายใยรักของแม่
เอาไว้หมอมาจะพาไปเยี่ยม
บอกแม่แมงมุมไว้แล้ว
นักศึกษาแพทย์กลุ่มนี้โชคดีจริงๆที่ได้เจอหมอเจ๊ อิอิ