การไปเยี่ยมค่ายในแต่ละครั้ง ผมมักจะทำการบ้านไปก่อนเสมอ เริ่มจากการศึกษาภาพรวมของค่ายนั้น ๆ ว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ? มีกิจกรรมอะไรบ้าง ? รวมถึงค่ายนั้น ๆ ตอบโจทย์ความเป็นปรัชญาการทำงานขององค์กร หรือชมรมอย่างไร ?
เช่นเดียวกันนี้ การไปเยี่ยมค่ายโครงการ “สานฝันเพื่อน้อง” ของ “ชมรมสานฝันคนสร้างป่า”เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๑ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองผักแว่น ต.สารภี อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ผมไม่อาจละเลยเกี่ยวกับการศึกษาข้อมูลดังกล่าวไปก่อนล่วงหน้าอย่างจริงจัง
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๐
ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง มีนิสิตจำนวน ๓ – ๔ คนเข้ามาพบผมในที่ทำงาน พร้อมกับบอกกล่าวถึงที่มาที่ไปในทำนองว่า “เป็นสมาชิกของชมรมสานฝันคนสร้างป่า มีความต้องการที่จะจัดกิจกรรมเป็นอย่างมาก และตระหนักดีว่าห้วงเวลานี้ เป็นห้วงเวลาที่มหาวิทยาลัยกำลังจะประกาศยุบเลิกชมรมของพวกเขา อันเป็นผลพวงที่ตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมา ชมรมไม่ยอมจัดกิจกรรมเลยแม้แต่โครงการเดียว จึงต้องถูกยุบเลิกไปตามข้อบังคับ ...”
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งมารักษาการในตำแหน่ง ฯ ใหม่ ๆ ..
ผมให้ความสำคัญกับเรื่องที่พวกเขาบอกเล่าในทุกกระบวนความ แต่ก็อดที่จะสร้างสถานการณ์ให้เขาได้รู้สึกไม่ได้ว่า “โอกาสหาใช่จะถูกหยิบยื่นให้อย่างง่ายดายเสมอไป”
ผมสอบถามและพูดคุยอย่างเจาะลึก โดยเฉพาะมูลเหตุของการไม่ยอมจัดกิจกรรม ทั้ง ๆ ที่งบประมาณนั้น มหาวิทยาลัยก็จัดสรรให้ไปแล้ว ถึงจะไม่มากมายนัก แต่ก็ใช่จะมีจำนวนน้อยจนทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จำนวนเงินดังกล่าว ก็พอเพียงที่จะเป็นต้นทุนในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขา มีแรงใจที่จะขับเคลื่อนกิจกรรมมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
(ภาพจากโครงการป้องกันไฟป่า มีนาคม ๒๕๕๐)
อันที่จริง ถึงแม้ผมเพิ่งจะมาดูแลงานเหล่านี้ได้ไม่นาน แต่ก็กล้าพอที่จะบอกได้ว่า ผมมีข้อมูลอันเป็นสภาพการณ์ของชมรมต่าง ๆ อย่างมากมายพอสมควร เช่นเดียวกับปัญหาของชมรมนี้ ผมเองก็รับรู้มาโดยตลอด เคยแม้กระทั่งชวนให้เจ้าหน้าที่ขบคิดว่า ชมรมนี้จะ “อยู่หรือไป” ... เพราะการประสบปัญหาในระดับแกนนำนั้น เป็นเสมือนเรือที่ปราศจากหางเสือ .. และการเผชิญกับปัญหาภายในที่ใคร ๆ ก็ “เบื่อระอา” เช่นนี้ก็ล้วนแต่จะขับให้มวลสมาชิกท้อ และถอดใจเอาง่าย ๆ
เหตุแห่งการสนทนากันนั้น, ผมต้องการชวนให้เขาได้วิเคราะห์สภาพ หรือสถานะปัญหาของพวกเขาเอง อย่างน้อยก็อยากประเมินว่า พวกเขารู้ซึ้งถึงปัญหาของตนเอง หรือองค์กรของตนเองหรือไม่ เพราะหากไม่เคี่ยวให้พวกเขาหยุดคิดทบทวนถึงวิถีอันเป็นชะตากรรมเหล่านั้น ก็เท่ากับว่าผมส่งเสริมให้เขาเติบโตโดยไม่สนใจต่อการหยิบยกเอาปัญหาเก่า ๆ มาแก้ไข ..
(ภาพจากโครงการป้องกันไฟป่า มีนาคม ๒๕๕๐)
ก่อนจากลากันในวันนั้น ผมตอบรับที่จะให้พวกเขาได้จัดกิจกรรมตามที่ต้องการ และให้กำลังใจกับการเริ่มต้นครั้งใหม่ของพวกเขาอย่างจริงจัง และหนักแน่น รวมถึงการบอกกล่าวอย่างเปิดเปลือยว่า โดยส่วนตัวของผมนั้น ผมอยากให้ชมรมของพวกเขาเป็นทางเลือกของการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า เพราะบรรดาชมรมในสังกัดองค์การนิสิตนั้น เรียกได้ว่าไม่มีชมรมใดเลยที่จะลุกขึ้นมาขับเคลื่อนกิจกรรมในทำนองนี้ รวมถึงการบอกเล่าประวัติศาสตร์กิจกรรมให้พวกเขาได้รับฟังเพื่อเป็นองค์ความรู้เพิ่มเติมว่า ตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีเพียง “ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ในสังกัดสโมสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ยืนหยัดจัดกิจกรรมในทำนองนี้อย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องการปลูกป่า อนุรักษ์ป่า , การใช้สมุนไพร, การศึกษาวิถีป่าและสิ่งแวดล้อมในชุมชนต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมที่ยึดเป็นขนบเสมอมาก็คือการ “บวชป่า” ซึ่งบัดนี้ก็ดูจะเงียบหายไปแล้ว ซึ่งเมื่อประมาณสักสี่ถึงห้าปีที่แล้ว แกนนำหลายคนก็สนิทชิดเชื้อกับผมเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่พวกเขาไปออกค่ายฯ ผมก็มักจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกับพวกเขา และติดตามไปเยี่ยมอยู่อย่างไม่ขาดสาย จนครั้งนั้นพวกเขาก็เปรยว่าจะย้ายชมรม ฯ มาสังกัดกับองค์การนิสิต เพื่อให้เป็นองค์กรในภาพรวมของมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง แต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจกะทันหัน โดยเลือกที่จะปักหลักอยู่ในฐานที่มั่นเดิม เพื่อเป็นองค์กรเล็ก ๆ ที่เข้มแข็ง ดีกว่ามาเป็นองค์กรใหญ่ที่สุ่มเสี่ยงต่อการจัดการที่อาจจะยุ่งยากในอนาคต
สิ่งเหล่านั้นจะจริงหรือเท็จแค่ไหนไม่สำคัญ แต่ผมก็ให้ความเคารพต่อเหตุผลของพวกเขาอย่างไม่โต้แย้ง แต่ก็พอจะรู้มาบ้างว่า เหตุผลอันสำคัญที่พวกเขายังไม่ได้บอกเล่าต่อผมอย่างชัดแจ้งอีกประการหนึ่งเลยก็คือ การต้องการที่จะอยู่กับรากเหง้าอันเป็นต้นสังกัดของพวกเขาเอง โดยมีแกนนำในสาขาชีววิทยาเป็นขุนพลกิจกรรม ซึ่งน่าจะง่ายต่อการนำความรู้ที่เรียนมาใช้กับการทำกิจกรรมได้อย่างไม่ติดขัด –
(ภาพจากโครงการป้องกันไฟป่า มีนาคม ๒๕๕๐)
การบอกเล่าประวัติศาสตร์กิจกรรมให้แกนนำชมรมสานฝันคนสร้างป่าในครั้งนั้น ผมหวังแต่เพียงว่า พวกเขาคงมีพลังพอที่จะลุกขึ้นยืนอย่างหนักแน่น รวมถึงการมี “จุดยืน” และ “รู้ตัวตน” ของตนเองว่า แท้ที่จริงแล้วชมรมจัดตั้งมาเพื่ออะไร ? และมี “ทิศทาง” การทำกิจกรรมอย่างไรบ้าง ? ซึ่งเมื่อพิจารณาชื่อชมรมแล้วก็ชัดแจ้งเหลือเกินว่า ชมรมเกิดมาเพื่อทำกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่อง “ป่า..” มิใช่กิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาเหมือนที่หลาย ๆ ชมรมได้ยึดปฏิบัติกันอยู่อย่างมากมาย (และซ้ำซ้อน) จนแทบจะหาจุดต่างในทางรูปแบบไม่ได้เอาเสียเลย
และการพูดคุยในครั้งนั้นก็นำไปสู่ค่ายอาสาพัฒนาในแบบฉบับของชาวสานฝันคนสร้างป่า นั่นคือ การลงพื้นที่จัดค่าย ฯ ด้วยการร่วมศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนกับป่าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในแถว ๆ จังหวัดสกลนคร มีการแลกเปลี่ยนเสวนาในเรื่องแนวทางการใช้ประโยชน์จากป่า รวมถึงการลงแรงเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ โดยผสานพลังระหว่างนิสิตกับชุมชน ทั้งหนุ่ม แก่และเด็กเล็ก ตะลุยรื้อผักตบชวาและสิ่งปฏิกูลกันอย่างยกใหญ่ ราวกับว่า นั่นคือ “งานบุญ” ดี ๆ นี่เอง
นอกจากนั้นยังเดินเท้าเข้าไปทำแนวป้องกันไฟป่าร่วมกันระหว่างนิสิต ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ ซึ่งถือได้ว่ากิจกรรมในทำนองนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ... และกลายมาเป็นอีกทางเลือกของกิจกรรมที่น่าสนใจ ไม่แพ้ด้านอื่น ๆ เลยก็ว่าได้
และจากนั้นมา เมื่อมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมในทำนองนี้ เราก็จะนึกถึงพวกเขาก่อนใครเสมอ และพวกเขาก็ไม่เคยอิดออดที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับการทำงานเพื่อสาธารณะ จนผมเองก็แอบชื่นชมและส่งกำลังใจไปยังพวกเขาอยู่อย่างบ่อยครั้ง
แต่การมาเยือนค่าย “สานฝันเพื่อน้อง” ของ “ชมรมสานฝันคนสร้างป่า” ในครั้งนี้ ผมกลับพานพบเจอการเปลี่ยนแปลงไปจาก “จุดยืน” อันเป็น “ตัวตน” หรือ “ทิศทาง” การทำกิจกรรมของชมรม ฯ อย่างชัดเจน
ผมไม่เห็นภาพกิจกรรมเดิม ๆ หลงเหลือให้พบเห็นอีกต่อไป พวกเขาตัดสินใจทำค่ายอาสาพัฒนาในแบบที่เป็นกระแสนิยม ทั้งการทำห้องเรียนสำหรับเด็กอนุบาล ทำแปลงผักและขุดบ่อเลี้ยงปลาเพื่อเป็นอาหารกลางวัน มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและหมู่บ้าน ซ่อมแซมสนามเด็กเล่น รวมถึงการทำสื่อเรียนรู้ในเรื่องยาเสพติดและอื่น ๆ อีกจิปาถะ ....
ถึงอย่างไรก็ดีก็ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า พื้นที่การออกค่ายในครั้งนี้ยังคงรูปรอยเดิม ๆ อยู่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลตัวเมือง กันดารและแห้งแล้ง รายรอบไปด้วยภูเขาหลายลูก มีต้นไม้ขึ้นหลากหลายชนิด พื้นที่ป่าหลายแห่งเสื่อมโทรมหลายพื้นที่ถูกแผ้วถางเป็นพื้นที่การทำกิน บางแห่งเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจของการ “เผาถ่าน” ฯลฯ
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับกิจกรรมในครั้งนี้อย่างเป็นกันเอง เข้าใจและเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาอย่างแจ่มชัด เพียงแต่อดใจไม่ไหวต่อการที่จะชวนให้นิสิต ได้กลับไปขบคิดถึงประเด็นชื่อชมรมและปรัชญาชมรมของพวกเขา ...
(การขนทรายจากลำธารที่ห่างจากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร)
ผมเข้าใจดีว่าการทำค่ายในลักษณะการอนุรักษ์ป่าอาจไม่ได้รับความนิยมจากมวลนิสิต เหมือนค่ายอาสาพัฒนาตามกระแสหลัก ที่มักไปสร้างโน่นนี่อยู่เป็นประจำ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า วิถีอันเป็นกระแสหลักจะไม่จำเป็น เพียงแต่กำลังสะท้อนให้พวกเขาได้ทบทวนถึงตัวตนของตนเอง และกล้าพอที่จะเดินทางไปในวิถีของตนเองอย่างมั่นคง โดยไม่จำเป็นต้องลื่นไหลไปตามกระแสนิยมของการออกค่ายอาสาพัฒนา ... เพราะชื่อของชมรมนั้นโชว์หราอย่างเห็นได้ชัดว่าเป็นชมรมที่มุ่งจะขับเคลื่อนและเรียนรู้ในเรื่องอะไรเป็นหลักสำคัญ ?
ก่อนจากลาในเย็นของวันนั้น ผมไม่วายที่จะก้าวล้ำไปฝากแนวคิดกับแกนนำเหล่านั้นในทำนองว่า อย่าให้งานค่ายอาสาพัฒนาที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นกรงขังตัวเองจากเรื่องอื่น ๆ ที่ควรต้องเรียนรู้ อย่าทำงานกันแต่เฉพาะในโรงเรียน จนหลงลืมที่จะสร้างมิติการเรียนรู้อื่น ๆ เข้ามาเติมเต็ม ... เช้าก็ไปวัด หรือไม่ก็ออกไปช่วยชาวบ้านทำไร่ทำสวน ศึกษาเรียนรู้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับทัศนะหรือพฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากป่าของชาวบ้านว่าเป็นเช่นใดบ้าง ? และสภาพป่าจากอดีตถึงปัจจุบันแตกต่างกันกี่มากน้อย ? ฯลฯ
นั่นคือการให้กำลังใจในแบบสไตล์ของผม ... และหวังแต่เพียงว่า พวกเขาจะเข้าใจในถ้อยคำเหล่านั้นบ้าง ...
(หยวกกล้วยและทอดแหจับปลา ..คือ อีกทางเลือกของอาหารชาวค่าย)
สิ่งที่ผมพูดและสิ่งที่เขาเลือกที่จะขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ อาจไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก แต่การทบทวนตัวตนของตนเองอีกสักครั้ง ก็สำคัญไม่ใช่น้อย
และเมื่อทบทวนแล้ว หากยังยืนยันที่จะปรับเปลี่ยนสถานะองค์กรไปตามกระแสหลัก ถึงตรงนั้นผมก็ไม่ว่าอะไร ตรงกันข้ามก็ยังยืนยันว่า ยังคงจะติดตามให้กำลังใจและเป็นแฟนคลับพวกเขาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
อ่านแล้วทึ่งจังเลย ว่ากิจกรรมแบบนี้ คนรุ่นใหม่ๆให้ความสนใจ แบบมีส่วนร่วมกับชุมชน น่าชื่นชมนะคะ
ตอนเรียน ก็นิยมไปค่ายอาสา สร้างโน้นสร้างนี้เหมือนกัน แต่หากิจกรรมที่อนุรักษ์ธรรมชาติยาก คงเพราะไม่ได้ผลผลิต หรือ ผลงานเป็นที่ชัดแจ้ง การทำออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความร่วมมือต่อเนื่องอย่างไรบ้างล่ะมั้งค่ะ กลุ่มนิสิต เลยเลือกที่จะทำค่ายอาสามากกว่ากัน
สวัสดีค่ะ
ชอบมากเลยกิจกรรมแบบนี้
อยากให้ เด็กเค้ารู้และเข้าใจเป้าหมายของกิจกรรมและบทเรียนที่ได้ด้วย
สวัสดีค่ะ.. :)
เรื่องเล่าชาวค่ายนี่เล่ากี่ทีก็ไม่เบื่อเลยนะคะ..
เห็นภาพที่ช่วยกวาดใบไม้ทำทางกันไฟแล้วคิดถึงเพื่อนๆ ที่เคยทำค่ายด้วยกัน..
สมัยที่อยู่ มมส. ก็เคยได้มีโอกาสออกค่ายค่ะ..
ได้ประสบการณ์ดีๆ ครบรสเลย..
จำได้ว่าครั้งนั้นไปทำทางกันไฟกันที่ภูพาน..
ฟังดูเหมือนง่าย ๆ นะคะ.. แค่กวาดใบไม้.. แต่พอทำจริงๆ ก็เหนื่อยเอาเรื่อง
แวะมาที่นี่หลายทีแล้วไม่ได้ทักทายซักที..
ดีใจค่ะที่เห็นน้องๆ สืบสานปณิธานชาวค่ายเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้สังคมต่อไป
สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดินนดิน
ลุงเอกถามหาแผ่นดินจากเพื่อนพ้อง ว่าแผ่นดินบินไปไหน หายจากความฝันเก่ามานานวัน
วันนี้ได้เห็นฝันใหม่ของแผ่นดิน ขอให้บินไปได้ดั่งฝันครับ
เป็นกิจกรรมที่ดีครับ ยิ่งหากปรับมาทำกิจกรรม ในจังหวัดมหาสารคาม หรือ พื้นที่ใกล้ มมส ยิ่งดีครับ
เป็นกำลังใจให้นะคะ..กิจกรรมดีมากๆ..สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีแก่เยาวชนและสานสัมพันธ์กับชุมชนได้อย่างดีเลยค่ะ..
ห่างหายกันไปนาน..เลยต้องแวะมาบอกว่า.."คิดถึง"นะคะ..^^
สวัสดีครับ คุณแก่นจัง
ผมเคยถามตนเองบ้างเหมือนกันว่าช่วงใดบ้างที่เป็นช่วงแห่งความสุขของชีวิตตนเอง ผมก็จะรู้ได้อย่างทันทีว่าเป็นช่วงของการได้ใช้ชีวิตในค่ายอาสาพัฒนา ทุกวันนี้จึงนับเป็นความโชคดีมหาศาลที่ยังได้ทำงานในส่วนดังกล่าว มันเหมือนกับเป็นความฝันไม่รู้จบที่ยังต้องลงมือทำ ศึกษา และเรียนรู้ไปต่าง ๆ นานา
และเห็นด้วยเช่นกันว่า ค่ายในทำนองการอนุรักษ์นั้น เป็นค่ายที่มีตัวแปรมากมาย ทั้งความร่วมมือของชาวบ้าน ความรู้ของนิสิต หรือแม้แต่การต้องอาศัยระยะยาวเพื่อให้กระบวนคิดและผลงานต่าง ๆ ได้ตกผลึกออกมาให้เห็น และที่สำคัญก็คือ ปัญหาปากท้องของชาวบ้านก็ดูสำคัญยิ่งกว่าเรื่องอื่น ๆ บางทีในบางท้องที่ก็ตระหนักว่าป่ามีความสำคัญ และก็ยังยืนยันว่า ..ปากท้องสำคัญกว่า ดังนั้นจึงต้องถางป่าเป็นเรือกสวนไร่นา , ตัดไม้ปลูกบ้าน เลื่อยไม้ขายให้เถ้าแก่ รวมถึงเผาถ่านขาย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยในภาคส่วนเพื่อสร้างความรู้ ความตระหนัก และมีทางออกอื่น ๆ รองรับให้กับชาวบ้าน
...
ขอบคุณครับ
หวัดดีค่ะ
ทำไมภาพที่แชร์ให้ไม่เห็นมีภาพเหล่านี้ล่ะคะ มีบางภาพเท่านั้นเอง
ภาพเหล่านี้ได้บรรยากาศมากๆ แค่เห็นภาพไม่ต้องอ่านก็เข้าใจ
สวัสดีครับ ป้าแดง pa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]
ค่ายนี้ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทิ้งโจทย์ให้น้องนิสิตได้ถกคิดกันบ้าง เพราะชื่อชมรมก็ชัดเจนเหลือเกินว่า "สานฝันคนสร้างป่า" แต่การออกค่ายอาสาพัฒนาเช่นนี้กลับแทบไม่ปรากฏกิจกรรมที่เกี่ยวกับที่มาที่ไปอันเป็นจุดยืนของพวกเขาเอง
แต่ก็แน่นอนครับ, ผมให้กำลังใจมากกว่าการติติง และยังไม่ลืมแนะนำว่า ให้เปลี่ยนกระบวนการไปตามสภาวะของหมู่บ้าน การจะดุ่มเดินไปให้ความรู้ หรือชวนชาวบ้านคุยเรื่องการอนุรักษ์ป่าโดยตรงนั้นก็เป็นเรื่องต้องระมัดระวัง เพราะเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาอีกมากกับการสร้างความรู้, รวมถึงการทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตของชาวบ้านด้วยเช่นกัน
และเชื่อเหลือเกินว่า... บางทีกลับมาแล้วน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในวิถีองค์กรบ้างกระมังครับ
สวัสดีครับ...ดวงดาวแห่งศรัทธา
ดีใจที่เข้ามาทักทายนะครับ, และยิ่งดีใจใหญ่เลยเมื่อรู้ว่าครั้งหนึ่งนั้นผู้มาเยือนก็เป็นผู้ร่วมชะตากรรมของค่ายที่กล่าวถึง
น้อง ๆ ยังมีพละกำลังอย่างน่ายกย่อง สิ่งเหล่านั้นเป็นผลพวงที่รุ่นพี่บ่มเพาะไว้อย่างเข้มข้น, เพียงแต่วันนี้ อาจดูลื่นไหลไปตามกระแสบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดอันใด ขึ้นอยู่กับว่าโจทย์แห่งการเรียนรู้ครั้งนี้มีว่าอย่างไรเป็นสำคัญ ...
โชคดีกับชีวิตนะครับ
ผมเป็นกำลังใจให้
** แวะมาให้กำลังใจนะคะ ***
*** สบายดีนะคะ
เป็นกำลังใจให้คุณแผ่นดินค่ะ
งานยุ่งไหมค่ะ สู้ๆ ค่ะ
อยากเห็นบรรยาศน้องดิน แดน เปิดเทอมจัง
ขอบคุณค่ะ
งานยุ่งไหมคะ ... เมื่อวานตกใจหมดเลย
เข้ามาแล้วถูกเด้งออก สงสัยระบบล่มค่ะ
แต่ดีใจ วันนี้เข้าได้แล้ว ... ติดบล็อกคะ
... คุณแผ่นดิน สบายดีนะคะ ...
รักษาสุขภาพ เป็นกำลังใจในงานและชีวิตค่ะ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน
... น้องเจ้าจุก - น้องแดน น้องดิน เป็นไงบ้างค่ะ
... คิดถึงจังค่ะ หายแล้วไม่ได้เห็นภาพ ..
... พักผ่อนบ้างเด้อค่า .. รักษาสุขภาพโตย
@ ขอชื่นชม ในกิจกรรมดีๆ ที่มีคุณค่ายิ่ง แก่ผืนแผ่นดิน @
สวัสดีครับ . poo
สวัสดีครับ ลุงเอก
ด้วยภาระอันหลากหลาย และการเผชิญกับภาวะภายในตัวตนของตนเอง จึงทำให้ผมจำต้องเก็บตัวเพื่อสะสางและจัดเรียงชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง
ถึงวันนี้, ....
กลับมาอยู่ในถนนสายเดิมแล้วครับ
ปีกแห่งความฝันได้เริ่มสยายปีกพร้อมที่จะทะยานบินอีกครั้ง ..
...
ขอบพระคุณมากครับ
ท่าน อ.JJ
ในปีการศึกษา 2550 ถือได้ว่าเป็นปีที่จัดกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ทั้งกิจกรรมที่จัดโดยนิสิตและที่จัดร่วมกับกองกิจการนิสิต ..
ในปีที่ผ่านมา มีโครงการลูกในบ้านหว่านในสวน ซึ่งเป็นแนวคิดร่วมระหว่างกองกิจฯ กับองค์การนิสิต โดยมีงบประมาณให้ชมรมต่าง ๆ มาขอรับการสนับสนุนเพื่อจัดค่ายให้บริการแก่สังคมในรายรอบมหาวิทยาลัย ทั้งด้านกีฬา , บำเพ็ญประโยชน์ ศิลปวัฒนธรรม วิชาการ และสิ่งแวดล้อม
ภาพรวมการประเมินผลนั้นเป็นที่น่ายินดีมาก ...เพราะได้องค์ความรู้ใหม่ ๆ ..และทุกกิจกรรมก็เป็นกิจกรรมที่ชุมชนร้องขอเป็นที่ตั้ง
...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณครูแอ๊ว
ตอนนี้ก็วุ่น ๆ อยู่กับการทำหนังสือเล่มใหม่ของตัวเอง ตั้งใจจะเร่งให้เสร็จในเดือนสองเดือนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จมั๊ย ทั้งขั้นตอนของสำนักพิมพ์, โรงพิมพ์..และสายส่ง
สิ่งเหล่านี้ยังต้องทำอีกหลายอย่าง ..
นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ดูเงียบหายไปด้วยเช่นกัน
...
สวัสดีครับ พี่อร ..Bright Lily
สวัสดีครับ . poo
ช่วงนี้ หรือแม้แต่ช่วงที่ผ่านมาสารภาพว่า งานยุ่งจริง ๆ ครับ อีกทั้งพบเจอกับปัญหาบางอย่าง เลยต้องสะสางและจัดระเบียบอย่างจริงจัง
ตอนนี้ก็เข้าสู่ภาวะปกติบ้างแล้ว ...
ส่วนเรื่องน้องดินและน้องแดนนั้น ไม่นานคงได้นำภาพชีวิตในการเปิดเรียนมาเล่าสู่กันฟัง อีกครั้ง
....
ขอบคุณครับ
ชอบภาพนี้มาก ...
หลังบ้านมีภูเขาเป็นม่านฉากที่มีชีวิต ..
ต้นกล้วยและทางเดินเล็ก ๆ ราวกับเส้นทางอันลี้ลับในดินแดนความฝันที่มีความสมถะซ่อนงำอยู่อย่างน่าค้นหา
สวัสดีครับ .... กวิน
ขอบคุณบทบาทของไกด์ที่นำพาให้ได้ฟังเพลงดี ๆ ...
ส่วนกิจกรรมที่ผมเขียนถึงนั้น เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่นัก ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง อยู่ติดภูเขา แต่สภาพของป่าก็ดูเสื่อมโทรมอยู่มาก อันเป็นผลพวงของการเข้าไปทำกินเป็นหลัก
ครับ, เรื่องปากท้อง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านี้ ผู้คนจึงยังต้องใช้ประโยชน์จากป่า ทั้งด้วยความตระหนักและขาดการตระหนักรู้ถึงกระบวนการของการใช้ประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น
....
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ครูโย่ง
สวัสดีครับ..poo
ตอนนี้ก็ใกล้ช่วงปิดเทอมแล้ว มีค่ายอาสาที่จะต้องออกสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 20 ค่าย ผมเลยกำลังเตรียมความพร้อมเรื่องร่างกาย และเตรียมความพร้อมในเรื่องเวลา เพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมค่ายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้กำลังใจ, และประเมินผลอย่างเต็มที่ อันจะก่อให้เกิดกระบวนการของการพัฒนานิสิตและกระบวนการของค่ายอาสาฯ ต่อไป
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ..@..สายธาร..@
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เป้าหมายหลักของค่ายนั้น ชาวค่ายบรรลุกันแทบทุกคน ซึ่งได้แก่การให้บริการสังคมนั่นเอง แต่เป้าหมายรองนั้น แต่ละคนย่อมได้ทั้งเหมือนและต่างกันไปโดยปริยาย บางคนอาจได้ความรู้เรื่องวิถีชีวิตของชาวบ้าน, บางคนอาจได้เกร็ดความรู้เรื่องการศึกษาในชุมชน, ได้ความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำและต้นไม้, ได้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม, ได้เพื่อน, ได้เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี...เป็นต้น...